เถียนหว่านไม่เหลือสีหน้าประจบสอพลออย่างในอดีตอีกต่อไป จ้องมองเศษสวะของภูเขาตะวันเที่ยงผู้นี้ด้วยสายตาคมกล้า สีหน้าของนางเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “จู๋หวง แนะนำเจ้าว่าดูแลแผงลอยเละเทะของตัวเองให้ดีเถอะ ภูเขาลั่วพั่วไม่ใช่สวนลมฟ้า เฉินผิงอันเองก็ไม่ใช่หลี่ถวนจิ่ง อย่าคิดว่ามรสุมสงบลงแล้ว ส่วนข้า ขอแค่เจ้ารู้กาลเทศะสักหน่อย ในทางส่วนตัวอย่าได้สืบเสาะอะไรส่งเดชอีก ข้าก็จะยังเป็นบรรพจารย์หญิงของยอดเขาจูอวี๋ เป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลองกับยอดเขาอีเซี่ยน”
จู๋หวงอดทนจนผ่านเรื่องไม่คาดฝันใหญ่เทียมฟ้าที่เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นพรวนมาได้ จึงไม่คิดจะถือสาเถียนหว่านที่นิสัยเปลี่ยนไปจากเดิมมากอีก ยิ้มเอ่ยว่า “ซูเจี้ยกับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้น รวมไปถึงอู๋ถีจิงลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้า ถึงอย่างไรก็ล้วนเป็นเจ้าที่พาขึ้นเขามา รายละเอียดจะจัดการอย่างไร เจ้าก็เป็นคนตัดสินใจเองเถอะ”
เถียนหว่านเอ่ยอย่างเฉยชา “รีบคืนสถานะผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ให้ซูเจี้ยทันที นางยังมีคุณสมบัติที่จะฝึกกระบี่ได้ต่อ ข้าจะช่วยเหลือนางอย่างลับๆ ส่วนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นให้เก็บเข้าคลังสมบัติ ในนามยังคงเป็นของภูเขาตะวันเที่ยง เมื่อไหร่ที่ต้องเอามาใช้ ข้าจะไปเอามาเอง ส่วนอู๋ถีจิงที่ออกจากภูเขาไปแล้ว เจ้าไม่ต้องสนใจ วาสนาอาจารย์และศิษย์ของพวกเจ้าหมดสิ้นลงแล้ว เรียกร้องไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ไม่แน่ว่าอาจจะยังช่วยให้ในอนาคตภูเขาตะวันเที่ยงมีเว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียนศาลลมหิมะเพิ่มมาอีกคนก็เป็นได้”
จู๋ถวงถาม “ถ้าอย่างนั้นสามเรื่องอย่างรายงานข่าวของสำนัก รายงานขุนเขาสายน้ำและบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำล่ะ?”
เถียนหว่านหัวเราะหยัน “แน่นอนว่าย่อมต้องรบกวนเจ้าสำนักให้เชิญยอดฝีมือคนอื่นมาทำแล้ว”
อันที่จริงตอนนี้คนที่จู๋หวงอยากตบให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวมากที่สุดก็คือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของเยี่ยนฉู่บนยอดเขาสุ่ยหลงคนนั้น
เถียนหว่านหันหน้ามามองเจ้าสำนักที่เมื่อวานยังมีปณิธานฮึกเหิม คิดวางแผนเล่นงานทั้งทวีป เอ่ยเย้ยหยันว่า “จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ใช่หรือไม่ว่าคนที่ถามกระบี่ แท้จริงแล้วคือใครกันแน่?”
จู๋หวงนั่งลงแล้วก็ผายมือออกมา ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่สู้นั่งลงดื่มชาคุยกันไปช้าๆ?”
เถียนหว่านทะยานลมกลับไปที่ยอดเขาจูอวี๋ที่นกไม่มาเกาะโดยตรง จู๋หวงหัวเราะเย้ยหยันตัวเอง เก็บปณิธานกระบี่พวกนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง จากนั้นเรียกเถ้าแก่เนี้ยะหนีเยว่หรงมาดื่มชาเป็นเพื่อนตน
หนีเยว่หรงนั่งลงบนเบาะรองนั่ง ดื่มชาด้วยความรู้สึกที่ทรมานกว่ากลืนมีดเสียอีก
จู๋หวงพลันโยนคำถามหนึ่งออกไป “หนีเยว่หรง หากปีนั้นเจ้าสามารถเลือกได้ อีกทั้งไม่ว่าจะเลือกอย่างไรก็ไม่ต้องมีเรื่องให้กังวลภายหลัง เจ้าจะยังเลือกเป็นเมียน้อยบนภูเขาของเยี่ยนฉู่อีกหรือไม่?”
หนีเยว่หรงหน้าซีดขาวไร้สีเลือด จู๋หวงโน้มตัวมาด้านหน้า ถึงกับช่วยรินชาเพิ่มให้นาง จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าเป็นมิตรว่า “ไม่ต้องตื่นเต้น ข้าแค่อยากฟังความจริงเท่านั้น”
หนีเยว่หรงเหงื่อแตกเต็มศีรษะ ตอบเสียงสั่นว่า “สามารถเข้าตาผู้คุมกฎเยี่ยน แม้ว่าจะไม่มีฐานะ หนีเยว่หรงไม่มีความไม่พอใจใดๆ หลายปีที่ผ่านมานี้ผู้คุมกฎเยี่ยนช่วยดูแลข้า ดูแลหอกั้วอวิ๋นและยอดเขาชิงอู้มาหลายครั้ง”
จู๋หวงยิ้มพลางพยักหน้ารับ คำตอบของนางคืออะไร เดิมทีก็ไม่สำคัญอยู่แล้ว สิ่งที่จู๋หวงต้องการก็มีแค่อาการหวาดกลัวเหมือนเดินอยู่บนน้ำแข็งบางๆ เช่นนี้ของนาง ดังนั้นจู๋หวงจึงถามอีกว่า “เจ้าคิดว่าหยวนป๋ายเป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่าง สำหรับสำนักพวกเราแล้วเป็นเรื่องดีหรือเป็นเรื่องร้าย?”
หนีเยว่หรงฝืนใจตอบว่า “เจ้าสำนักปราดเปรื่อง”
จู๋หวงยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นหากให้เจ้ารับผิดชอบหน้าที่ดูแลคลังสมบัติของสำนักเบื้องล่าง เจ้าจะทำอย่างไร?”
ความคิดของหนีเยว่หรงเปล่งประกายวาบ เอ่ยว่า “ข้ากับยอดเขาสุ่ยหลงจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแม้แต่น้อย หลังจากนี้ก็มีแต่จะไปมาหาสู่กันแค่เรื่องส่วนรวมเท่านั้น ไม่มีมิตรภาพส่วนตัวอะไรอีก”
จู๋หวงถามต่อว่า “หากเจ้าอยู่ที่สำนักเบื้องล่างแล้วได้กุมอำนาจใหญ่อยู่ในมือ วันใดหมายตาลูกศิษย์ของสำนักเบื้องล่างที่รูปโฉมหล่อเหลา ถูกชะตากับเขามาก เจ้าจะทำอย่างไร? จะเลียนแบบเยี่ยนฉู่ ใช้ผลประโยชน์และอำนาจบารมีมาล่อลวงเขาหรือไม่?”
หนีเยว่หรงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า วันนี้เจ้าสำนักผู้นี้เสียสติไปแล้วหรือไร เหตุใดถึงเอาแต่ถามคำถามประหลาดพวกนี้ หนีเยว่หรงจึงพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “หากทั้งสองฝ่ายเป็นเจ้ายินยอมข้าพร้อมใจก็ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรบนภูเขากัน หากอีกฝ่ายมีคนรักอยู่แล้ว แตงที่ฝืนเด็ดออกมาย่อมไม่หวาน ไม่กล้าบังคับฝืนใจ”
แน่นอนว่าหนีเยว่หรงย่อมกลัวเจ้าสำนักที่อยู่ตรงหน้านี้มาก แต่กับเซียนกระบี่อายุน้อยที่สวมกวานดอกบัว สวมชุดคลุมเต๋าผ้าโปร่งสีเขียวคนนั้น หนีเยว่หรงก็ยังหวาดผวาไม่คลายอยู่เหมือนกัน มักจะรู้สึกว่านาทีถัดไป คนผู้นั้นจะคลี่ยิ้มบางๆ มาปรากฎตัวอยู่ในอาณาเขตของภูเขาตะวันเที่ยงได้ทุกเมื่อราวกับเข้าไปในดินแดนไร้ผู้คน จากนั้นก็มายืนอยู่ข้างกายตน ไม่พูดอะไร แล้วก็ไม่รู้ว่าสรุปแล้วคนผู้นั้นคิดอะไรอยู่ ยิ่งไม่รู้ว่าต่อจากนี้เขาจะทำอะไรต่อ
จู๋หวงถอนหายใจ ความกังวลในใจไม่เพียงแต่ไม่ลดน้อยลงกลับยังเพิ่มมากขึ้น
ดูท่าการถามกระบี่ในวันนี้สิ่งที่อำมหิตที่สุดจะไม่ใช่เวทกระบี่ทั้งหลายของเฉินผิงอันและหลิวเสี้ยนหยาง แต่เป็นสมุดบัญชีที่หลิวเสี้ยนหยางควักออกมาตอนเดินขึ้นเขา
เห็นได้ชัดว่านั่นมีแต่จะเป็นฝีมือของเจ้าขุนเขาเฉิน!
เพราะหลิวเสี้ยนหยางแค่มองก็รู้ว่าเป็นคนเกียจคร้าน ไม่มีทางที่จะทำเรื่องแบบนี้ ส่วนเฉินผิงอันที่อายุน้อยๆ กลับมีกลอุบายลึกล้ำ ดูเหมือนว่าจะมีความอดทนในการลงมือมากที่สุด ขาดก็แค่ไม่ได้ขอตำแหน่งผู้คุมกฎไปจากภูเขาตะวันเที่ยงเท่านั้น คนผู้หนึ่งกลายเป็นเซียนกระบี่กับเป็นเจ้าสำนัก โดยเฉพาะเจ้าสำนักที่ก่อสำนักตั้งพรรคขึ้นมาเอง คือสองเรื่องที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว
จู๋หวงพลันตบโต๊ะแตก ทำเอาหนีเยว่หรงตกใจหมอบกราบอยู่กับพื้น
จู๋หวงลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยุดอยู่ข้างราวรั้ว หันหน้าไปมองทางทิศเหนือ เลือกตำแหน่งเหมาะๆ
หากศิลาแบ่งเขตถูกตั้งขึ้น เมื่อไหร่ถึงจะถึงคราวสิ้นสุด?!
ทางฝั่งของท่าเรือป๋ายลู่ เหวยเลี่ยงเดินอยู่บนทางเล็กริมต้นกกต้นอ้อเพียงลำพัง ถอนสายตากลับมาจากหอกั้วอวิ๋น ยิ้มเอ่ยเสียงเบาว่า “การแยกร่างครั้งหนึ่ง หยุดลงแต่พอสมควร ถึงจุดที่เหมาะสมพอดี”
กลับไปถึงเรือข้ามฟาก เฉินผิงอันกุมหมัดยิ้มเอ่ยกับอวี๋เยว่ “ผู้ถวายงานอวี๋”
โดยทั่วไปแล้วเฉินผิงอันไม่ได้เกรงใจคนอื่นอย่างนี้ แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นผู้ถวายงานคนใหม่
เจ้าขุนเขาหนุ่มไม่ได้เรียกเค่อชิง แต่เรียกว่าผู้ถวายงาน อวี๋เยว่อดไม่ไหวหัวเราะดังลั่น มีประโยคนี้ของอิ่นกวาน หัวใจที่ค้างเติ่งของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก็วางลงพื้นได้แล้ว กลับไปดื่มเหล้าด้วยกันอีกทีจะทำให้ตาเฒ่าผูโมโหตายไปเลย
จากนั้นเฉินผิงอันก็บอกว่าจะประชุม หมี่ลี่น้อยรีบร้อนนำทาง เลือกห้องที่ใหญ่ที่สุดบนเรือมังกร เฉินผิงอันเลือกนั่งบนเก้าอี้ติดกับหน้าประตู ทุกคนก็เลือกที่นั่งกันตามสบาย ไม่มีการแบ่งสถานะสูงต่ำหรือพิถีพิถันเรื่องลำดับศักดิ์อะไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!