แต่เพียงไม่นานจู๋หวงก็หยุดพูด เพราะมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยือน ประหนึ่งนกที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ หลังจากที่นางเผยกายก็สะบัดชายแขนเสื้อสองข้าง ประสานมือคารวะเฉินผิงอัน เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าอาจารย์ จากนั้นเถียนหว่านบรรพจารย์หญิงแห่งยอดเขาจูอวี๋ผู้นี้ก็นั่งแปะลงไปกับพื้น ยิ้มหวานมองจู๋หวงราวกับหญิงบ้าที่ธาตุไฟเข้าแทรก หยิบเอากระจก ตลับผงประทินโฉมออกมาจากในชายแขนเสื้อแล้วเริ่มละเลงลงบนใบหน้า โคลงศีรษะเอ่ยว่า “คนที่ไร้เหตุผลถึงได้รำคาญเหตุผล ถ้าอย่างนั้นก็จะใช้เหตุผลทำให้เจ้ารำคาญจนตายไปเลย เจ้าจะทำอะไรข้าได้?”
จู๋หวงคร้านจะมองเถียนหว่านที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ผู้นี้ให้เสียสายตา เพียงแค่หยิบป้ายหยกที่ห้อยอยู่ตรงเอวขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ เซียนเหรินที่อยู่บนยอดกระบี่ก่อนหน้านี้อย่างมากสุดก็ประคองตัวได้แค่หนึ่งก้านธูป ตอนนี้ก็เป็นเวลาก้านธูปใหม่อีกก้านหนึ่งแล้ว
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “ของขวัญหนักเกินไปแล้ว”
เถียนหว่านกุมท้องหัวเราะก๊าก ทิ้งตัวนอนไปด้านหลังแล้วกลิ้งตลบไปมาอยู่บนพื้น ดั่งกิ่งบุปผาสะเทือนไหว ชวนให้คนสะอิดสะเอียนอย่างถึงที่สุด
จู๋หวงเหลือบมองเถียนหว่าน ถามว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าว “มาทำไมกัน อีกเดี๋ยวข้าก็จะตามไปทันเรือข้ามฟากอยู่แล้ว”
นาทีถัดมาจู๋หวงก็สังเกตเห็นว่าตรงโต๊ะฝั่งตรงข้ามกับเถียนหว่านมีสตรีสะพายกระบี่คนหนึ่งเผยตัว มือนางกุมฝักกระบี่ ใช้ปลายฝักกระบี่ดันแผ่นหยกที่อยู่บนโต๊ะ “ทุ่มไหแตกให้แหลกอย่างไร?”
นางกดฝักกระบี่เบาๆ แผ่นหยกก็แตกคาที่
ในใจจู๋หวงตกตะลึงพรึงเพริดสุดขีด ได้แต่รีบม้วนชายแขนเสื้อพยายามจะรวบรวมปณิธานกระบี่ที่กระจายออกไปส่วนนั้นกลับมา คิดไม่ถึงว่าสตรีผู้นั้นจะใช้ฝักกระบี่เคาะโต๊ะเบาๆ แค่ไม่กี่ที ปณิธานกระบี่ซับซ้อนที่ตัดสลับกันก็เหมือนได้รับการอภัยโทษ มองข้ามการควบคุมทางจิตของจู๋หวง กลับเป็นเหมือนผู้ฝึกตนที่ทำตามคำสั่งของบรรพจารย์จึงสลายหายไปในทันที วิถีกระบี่แต่ละเส้นถูกดึงออกมาจนบนโต๊ะเหมือนบุปผาผลิบาน มองเห็นเส้นสายได้อย่างชัดเจน
‘เถียนหว่าน’ รีบลุกขึ้นยืนคารวะ “คารวะอาจารย์แม่”
หนิงเหยาพยักหน้าเบาๆ อดไม่ไหวเอ่ยว่า “เปลี่ยนหน้ากากใหม่เถอะ”
“รับคำสั่ง!” ชุยตงซานรีบถอนเวทอำพรางตาออก กลับคืนมาเป็นเด็กหนุ่มชุดขาวอีกครั้ง
เถียนหว่านถูกเขาดึงจิตวิญญาณออกมานานแล้ว เท่ากับว่านางได้เดินบนทางสายเดิมที่ปีนั้นชุยตงซานเคยเดินผ่านด้วยตัวเองมาก่อน จากนั้นจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งของเถียนหว่านก็ถูกชุยตงซานลบความทรงจำทั้งหมดทิ้งไป เอาไปไว้ในคนกระเบื้องที่มีรูปโฉมเป็นเด็กสาว ดินน้ำของพื้นที่หนึ่งเลี้ยงดูคนได้หมื่นคน ‘ประหนึ่งบุปผาถือกำเนิดเติบโต’
หนิงเหยาเอ่ยกับเฉินผิงอัน “พวกเจ้าคุยกันต่อเถอะ”
เฉินผิงอันยิ้มรับ “ได้ แค่ไม่กี่ประโยคก็คุยกันเสร็จแล้ว”
หนิงเหยาเดินไปตรงราวรั้ว ชุยตงซานนั่งกลับลงไปอีกครั้ง ครั้งนี้นั่งตัวตรงอย่างสำรวม ไม่ได้เล่นสนุกอย่างก่อนหน้านี้อีก
จู๋หวงนั่งนิ่งไม่ขยับ ถึงขั้นไม่กล้ารวบรวมปณิธานกระบี่มาอีกครั้ง หางตาเหลือบไปเห็นแผ่นหยกที่ปริแตก เจ้าสำนักผู้นี้รู้สึกเหมือนหัวใจแหลกสลาย
โชคดีที่ตอนมาอำพรางร่องรอย อีกทั้งยังสกัดกั้นฟ้าดินของระเบียงชมทัศนียภาพแห่งนี้ ไม่ถึงขั้นเปิดเผยเรื่องที่ตนมาพบหน้าเฉินผิงอันออกไป ไม่อย่างนั้นหากเซี่ยหย่วนชุ่ยผู้เป็นอาจารย์ลุงเห็นภาพนี้เข้า ไม่แน่ว่าอาจเกิดความคิดที่จะชิงตำแหน่งเจ้าสำนักของเขาไปเลยก็ได้
ไม่ว่าจิตใจและขอบเขตของเจ้าสำนักแต่ละรุ่นของภูเขาตะวันเที่ยงจะเป็นเช่นไร การที่สามารถนั่งอยู่บนตำแหน่งได้อย่างมั่นคงก็ล้วนอาศัยแผ่นหยกแผ่นนี้ทั้งสิ้น
เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปอีกครั้ง ยิ้มเอ่ย “มาที่นี่เพื่อรอให้เจ้ามาหาก็เพราะมีเรื่องหนึ่ง ซึ่งยังต้องให้เจ้าจู๋หวงเลือกเอง”
ก่อนหน้านี้ดื่มชาอยู่ในศาลบรรพจารย์บนยอดเขาอีเซี่ยน คือให้จู๋หวงเลือกระหว่างภูเขาตะวันเที่ยงกับหยวนเจินเย่
จู๋หวงกล่าว “ล้างหูรอฟังแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ย “ตัวเลือกเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างภูเขาตะวันเที่ยง เจ้าสามารถเลือกคนใดคนหนึ่งจากสามคนนี้ เถาแยนโป หลิวจื้อเม่า หยวนป๋าย”
คนหนึ่งคือเทพเจ้าแห่งโชคลาภคนก่อนที่กำลังจะถูกคำสั่งให้ปิดภูเขาชิวลิ่งนานร้อยปี คนหนึ่งคือผู้ถวายงานอันดับหนึ่งสำนักเจินจิ้งที่มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระ อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่ของยอดเขาตุ้ยเซวี่ยที่ยังไม่ได้ถูกตัดชื่อออกอย่างเป็นทางการ
จู๋หวงหลุดหัวเราะพรืด พูดอย่างไม่ใคร่จะแน่ใจนัก “หลิวจื้อเม่า? สกัดคงคาเจินจวินแห่งสำนักเจินจิ้งน่ะหรือ?”
ชุยตงซานยื่นมือมาตบตรงหัวใจ พึมพำกับตัวเองว่า “แค่ฟังว่ายังสร้างสำนักเบื้องล่างได้ ในใจของผู้ฝึกตนยอดเขาจูอวี๋อย่างข้าก็เบิกบานดุจบุปผาบานสะพรั่งแล้ว”
จู๋หวงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เอ่ยว่า “เพิ่งจะประชุมศาลบรรพจารย์กันไป ข้ายึดอำนาจใหญ่ในการปกครองของเถาแยนโปมาแล้ว ภูเขาชิวลิ่งต้องปิดภูเขาร้อยปี”
จู๋หวงยิ้มเจื่อนเอ่ยต่ออีกว่า “ส่วนหยวนป๋าย จิ้นซานจวินแห่งขุนเขากลางหรือจะยอมปล่อยคน? แล้วนับประสาอะไรกับที่จิตใจของหยวนป๋ายเด็ดเดี่ยว เป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองอย่างมาก ในเมื่อเขาป่าวประกาศแล้วว่าออกจากภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว เกรงว่าคงยากที่จะเปลี่ยนใจกระมัง?”
ชุยตงซานจุ๊ปาก “โอ้โห เจ้าสำนักจู๋ช่างดูถูกตัวเองเสียจริง ปีนั้นสามารถใช้ความรู้สึกทำให้ซาบซึ้ง ใช้เหตุผลทำให้เข้าใจ เอ่ยโน้มน้าวหยวนป๋ายที่เป็นคนต่างถิ่นคนหนึ่งให้มาเป็นเค่อชิงบ้านตนแล้วค่อยเป็นผู้ถวายงาน ทำให้หยวนป๋ายไม่สนใจความเป็นความตาย ยอมผิดต่อจิตแห่งกระบี่ แต่ก็ต้องไปถามกระบี่กับหวงเหอให้ได้ เวลานี้เพิ่งจะเห็นว่าหยวนป๋ายมีความคิดเป็นของตัวเอง? หรือจะบอกว่าเจ้าสำนักจู๋อายุมากแล้วก็เลยขี้หลงขี้ลืมมากตามไปด้วย?”
เฉินผิงอันผลักถ้วยชาไปให้ชุยตงซาน สั่งสอนยิ้มๆ “พูดจากับเจ้าสำนักจู๋แบบนี้ได้ยังไง”
ชุยตงซานรับถ้วยชามาด้วยสองมือ กระดกหน้าดื่มรวดเดียวหมด
ในใจจู๋หวงตัดสินใจได้แล้ว จึงถามคำถามสุดท้าย “เพียงแค่นี้? เจ้าสำนักเฉินยังมีอะไรอยากจะสั่งความอีกหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แค่นี้แหละ”
จู๋หวงถอนหายใจ เอ่ยว่า “รบกวนเจ้าขุนเขาเฉินมีอะไรก็พูดมาตรงๆ พูดคำเดียวให้ข้าเข้าใจได้เลย”
เฉินผิงอันเอ่ย “มีแค่นี้จริงๆ”
จู๋หวงส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ ลังเลอยู่ชั่วขณะก็ยกชายแขนเสื้อขึ้น เพียงแต่ว่าเพิ่งจะมีการกระทำนี้ เด็กหนุ่มหน้าตางดงามที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วก็เอาสองมือยันพื้น ขยับถอยไปด้านหลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก โหวกเหวกไม่หยุด “อาจารย์โปรดระวัง จู๋หวงผู้นี้เปลี่ยนสีหน้าไม่จำคน คิดจะใช้อาวุธลับทำร้ายคนแล้ว! ไม่อย่างนั้นก็คงเลียนแบบการขว้างแก้วให้สัญญา คิดจะออกคำสั่งแก่เหล่าผู้กล้า อาศัยว่ามากคนมากกำลัง คิดจะรุมซ้อมพวกเราอยู่ในถิ่นบ้านตัวเอง…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!