กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 818

สรุปบท บทที่ 818.1 แกะเรือหากระบี่: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอน บทที่ 818.1 แกะเรือหากระบี่ จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 818.1 แกะเรือหากระบี่ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

จุดตัดระหว่างแคว้นซูสุ่ยกับแคว้นกู่อวี๋ ท่ามกลางภูเขาเขียวน้ำใส สายลมอบอุ่นและแสงอาทิตย์งดงาม มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเคียงบ่ากันขึ้นเขา มุ่งหน้าไปยังศาลเทพภูเขาแห่งหนึ่งที่อยู่บนยอดเขา

บุรุษสะพายกระบี่ปักปิ่นหยก สวมชุดกว้าสีเขียวรองเท้าผ้า สตรีสะพายกล่องกระบี่ สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ

ทั้งคนและทัศนียภาพล้วนงดงามดุจภาพวาด

ภูเขามีชื่อว่าจิ้งหลิง ศาลเทพภูเขาถูกสร้างขึ้นมาเมื่อประมาณยี่สิบกว่าปีก่อน ระดับขั้นของศาลไม่สูง ผู้ที่ได้เสวยสุขกับควันธูปคือเหนียงเนียงเทพวารีที่ชาวบ้านในพื้นที่ต่างก็ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ตอนนั้นมีรองเจ้ากรมพิธีการของแคว้นซูสุ่ยคนหนึ่งมาจัดงานพิธีแต่งตั้งให้ บัณฑิตในตัวเมือง แรกเริ่มก็ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการตีสนิทหวังได้รับการปกป้องจากร่มเงาบรรพบุรุษ แต่น่าเสียดายที่พลิกเปิดตำราประวัติศาสตร์ของทางการและอักขรานุกรมภูมิศาสตร์จนทั่วแล้วก็ยังไม่อาจหาเจอว่า ‘หลิ่วเชี่ยน’ คือฮูหยินตราตั้งคนใดในประวัติศาสตร์

บริเวณใกล้เคียงมีลำคลองหวงเหอที่มีชื่อเสียงไหลผ่าน ทุกครั้งที่เจอกับช่วงฤดูฝนเหมยจะเป็นภาพบรรยากาศของน้ำไหลพืชพรรณเขียวชอุ่ม ช่วงเวลาแห่งสันติสุขที่กลียุคสิ้นสุดลง ทำให้คนยิ่งทะนุถนอมเห็นค่ามากขึ้น ใบหน้าผู้คนยิ้มแย้มมีความสุข ดังนั้นจึงเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่จวนราชาลำคลองหวงเหอจะจัดงานแต่งงานขึ้น เทพลำคลองสู่ขอภรรยาคือเรื่องน่ายินดีที่ร้อยปีก็ยากจะพานพบ เป็นเหตุให้นับตั้งแต่ขุนนางในพื้นที่ไปจนถึงชาวบ้านร้านตลาดล้วนชื่นมื่นเบิกบาน คล้ายกับได้ฉลองปีใหม่ ควันธูปของศาลเทพภูเขาจิ้งหลิงแห่งนี้จึงเพิ่มมากกว่าเดิมอีกหลายส่วนด้วย

ชายหญิงที่แวะมาเที่ยวเยือนศาลเทพภูเขาจิ้งหลิงก็คือเฉินผิงอันกับหนิงเหยาที่ทะยานลมเดินทางท่องเที่ยวมาทางทิศใต้

ระหว่างที่เดินทางมาเฉินผิงอันได้บอกเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ของหมู่บ้านวารีกระบี่ในอดีตให้หนิงเหยาฟังแล้ว เหตุใดผู้อาวุโสซ่งถึงยินดียกกิจการบรรพบุรุษย้ายมาอยู่อย่างสันโดษเช่นนี้ รวมไปถึงการค้าขายที่เป็นเรื่องวงในของราชสำนักแคว้นซูสุ่ย ตัวตนที่แท้จริงของหลิ่วเชี่ยน อดีตสี่พิฆาตแคว้นซูสุ่ย และถือโอกาสพูดไปถึงซูหลางเซียนกระบี่ไผ่เขียวแห่งแคว้นซงซี เวลานี้กำลังยิ้มพูดแนะนำว่า “ภูเขาลูกนี้คนในพื้นที่เรียกว่าซินอี้เจียน ทางฝั่งของลำคลองหวงเหอมีตัวอักษรใหญ่แกะสลักไว้บนหน้าผา เป็นตัวอักษรสีชาดแปดคำ ‘ยึดครองพักพิงในฤดูใบไม้ร่วง มังกรจำศีลฟื้นคืนชีพ’ ท่านเทพลำคลองหวงเหอรู้สึกว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี ดังนั้นจึงสร้างจวนวารีลำคลองหวงเหอไว้กลางน้ำด้านล่างหน้าผา อันที่จริงตามกฎของภูเขาสายน้ำทั่วไปแล้ว จวนวารีไม่เหมาะจะสร้างใกล้ภูเขาเช่นนี้ ง่ายที่น้ำและภูเขาจะขัดแย้งกันเอง”

หนิงเหยาถาม “ราชาแห่งลำคลองหวงเหอ? มาจากที่ใดกัน?”

เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ร่างจริงคือปลาเหนียน (แคชฟิช ลักษณะคล้ายปลาดุก แต่ไม่ใช่ ลำตัวมีเมือกมาก ไม่มีเกล็ด หลังดำ ท้องขาว หัวแขน ปากกว้าง คางบนและล่างมีหนวดสี่เส้น หางกลม) ยักษ์ตัวหนึ่ง ลำคลองหวงเหอน้ำขุ่น ใกล้ชิดกับมหามรรคา แต่ได้ยินมาว่าเทพลำคลองผู้นี้ปกติแล้วชอบที่จะเรียกตัวเองว่านักพรต ชอบความเงียบสงบ มีความประณีตพิถีพิถันอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่ค่อยชอบชื่อเรียกว่าราชาแห่งหวงเหอสักเท่าไร เพียงแต่ว่าชาวบ้านสองแคว้นที่อยู่เลียบลำคลองหวงเหอชอบเรียกอย่างนี้ก็เลยเปลี่ยนได้ยากแล้ว”

หนิงเหยากล่าว “รับอนุก็รับอนุสิ ทำไมถึงพูดว่าเทพลำคลองแต่งภรรยาเล่า”

เฉินผิงอันหุบยิ้มฉับ ไม่เอ่ยอะไรอีก

ไปถึงศาลเทพภูเขาจิ้งหลิง คนที่มาจุดธูปกราบไหว้มีบางตา ส่วนใหญ่เป็นบัณฑิตและปัญญาชน เพราะรองเจ้ากรมพิธีการที่มาแต่งตั้งภูเขาลูกนี้ในปีนั้นเป็นผู้รับผิดชอบจัดการสอบระดับมณฑลครั้งใหญ่ของแคว้นซูสุ่ยปีนี้

เฉินผิงอันคีบธูปภูเขาออกมาสามดอก หลังจากจุดธูปแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่ได้เหมือนชาวบ้านที่จุดธูปขอพรที่แค่โขกหัวคำนับก็เสร็จสิ้น ตามหลักมารยาทแล้วไม่เหมาะสม เฉินผิงอันเพียงแค่คารวะฟ้าดินสี่ทิศ ไม่ได้กราบไหว้รูปปั้นเหนียงเนียงเทพภูเขาที่อยู่ในห้องโถงด้วยซ้ำ เอ่ยในใจหนึ่งประโยค จากนั้นก็ปักธูปลงในกระถาง หนิงเหยาถึงขั้นไม่ได้จุดธูป ไม่ใช่เพราะหนิงเหยาดูแคลนสถานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของหลิ่วเชี่ยน เพราะถึงอย่างไรศาลเทพภูเขาของหลิ่วเชี่ยนแห่งนี้ก็ไม่มีทางรับการถือธูปผงกศีรษะสามครั้งจากหนิงเหยาได้แน่นอน ดังนั้นต่อให้หนิงเหยายินดีทำ เฉินผิงอันก็ต้องห้ามอยู่แล้ว

ริ้วแสงกระเพื่อมสว่างวาบขึ้นมาบนเทวรูปหลากสี เพียงไม่นานก็มีสตรีสวมชุดกระโปรงพลิ้วไสวคนหนึ่งเดินก้าวออกมาจากร่างทองของเทพภูเขา หลิ่วเชี่ยนร่ายเวทอำพรางตา นางย่อมมีวิชาอภินิหารที่ทำให้มนุษย์ธรรมดาซึ่งมาขอพรที่ศาลจำนางไม่ได้แม้จะอยู่ตรงกันข้าม

เฉินผิงอันกับหนิงเหยายืนอยู่ในมุมที่เงียบสงัด หลิ่วเชี่ยนถอนสายบัวคารวะด้วยสีหน้าสดใส เฉินผิงอันกับหนิงเหยากุมหมัดคารวะกลับคืน

หลิ่วเชี่ยนเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชายเฉิน ท่านผู้นี้ใช่เซียนกระบี่หนิงแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือไม่?”

หากเป็นคนทั่วไป นางหรือจะกล้าถามเช่นนี้ ถามถึงผิดคนขึ้นมา สตรีตรงหน้าไม่ได้แซ่หนิง ผลลัพธ์ย่อมร้ายแรงจนมิอาจจินตนาการได้ถึง แต่เมื่อเป็นเฉินผิงอัน หลิ่วเชี่ยนกลับยังพอจะมั่นใจอยู่บ้าง

หนิงเหยาพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

ก่อนหน้านี้ได้ยินเฉินผิงอันเล่าให้ฟังถึงอดีตระหว่างหลิ่วเชี่ยนและซ่งเฟิ่งซาน กว่าจะได้เดินเคียงข้างกันได้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ

หลิ่วเชี่ยนคลี่ยิ้มหวาน เอ่ยอย่างกระจ่างแจ้งว่า “มิน่าเล่าคุณชายเฉินถึงยินดีเดินทางผ่านพันภูเขาหมื่นสายน้ำ แต่ก็ต้องไปหาแม่นางหนิงที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ให้จงได้”

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ทุกวันนี้ผู้อาวุโสซ่งคงอยู่ที่จวนกระมัง?”

หลิ่วเชี่ยนพยักหน้ารับ “คราวก่อนท่านปู่ไปท่องเที่ยวในยุทธภพแล้วกลับมาบ้าน ได้ยินว่าคุณชายเฉินกลับบ้านเกิดแล้วก็ออกท่องยุทธภพอีกครั้ง แต่ว่าคราวนี้ไปแค่ใกล้ๆ ทุกครั้งแค่ไปถึงหน้าประตูก็หยุด”

กล่าวมาถึงตรงนี้ หลิ่วเชี่ยนก็อดไม่ไหวคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า ท่านปู่ที่ในอดีตไม่ชอบยิ้มแย้มพูดคุย ทุกวันนี้กลับเหมือนเด็กแก่ เฟิ่งซานคอยคุมไม่ให้เขาดื่มเหล้า เขาก็จะแอบดื่ม ทุกครั้งแสร้งทำเป็นเดินเล่นไปถึงหน้าประตูแล้วยังจงใจหลบเลี่ยงเฟิ่งซาน ภายหลังเฟิ่งซานแกล้งถามว่าจะส่งจดหมายไปให้ที่ภูเขาลั่วพั่วอีกฉบับหนึ่งเพื่อเร่งเฉินผิงอันหรือไม่ ผู้เฒ่าก็จะเป่าหนวดถลึงตาใส่ บอกว่าใครขอร้องให้เขามากัน อยากมาก็มา ไม่อยากมาก็ไม่ต้องมา ไม่เห็นจะอยากเจอ แต่ช่วงที่ผ่านมานี้ผู้เฒ่ากลับไม่ดื่มเหล้าอีกแล้ว คล้ายกับว่าสะสมเอาไว้ก่อน

เฉินผิงอันถาม “พี่สะใภ้เพิ่งมาจากจวนวารีลำคลองหวงเหอหรือ? จะถ่วงเวลาการทำธุระของท่านหรือไม่?”

หลิ่วเชี่ยนส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่หรอก ความสัมพันธ์ระหว่างจิ้งหลิงกับหวงเหอนั้นไม่เลว ครั้งนี้เทพลำคลองแต่งภรรยา เฟิ่งซานกับข้าจึงไปช่วยต้อนรับแขกที่นั่น เมื่อครู่ได้ยินเสียงในใจของคุณชายเฉิน ข้าก็เลยกลับมาก่อน ใช้นกกระจอกภูเขาส่งข่าวไปแจ้งท่านปู่แล้ว ตอนนี้เฟิ่งซานก็น่าจะออกเดินทางแล้ว เขาจะไปที่เรือนโดยตรง จะได้ไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมาให้ท่านปู่รอนาน”

การที่หลิ่วเชี่ยนเลือกสถานที่แห่งนี้สร้างศาลภูเขา เหตุผลหนึ่งในนั้นก็คือซ่งอวี่เซาเป็นสหายรักกับเทพลำคลองหวงเหอ ทั้งสองฝ่ายถูกชะตากันมาก ญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงนี่นะ

เฉินผิงอันกุมหมัดกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนพี่สะใภ้ช่วยนำทางด้วย”

หลิ่วเชี่ยนทะยานลมนำหน้าเดินทางไปไกล เฉินผิงอันกับหนิงเหยาตามไปเบื้องหลัง เรือนพักห่างจากศาลประมาณร้อยลี้ระยะทางภูเขา หลังจากซ่งอวี่เซาล้างมือลาจากวงการ เก็บตัวอยู่อย่างสันโดษ หลายปีมานี้ก็มีบ้างบางครั้งที่ออกท่องยุทธภพเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ แต่กลับไม่พกกระบี่ประจำตัวอีกต่อไป ยิ่งไม่เปิดปฏิทินเหลืองก่อนออกจากบ้านอีก

คนทั้งสามพลิ้วกายลงหน้าประตูบ้าน เมื่อเทียบกับหมู่บ้านวารีกระบี่ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งยุทธจักรของเขตชิงซงในอดีตแล้ว เรือนพักที่อยู่ตรงหน้าเรียกได้ว่าเก่าโทรมแร้นแค้น ตรงหน้าประตูมีผู้เฒ่าที่ทั้งผมและหนวดล้วนเป็นสีขาวยืนอยู่ เขาเอาสองมือไพล่หลัง เรือนกายงองุ้มน้อยๆ หรี่ตายิ้ม

เฉินผิงอันบิดหมุนข้อมือหนึ่งที ในมือก็มีฝักกระบี่ไผ่เหลืองชิ้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา เขาชูมันขึ้นสูงแล้วโยนเบาๆ ไปให้ผู้เฒ่า

ซ่งอวี่เซาอึ้งตะลึง ยื่นมือมารับฝักกระบี่เอาไว้ ถามอย่างสงสัย “เจ้าหนู ไปเอากลับมาได้อย่างไร? ซื้อ ยืม แย่ง?”

กล่าวมาถึงสุดท้ายผู้เฒ่าก็หัวเราะเสียงดังลั่นอยู่กับตัวเอง ช่างมารดามันเถอะ เจ้าเด็กน้อยนี่ก็เอาฝักกระบี่กลับมาได้แล้วไม่ใช่หรือ?

เฉินผิงอันเดินเร็วๆ ไปข้างหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตามกฎของยุทธภพ คนเอาไปเอาไปอย่างไรก็ต้องเอากลับมาคืนอย่างนั้น”

เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้น ยิ้มพูดว่าข้ามาช้าไปแล้ว ต้องดื่มลงโทษตัวเองก่อนสามชาม หลังจากดื่มติดกันรวดสามชามก็รินเหล้าอีกครั้ง ยกชามชนกับผู้อาวุโสซ่งเบาๆ ต่างคนต่างดื่มจนหมด แล้วต่างคนก็ต่างรินเหล้าเต็มชามอีกครั้ง เฉินผิงอันคีบกับแกล้มขึ้นมากินคำใหญ่ ต้องชะลอเสียหน่อย

ซ่งอวี่เซายิ้มถาม “ประมือกับหม่าฉวีเซียนอย่างไร ไหนเจ้าลองเล่าให้ข้าฟังบ้างสิ”

นี่ต่างหากจึงจะเป็นกับแกล้มที่แท้จริง

เฉินผิงอันจึงเล่าขั้นตอนให้ฟังคร่าวๆ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นแค่เรื่องของไม่กี่หมัดเท่านั้น

ซ่งอวี่เซาดื่มเหล้าแล้วก็เช็ดปาก จุ๊ปากพูดว่า “ถูกเจ้าต่อยจนขอบเขตถดถอยเชียวหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ยกขาข้างหนึ่งวางลงบนม้านั่งยาว “วันหน้าหากยังกล้ามาถามหมัดก็จะทำให้เขาขอบเขตถดถอยอีก ถดถอยจนกว่าจะไม่กล้าถามหมัด”

ซ่งอวี่เซาผงกปลายคาง เฉินผิงอันก็แกล้งโง่ ซ่งอวี่เซาจึงได้แต่เอ่ยเตือนว่า “กล้าถามหมัดหนักขนาดนี้ ก็ไม่ควรต้องดื่มเหล้าชามใหญ่หรอกหรือ ชามที่บ้านเล็ก เจ้าต้องดื่มสองชามให้เป็นพิธีเสียก่อน เหล้าหมักเองประเภทนี้ นอกจากดื่มจนอิ่มแล้วก็ไม่อาจทำให้เมาได้เลย อย่ามัวแต่อิดออดอยู่เลย อยู่บนโต๊ะเหล้ายุให้คนอื่นดื่มเหล้าเป็นการเสียมารยาท ทว่าเอาแต่กินกับแกล้มไม่ดื่มเหล้า รอให้คนยุก่อนถึงจะดื่มกลับเสียมารยาทยิ่งกว่า”

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “อีกเดี๋ยวรอให้พี่ใหญ่ซ่งมานั่งที่โต๊ะแล้ว คำพูดแบบนี้ผู้อาวุโสก็พูดกับเขาด้วยนะ ให้พี่ใหญ่ซ่งเอาอย่างข้า ดื่มหมดสามชามก่อนค่อยนั่งลง”

ซ่งอวี่เซายิ้มกล่าว “เฟิ่งซานเก็บกดจะแย่แล้ว เมื่อหลายปีก่อนเอาแต่คิดว่าวันหน้าต้องให้กำเนิดลูกสาวสักคน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นพ่อตาใครบางคนได้ ตอนนี้กลับดีนัก ไม่มีเรื่องให้ลุ้นแล้ว อีกเดี๋ยวเจ้าก็คิดเอาเองแล้วกันว่าจะทำอย่างไร แต่หากเป็นข้าข้าทนไม่ได้หรอก”

เฉินผิงอันลูบหน้า “หาเรื่องดื่มน่ะสิ”

ซ่งอวี่เซาสลัดรองเท้าทิ้ง นั่งขัดสมาธิ ดวงตาฉายประกายวิบวับ ยิ้มถามว่า “อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่คงได้เจอกับเซียนกระบี่ไม่น้อยเลยกระมัง?”

เฉินผิงอันพยักหน้า “เคยเห็นมาหมดแล้ว”

หลังจากนั้นซ่งอวี่เซาก็ไม่ได้ถามถึงอดีตตอนที่เฉินผิงอันอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ให้มากความแม้แต่ครึ่งคำ คนต่างถิ่นอายุน้อยคนหนึ่งกลายเป็นอิ่นกวานได้อย่างไร กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริงได้อย่างไร ท่ามกลางสงครามใหญ่ครั้งนั้นออกกระบี่ออกหมัดใส่ใครบ้าง รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเซียนกระบี่คนใดบ้าง เคยยกจอกเหล้าบนโต๊ะสุรามากี่มากน้อย ต้องพบเจอการจากลาไร้เสียงบนสนามรบมากี่ครั้ง ผู้เฒ่าไม่ได้ถามแม้แต่เรื่องเดียว

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ถามว่าเหตุใดถึงไม่เห็นพ่อบ้านผู้เฒ่าฉู่และคนเฝ้าประตูเหล่าฉี แค่ถามสถานการณ์ในยุทธภพแคว้นซูสุ่ยช่วงที่ผ่านมา รู้ว่าหวังอี้หรานเจ้าประมุขแห่งยุทธจักรของหมู่บ้านภูเขาเหิงเตา วิชาดาบยิ่งพัฒนาขึ้นไปอีกหลายขั้น ได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดคนที่สองในยุทธภพตามหลังซูหลางเซียนกระบี่ไผ่เขียวแห่งแคว้นซงซี ฝ่าทะลุขอบเขตเร็วกว่าซ่งเฟิ่งซานอยู่หลายปี และทุกวันนี้ซูหลางก็ปิดด่านอยู่ ว่ากันว่ามีหวังว่าออกจากด่านแล้วจะได้เป็นขอบเขตเดินทางไกล ก่อนจะเปิดด่านครั้งนี้ ซูหลางที่สะพายกระบี่สีเขียวมรกตห้อยไผ่เขียวยังต้องใจแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนที่นี่โดยเฉพาะ มาพูดคุยรำลึกความหลังกับซ่งอวี่เซา ถือว่าเป็นการคลี่คลายบุญคุณความแค้นในอดีตกันไป

ส่วน ‘ฉู่หาว’ แม่ทัพใหญ่ที่สถานะแท้จริงคือหันหยวนซ่านแห่งภูเขาเสี่ยวฉงก็ได้ยึดอำนาจของทั้งแคว้นมาไว้ในมือ ทำให้ฮ่องเต้เป็นเพียงตำแหน่งที่ว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากสงครามใหญ่ที่ลามมาถึงภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปในครั้งนั้น หันหยวนซ่านมีคุณความชอบทางการสู้รบที่โดดเด่น ต่อสู้อย่างยากลำบากในสงครามดุเดือดโดยไม่ยอมล่าถอยอยู่หลายครั้ง ทั้งเรื่องการโยกย้ายทหารและกองกำลัง การต่อสู้ที่มีระบบระเบียบ สร้างความสาแก่ใจให้ผู้คน คำวิจารณ์ที่เกี่ยวกับเขาจึงแปรเปลี่ยนไป ผู้นำของฝ่ายมารที่ในอดีตผู้คนอยากสังหาร กลายเป็นว่ามีชื่อเสียงที่ไม่เลวทั้งในราชสำนัก วงการการประพันธ์และยุทธภพ เป็นเหตุให้ทั่วทั้งราชสำนักของแคว้นซูสุ่ยในทุกวันนี้ต่างก็เล่าลือกันว่าฝ่าบาทตั้งใจจะสละราชบัลลังก์ให้ เพราะสาเหตุมาจากที่หลานสะใภ้หลิ่วเชี่ยนคือสายลับของต้าหลี ซ่งอวี่เซาจึงรู้เรื่องวงในค่อนข้างมาก แคว้นซูสุ่ยในทุกวันนี้ยังคงเป็นแคว้นใต้อาณัติของต้าหลี ฮ่องเต้มีใจจะสลัดสถานะในชั้นนี้ทิ้ง บวกกับที่ไม่อาจแย่งชิงกับ ‘ฉู่หาว’ แม่ทัพใหญ่ที่ควบหลายตำแหน่ง หรือควรจะเรียกว่าหันหยวนซ่านที่พึ่งพาสกุลซ่งต้าหลีคนนั้นไม่ได้จริงๆ จึงเท่ากับว่าสามฝ่ายอย่างฮ่องเต้ หันหยวนซ่านและราชวงศ์ต้าหลีได้ทำการค้ากันใต้โต๊ะ ไม่จำเป็นต้องให้โอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันสละราชบัลลังก์ เพราะคนที่เป็นฮ่องเต้ ในนามแล้วยังเป็นองค์ชายที่ไร้ชื่อเสียงของแคว้นซูสุ่ยพระองค์หนึ่ง แน่นอนว่าเป็นหันหยวนซ่านที่เปลี่ยนแปลงสถานะ ดังนั้นจึงเปลี่ยนแค่ชื่อรัชสมัย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อราชวงศ์ ส่วน ‘ฉู่หาว’ ที่คุณความชอบสูงส่งสะท้านบัลลังก์ผู้เป็นนายก็ทำให้คนตกตะลึงกันไปครั้งใหญ่ เพราะสามารถลาออกจากตำแหน่งขุนนางถอนตัวกลับบ้านเกิดได้สำเร็จ แคว้นซูสุ่ยในวันหน้าจะไม่ได้เป็นแคว้นใต้อาณัติของสกุลซ่งต้าหลีอีก แต่กลับจะเหมือนแคว้นใต้อาณัติมากยิ่งกว่าเดิม แผนการลับที่คล้ายคลึงกันนี้ ยังต้องมีอีกมากในต้าหลีแน่นอน

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!