ก่อนจะไปเมืองหลวงต้าหลี เฉินผิงอันจูงมือหนิงเหยามายืนอยู่ด้วยกันที่หัวเรือ อดไม่ไหวถามว่า “ต้องคอยวิ่งวุ่นไปทางโน้นทีทางนี้ทีกับข้า รู้สึกรำคาญหรือไม่?”
หนิงเหยามองตาเขา ไม่ได้เอ่ยอะไร
เรื่องราวไม่น่ารำคาญ แต่คนบางคนกลับน่ารำคาญที่สุด
เจียงซ่างเจินอยู่ในห้องของตัวเอง มองบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของเทพธิดาจากตระกูลต่างๆ เฉินหลิงจวินลากอวี๋เยว่ให้ไปเปิดหูเปิดตาด้วยกัน อวี๋เยว่รู้สึกแค่ว่าโจวอันดับหนึ่งผู้นี้ช่างมีเงินจริงๆ สมบัติอาคมและอาวุธวิเศษที่ใช้ดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำกองกันเป็นภูเขาอยู่บนโต๊ะ ม้วนภาพทั้งหลายถูกคลี่กางออกในเวลาเดียวกัน แต่ข้างมือของโจวอันดับหนึ่งมีเงินร้อนน้อยอยู่หนึ่งกอง พูดตรงนี้หนึ่งประโยค พูดตรงนั้นสองสามประโยค โยนเงินไม่หยุด ไม่วุ่นวายแม้แต่น้อย แค่มองก็รู้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ
ส่วนชุยตงซานนั้นอยู่ข้างกายอาจารย์ พูดคุยเรื่องที่ต้องระวังหากไปเยือนเมืองหลวงต้าหลี ดูเหมือนว่าอาจารย์จะเพิ่งเคยไปเยือนที่นั่นเป็นครั้งแรก ชุยตงซานจึงเล่าเรื่องขนบธรรมเนียมในเมืองหลวงให้เขาฟัง
ในเมืองหลวงต้าหลีมีจวนส่วนตัวที่ด้านในมีหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น และยังมีซากปรักของสำนักศึกษาซานหยา สถานที่สองแห่งนี้อาจารย์ต้องไปเยือนแน่นอน
ครั้งนี้ภูเขาลั่วพั่วเข้าร่วมงานพิธีของภูเขาตะวันเที่ยง ทั้งเว่ยเซี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยงต่างก็ไม่ได้ปรากฏตัว เพราะตอนนี้ยังไม่สะดวกจะเปิดเผยสถานะ เว่ยเซี่ยนและเฉาจวิ้น ในอดีตเคยเป็นแขนซ้ายแขนขวาของหลิวสวินเหม่ยลูกหลานเมล็ดพันธ์แม่ทัพ เว่ยคอแข็งที่ติดใจการเป็นขุนนางไม่เพียงแต่อาศัยคุณความชอบทางการทหารที่ลงมือช่วงชิงมาได้ เมื่อหลายปีก่อนจึงได้ตำแหน่งผู้บัญชาการณ์บนหลังม้าตำแหน่งบู๊อย่างใหม่มาครอง ทุกวันนี้หากเป็นขุนนางในชายแดนต้าหลี ก็เท่ากับเป็นแม่ทัพบู๊ผู้กุมอำนาจแท้จริงที่เป็นระดับสี่ชั้นโทแล้ว มีคุณสมบัติที่จะบัญชาการณ์กองกำลังทหารม้าชั้นยอดของกองทัพชายแดนกองหนึ่งเพียงลำพัง ส่วนหลูป๋ายเซี่ยงนั้นไปตีสนิทกับเทพภูเขาของภูเขาทายาทขุนเขากลางคนหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายถูกชะตากันมาก ไม่แน่ว่าวันใดหลูป๋ายเซี่ยงอาจสะบัดร่างพลันกลายไปเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของภูเขาทายาทแห่งขุนเขาใหญ่ก็เป็นได้
เฉินผิงอันพูดถึงหยางฮวาเทพวารีของแม่น้ำเถี่ยฝู จึงพูดไปถึงลำคลองหลงซวีที่คุ้นเคยอย่างเป็นธรรมชาติ
ศาลเทพลำคลองหลงซวีที่เลื่อนจากลำธารเป็นลำคลองไม่มีเทวรูปร่างทองตั้งบูชาซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎ ดังนั้นจนถึงทุกวันนี้ชาวบ้านในเมืองเล็ก นอกจากแซ่ใหญ่ธรณีประตูสูงอย่างถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่แล้ว ก็ล้วนยังไม่รู้ว่าเหนียงเนียงเทพลำคลองคนนั้นคือหม่าหลันฮวา และหญิงชราอย่างหม่าหลันฮวาผู้นี้ก็เป็นบุคคลที่เคยมีหน้ามีตาในเมืองเล็ก เพราะนางเป็นทั้งแม่หมอที่หลอกคนไปทั่ว แล้วยังเป็นแม่สื่อที่ช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ให้ผู้คน ยิ่งเป็นหมอตำแยคนหนึ่ง
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ดูเหมือนว่าปีนั้นหยางเหล่าโถวจะตอบตกลงแม่ย่าลำคลองผู้นั้นว่าเมื่อผ่านไปสามสิบปี รอให้ผู้เฒ่าในเมืองเล็กที่เคยรู้จักโฉมหน้านางตอนเป็นสาวจากไปกันพอสมควรแล้ว ถึงเวลานั้นนางถึงจะสามารถสร้างเทวรูปเสวยสุขกับควันธูปได้”
เกี่ยวพันกับเรื่องของเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิต ความสัมพันธ์จึงซับซ้อน นอกจากตระกูลหม่าของตรอกซิ่งฮวาแล้ว ยังมีเจ้าของเตาเผามังกรทั้งหลายในเมืองเล็ก นอกจากนี้ยังเกี่ยวพันไปถึงซ่งอวี้จางอดีตผู้ตรวจการงานเตาเผาที่ถูก ‘โยกย้ายไปรับตำแหน่งเท่าเดิม’ จากภูเขาลั่วพั่วไปยังภูเขาฉีตุน ไปสร้างศาลเทพภูเขาขึ้นมาใหม่
ขุนนางผู้ช่วยของที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผา บิดาของหลินโส่วอี บุรุษที่พอไปอยู่ในวงการขุนนางของเมืองหลวงก็ยังคงเก็บงำประกายผู้นี้ เคยช่วยเหลือผู้ตรวจการงานเตาเผามาแล้วหลายท่าน
และยังมีกองโหราศาสตร์ในเมืองหลวงต้าหลีที่มีทั้งนักมองลมปราณ และมีอาจารย์แห่งพื้นดิน รวมไปถึง ‘อาจารย์แห่งน้ำ’ อีกจำนวนหนึ่งที่เคยรับผิดชอบการสร้างเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตของเมืองเล็กอย่างลับๆ
ปีนั้นคนที่แพร่งพรายเรื่องวงในของเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตก็คือบิดาของหม่าขู่เสวียน ทว่าตระกูลหม่าแห่งตรอกหนีผิงต้องไม่ใช่ผู้บงการแท้จริงที่อยู่เบื้องหลังแน่นอน
เมื่อเทียบกับการถามกระบี่กับภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว ก็แค่ต้องเดินทวนกระแสน้ำขึ้นไปเท่านั้นเอง อันที่จริงทั้งเส้นสายและเส้นทางล้วนเรียบง่ายอย่างยิ่ง ไม่มีทางแยกอะไรให้เดิน ทว่าเรื่องเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตกลับมีเบาะแสมากมายหลากหลายที่พัวพันกันเป็นปมยุ่งเหยิ่ง ราวกับแม่น้ำน้อยใหญ่ ลำธาร ทะเลสาบ เครือข่ายสายน้ำที่ตัดสลับกันหนาแน่นซับซ้อน
เพียงแต่ว่าแม้สถานการณ์จะซับซ้อน เฉินผิงอันก็ยังไม่รู้สึกตึงมือสักเท่าใด
ชุยตงซานถาม “อาจารย์ ต่อจากนี้ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราคิดจะถือโอกาสเปิดประตูรับลูกศิษย์เลยหรือไม่? หรือว่าจะชะลอไปก่อนค่อยว่ากัน ยังคงรักษาสภาวะกึ่งปิดกึ่งผนึกขุนเขาเอาไว้ต่อไป?”
เฉินผิงอันมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้ว เอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า “เลือกอย่างหลัง อย่างน้อยที่สุดภายในสามสิบปี เว้นเสียจากว่าพวกเจ้ามีใครที่หมายตาในคุณสมบัติของใครบางคน ต่างคนต่างรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดเป็นของตัวเอง ไม่อย่างนั้นภูเขาลั่วพั่วก็จะไม่เป็นฝ่ายรับตัวอ่อนการฝึกตนด้วยตัวเองมาก่อน ต่อให้คุณสมบัติจะดีแค่ไหนก็ล้วนไม่รับ”
ชุยตงซานฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว สองขายกพ้นพื้นลอยกลางอากาศ เอ่ยว่า “พวกเรามีเรื่องกับภูเขาตะวันเที่ยงเช่นนี้จะต้องมีคนได้ข่าวแล้วตามมามากมายเหมือนปลาตะเพียนข้ามแม่น้ำแน่นอน ต่อให้คิดจนหัวแตกก็ยังอยากจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของภูเขาลั่วพั่วเราให้ได้ รวมเซียนกระบี่ใหญ่หมี่เป็นหนึ่งในนั้น มีใครบ้างที่ไม่ใช่อาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาที่ดีเป็นอันดับหนึ่งบนภูเขา ล้วนเป็นพวกขาใหญ่ทั้งนั้น แค่กอดขาใดขาหนึ่งไว้ได้ก็มากพอจะทำให้คนนอกอิจฉาในโชควาสนาแห่งเซียนที่ยิ่งใหญ่นี้แทบตายแล้ว”
อันที่จริงขอแค่เป็นตระกูลเซียนอักษรจงก็ไม่เคยขาดแคลนตัวอ่อนผู้ฝึกตนที่เป็นฝ่ายมาหาถึงบ้านหรือขึ้นเขามาเยี่ยมเยือนเซียน
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “ยินดีรอก็ให้พวกเขารออยู่ในเขตของหลงโจวไป พอดีเลยจะได้ดูว่านิสัยใจคอของแต่ละคนเป็นอย่างไร ไม่ยินดีรอก็ต่างคนต่างกลับบ้าน ภูเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป ซากปรักนับร้อยรอการฟื้นฟู มีที่ใดบ้างที่ไปไม่ได้ แล้วยังต้องกลัดกลุ้มว่าไม่ได้เป็นเทพเซียนทำเนียบวงศ์ตระกูลอีกหรือ”
ตระกูลเซียนบนภูเขารับลูกศิษย์ และการรับเข้าทำเนียบ โดยรวมแล้วก็มีเส้นทางอยู่แค่ไม่กี่เส้น ราชสำนักและแคว้นที่ภูเขาลูกนั้นตั้งอยู่ช่วยคัดเลือกตัวอ่อนการฝึกตนในอาณาเขตของแคว้นมาให้ แล้วส่งตัวขึ้นเขาไปฝึกตน หากไม่เป็นเพราะโชควาสนาอำนวย ไม่มีการสืบทอดจากอาจารย์หรือความบังเอิญใดๆ จับผลัดจับผลูเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตน ก็เป็นอย่างผู้ฝึกตนอิสระที่ลุ่มๆ ดอนๆ ไปตลอดทาง หรือไม่ก็ไปเยือนตระกูลเซียนขนาดใหญ่อย่างระมัดระวังเพื่อลองเสี่ยงดวง
ในพรรคในตระกูลทั้งหลายก็มีผู้ฝึกตนทำเนียบที่เชี่ยวชาญในการทำหน้าที่คอยตรวจสอบฐานกระดูก ใช้ศาสตร์มองลมปราณโดยเฉพาะ ทุกๆ เวลาหลายสิบปีก็จะไปรับงานหนึ่งมาจากศาลบรรพจารย์ สั้นหน่อยก็หลายปี ยาวหน่อยก็สิบกว่าปีหรือถึงขั้นหลายสิบปี แฝงตัวอยู่ล่างภูเขาตลอดทั้งปี รับผิดชอบตามหาวัสดุดีหยกงามให้กับสำนักบ้านตัวเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!