กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 828

ถึงอย่างไรสำนักกุยหยกก็คือสำนักมีชื่อเสียงที่อยู่ระดับบนสุดของหนึ่งทวีป ส่วนวิธีการจัดการกับพื้นที่มงคลของเจียงซ่างเจินก็อำมหิตโหดร้ายเกินไป สวินยวนเคยเรียกเจียงซ่างเจินไปที่นอกศาลบรรพจารย์เป็นการส่วนตัว ถามคำถามเขาติดๆ กันสามข้อ เสียใจภายหลังหรือไม่ จะหยุดมือหรือไม่ อยากตายอยู่ในศาลบรรพจารย์หรือไม่

เจียงซ่างเจินบอกว่าไม่เสียใจภายหลัง ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาไม่มีใครที่สามารถฆ่าได้อีกแล้ว แน่นอนว่าสามารถหยุดมือ ส่วนพวกตะพาบเฒ่าที่อยู่ในศาลบรรพจารย์เหล่านั้น ในเมื่อตอนนี้ยังสู้ไม่ได้ก็วางแผนในระยะยาว วันหน้าค่อยว่ากัน ถือเสียว่าเป็นการอบรมขัดเกลาจิตใจ

ชุยตงซานเคยคุยกับเจียงซ่างเจินเรื่องนี้ หัวเราะร่าสอบถามว่าเมื่อโจวอันดับหนึ่งหวนกลับไปมองเรื่องในอดีตอีกครั้งมีความรู้สึกอย่างไร

ตอนนั้นเจียงซ่างเจินดื่มเหล้า เพียงแค่ยิ้มเอ่ยประโยคเดียวว่า ตัวข้าโง่เอง โทษคนอื่นไม่ได้ โง่จนคนที่เป็นศัตรูกับข้าไม่มีความสามารถที่จะหนีรอดได้อย่างข้า แน่นอนว่าตายไปก็อย่าได้โทษข้า

สุดท้ายชุยตงซานยิ้มถาม โจวอันดับหนึ่ง เจ้าช่วยพื้นที่มงคลรากบัวของพวกเราจัดการกิจการอย่างรอบคอบเช่นนี้ คงไม่ใช่ว่าสะสมความคิดชั่วร้ายไว้เต็มท้อง รอคอยดูงิ้วสนุกหรอกกระมัง?

เจียงซ่างเจินก่นด่าไม่หยุด

สุดท้ายคนสองคนที่ฉลาดอย่างถึงที่สุดก็ทำเพียงแค่ดื่มเหล้ากันไปเงียบๆ คนอย่างพวกเขา อันที่จริงดื่มเหล้าไม่ค่อยต้องการกับแกล้มสักเท่าใด

ยกตัวอย่างเช่นเจ้าพวกตะพาบเฒ่าทั้งหลายในศาลบรรพจารย์สำนักกุยหยก ท่ามกลางสงครามใหญ่ครั้งนั้น อันที่จริงล้วนตายกันไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องให้เจียงซ่างเจินคิดบัญชีย้อนหลังหรือแก้แค้นอะไร

ไม่ว่าจะบนหรือล่างภูเขา คนดีคนเลว จิตใจคนดีงามหรือชั่วร้าย ชายหญิงหลังจากเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ใครบ้างที่ไม่มีสุราแห่งความเสียใจฝังไว้อยู่ในส่วนลึกของหัวใจสักสองสามไห? เพียงแต่ว่าบางส่วนก็ลืมไปแล้วว่าเอาไปวางไว้ตรงไหน บางส่วนก็ไม่กล้าเปิดออก บนเส้นทางชีวิตคน ทุกครั้งที่เจอกับเรื่องที่กล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูด แล้วยังต้องก้มหัวยิ้มประจบคนอื่น บางทีอาจะเป็นสุรารสขมเหมือนกันหมด คาดว่าเมื่อสุราขมมีมากเข้า สุดท้ายก็ได้สอนให้คนรู้จักที่จะเก็บกลั้นไม่ส่งเสียง พอเชื่อมโยงกันเป็นแถบใหญ่ก็กลายเป็นมหาสมุทรแห่งความขมขื่น

ชุยตงซานทอดสายตามองไปไกล พูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน “อาจารย์หวังว่าภูเขาลั่วพั่วจะเป็นภูเขาลั่วพั่วอย่างในวันนี้ตลอดไป ข้าหวังว่าอาจารย์จะเป็นอาจารย์ของวันพรุ่งนี้ตลอดไป”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ทำไมถึงไม่ใช่อาจารย์ของวันนี้ล่ะ?”

ชุยตงซานที่ฟุบตัวอยู่บนราวรั้วยิ้มตาหยี พึมพำว่า “ศิษย์เชื่อว่าอาจารย์ของทุกๆ วันพรุ่งนี้จะต้องดีกว่าทุกๆ วันนี้แน่นอน”

เฉินผิงอันลูบมือไปกดศีรษะของเด็กหนุ่มชุดขาว จากนั้นก็ยกฝ่ามือขึ้น งอสองนิ้วเขกมะเหงกหนักๆ ลงไป “ยังจะบอกว่าขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วไม่ใช่เจ้าพาเสียอีกหรือ?!”

หมี่ลี่น้อยที่อยู่ห่างไปไกลกระตุกชายแขนเสื้อของเผยเฉียน เอามือป้องปาก แอบหัวเราะ “เผยเฉียน เผยเฉียน เจ้าดูสิ ห่านขาวใหญ่ต้องพูดผิดอีกแล้วเป็นแน่”

เผยเฉียนยิ้มเอ่ย “อย่าเรียกห่านขาวใหญ่ ศิษย์พี่เล็กชอบจดบัญชีที่สุดเลยนะ”

หมี่ลี่น้อยหัวเราะฮ่าๆ “จะเรียก จะเรียก มีเรื่องก็เรียกศิษย์พี่เล็ก ไม่มีเรื่องค่อยเรียกห่านขาวใหญ่”

เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ “นี่มันคำพูดอะไรกัน ใครเป็นคนสอนเจ้า ต้องไม่มีคนสอนแน่นอน ต้องเป็นเจ้าที่เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่?”

หมี่ลี่น้อยเอ่ยอย่างตกตะลึง “หา?”

สายตาบอกเป็นนัยแก่เผยเฉียนว่าช่วยชี้แนะข้าอย่างลับๆ ที ข้าจะได้ตอบคำถามยากข้อนี้ได้

เผยเฉียนยกมือขึ้นทำท่างอนิ้วเป็นมะเหงก ก่อนจะบิดหมุนข้อมือเบาๆ แล้วเป่าลมลงไป

หมี่ลี่น้อยเข้าใจโดยพลัน รีบตะโกนเสียงดังทันใด “ฉลาดด้วยตัวเอง เรียนรู้สำเร็จด้วยตัวเอง ไม่มีใครสอนข้า!”

ชุยตงซานหันหน้ามาหัวเราะหึหึ

หมี่ลี่น้อยกระแอมหนึ่งที หมุนตัวหันไปขยิบตาให้ห่านขาวใหญ่แล้วเหล่มองไปทางเผยเฉียน

ชุยตงซานตะโกนเสียงดัง “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ดูเหมือนว่าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาจะบอกอะไรเป็นนัยแก่ข้า”

หมี่ลี่น้อยรีบไปขวางระหว่างเผยเฉียนและห่านขาวใหญ่ กระโดดโบกมือเพื่อบังสายตาของเผยเฉียน ตะโกนว่า “เผยเฉียน เผยเฉียน ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร! ห่านขาวใหญ่กำลังยุแยงให้พวกเราแตกคอกันน่ะ”

ผลคือชุยตงซานถูกเฉินผิงอันเขกหนึ่งมะเหงก หมี่ลี่น้อยถูกเผยเฉียนเขกหนึ่งมะเหงก ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้กำไรและไม่ขาดทุน

ชุยตงซานกุมหัว หันหน้ามายิ้มเอ่ย “อาจารย์ เพื่อประหยัดเงิน เรือข้ามฟากลำนี้จึงได้แต่กลับบ้านเกิดอย่างเอ้อระเหยเช่นนี้แล้ว หากอาจารย์มีธุระก็ไปทำก่อนได้เลย ไม่สู้ทะยานลมไปที่เมืองหลวงต้าหลีจะเร็วยิ่งกว่า”

เฉินผิงอันพยักหน้า รู้สึกว่าสามารถทำได้ การสืบทอดของภูเขาลั่วพั่วที่ต้องมัธยัสถ์อดออมจะกลายมาเป็นมือเติบฟุ่มเฟือยเพียงแค่เพราะกิจการและทรัพย์สมบัติเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อยไม่ได้

ดังนั้นเขาจึงพาหนิงเหยาออกจากเรือมังกร จับมือกันทะยานลมเดินทางไกล

หมี่ลี่น้อยกอดราวรั้ว เอาใบหน้าถูแขนตัวเอง เจ้าขุนเขาคนดีมีธุระให้ต้องทำอีกแล้ว

ชุยตงซานนั่งอยู่บนราวรั้ว ค่อยๆ ขยับก้นไปทีละนิด “หมี่ลี่น้อย พวกเรามาคุยกันหน่อยไหม?”

หมี่ลี่น้อยยุ่งอยู่กับการคิดเรื่องต่างๆ ทั้งยังไม่พอใจที่ห่านขาวใหญ่ไร้คุณธรรม จึงจงใจไม่หันไปมองชุยตงซาน นางเพียงแค่ยิ้มร่าเอ่ยว่า “เจ้าเป็นใครกัน ห่านขาวใหญ่ที่ข้ารู้จักใจกว้างนักล่ะ ศิษย์พี่เล็กก็ยิ่งร้ายกาจ ใครบางคนไม่เหมือนเขาเลยสักนิด สักนิดเท่าเมล็ดแตงก็ยังไม่เหมือน”

ชุยตงซานทิ้งตัวหงายไปด้านหลังแล้วพลิกตัวพลิ้วกายลงพื้น มากอดราวรั้วเหมือนกับหมี่ลี่น้อย

ถึงอย่างไรหนิงเหยาก็อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ จึงลองจับสังเกตดู มองเขาร่ายเวทสองสามครั้ง จิตของนางขยับไหวเล็กน้อย เรือนกายก็สลายกลายเป็นปราณกระบี่สิบแปดเส้นอย่างเงียบเชียบ สุดท้ายไปรวมร่างอยู่กลางอากาศเหนือทะเลเมฆห่างออกไปไกลหลายสิบลี้ หนิงเหยาเหยียบเมฆหยุดลอยตัวนิ่ง รอคอยเจ้าคนที่อยู่ด้านหลังอย่างสงบ

เฉินผิงอันตามมาทันหนิงเหยา จากนั้นก็ไม่ฝึกเวทหลบหนีบทนี้อีก เพียงไม่นานคนทั้งสองก็ทะยานลมผ่านตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง ขุนเขาเขียวสูงตระหง่าน ศาลาโบราณหลังคาตวัดงอนคล้ายนกสยายปีกบิน เจาะหน้าผาสร้างหอเรือนลดหลั่นไปตามภูเขา กลางภูเขามีน้ำตก หน้าผามีตัวอักษรขนาดใหญ่สีแดง พอดีกับที่มีเทพธิดาสวมชุดสีสันสดใสกลุ่มหนึ่ง ในมือหิ้วตะกร้าดอกไม้คล้ายจะไปเด็ดดอกไม้จากสถานที่หนึ่งมาทำเป็นธูปหอม พวกนางพูดคุยกันเจื้อยแจ้ว เสียงหัวเราะประสานเสียงพูดคุย พอมองเห็นเรือนกายของคนทั้งสองที่ทะยานลมเหมือนห่านหงส์โบยบิน พวกนางก็รีบหยุดเท้าหยุดพูดคุย พากันหันมองชายหญิงแปลกหน้าคู่นั้นด้วยดวงตาสงสัยใคร่รู้ หรือว่าจะเป็นคู่รักบนภูเขาที่ออกจากบ้านไปหาประสบการณ์?

หนิงเหยาถามเฉินผิงอันว่ารู้หรือไม่ว่าเป็นสำนักอะไร เฉินผิงอันจึงเล่าให้ฟังถึงประวัติความเป็นมาของพรรคเล็กแห่งนี้ หนิงเหยาผงกปลายคาง ถามว่ารู้จักใครบ้างไหม ต้องทักทายหรือเปล่า เฉินผิงอันจึงยิ้มเอ่ยว่าไม่ต้องๆ แค่เคยได้ยินมา ไม่สนิทคุ้นเคยแม้แต่น้อย

รอกระทั่งพวกนางมองเห็นใบหน้าของบุรุษที่ผ่านทางมาและจากไปไกลได้ชัดเจน จู่ๆ ก็มีสตรีคนหนึ่งส่งเสียงอุทานตกใจขึ้นมาก่อน นางลิงโลดสุดขีด รีบพูดกับศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงข้างกายว่าคือเซียนกระบี่ชุดเขียวคนนั้น คือคนผู้นั้นของภูเขาลั่วพั่ว!

ที่แท้การถามกระบี่ที่ภูเขาตะวันเที่ยงก่อนหน้านี้ ผู้ฝึกตนตระกูลเซียนแห่งนี้ก็เคยอาศัยบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำชมเรื่องสนุกไปได้ครึ่งทาง

เฉินผิงอันไม่รู้จักพวกนาง แต่พวกนางกลับรู้จักเฉินผิงอัน

ก่อนหน้านี้ตอนที่ชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำอยู่บนภูเขา พวกนางยังพูดจ้อถกเถียงกันไม่หยุด เรื่องที่เถียงกันก็คือ สตรีสิบส่วน มีคนรู้สึกว่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่หลงเฉวียนที่ชื่อว่าหลิวเสี้ยนหยาง เวทกระบี่อาจจะสูงกว่าหลายส่วน แต่รูปโฉมและบุคลิก ถึงอย่างไรก็สู้เจ้าขุนเขาเฉินของภูเขาลั่วพั่วคนนั้นไม่ได้ ภายหลังมีคนรู้ว่าภูเขาลั่วพั่วอยู่ใกล้กับภูเขาพีอวิ๋นจึงนัดหมายกับสหายร่วมสำนักเรียบร้อยแล้วว่า คราวหน้าที่ไปหาประสบการณ์ที่ต้าหลีซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ จะต้องไปเที่ยวดู พยายามไปชมเซียนกระบี่ของภูเขาลั่วพั่วใกล้ๆ ให้ได้

คิดไม่ถึงว่าวันนี้เพิ่งออกมาจากบ้านก็ได้เห็นเซียนกระบี่หนุ่มทะยานลมผ่านไป

น่าเสียดายที่ข้างกายเจ้าขุนเขาเฉินมีสตรีที่หน้าตานับว่าพอใช้ได้ติดตามมาด้วย

ไม่แน่ว่าอาจเป็นลูกศิษย์ของเซียนกระบี่ท่านนี้ก็เป็นได้

เป็นผู้ฝึกตนที่ทะยานลมเหมือนกัน ความเร็วกลับมีความต่างราวก้อนเมฆกับดินโคลน ทิ้งสตรีเหล่านั้นไว้เบื้องหลังนานแล้ว มองเฉินผิงอันที่สีหน้าไร้อารมณ์ หนิงเหยาก็อดไม่ไหวยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องแสร้งทำท่าแบบนี้ก็ได้ อันที่จริงข้าไม่ถือสาเลยสักนิด”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ตอบว่า “เข้าใจแล้ว”

แต่ในความเป็นจริง ลองเขาไม่ทำท่าแบบนี้ดูสิ?

หนิงเหยาถือสาหรือไม่ถือสาเป็นเรื่องหนึ่ง ตนใส่ใจหรือไม่ใส่ใจก็คืออีกเรื่องหนึ่ง ต่างกันอย่างสิ้นเชิง การที่นางไม่ถือสาเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพราะตนใส่ใจความรู้สึกนางอย่างมากครั้งแล้วครั้งเล่าหรอกหรือ?

เรื่องราวมีแบ่งก่อนหลัง นี่ก็คือการที่เฉินผิงอันนำเอาทฤษฎีลำดับขั้นตอนของอาจารย์ตัวเองที่เรียนรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!