กินอาหารมื้อดึกกันอิ่มแล้ว เฉินผิงอันก็พาหนิงเหยาไปเดินเล่น เที่ยวชมเมืองหลวงยามค่ำคืน แล้วก็ไม่ได้บอกว่าจะต้องไปที่ไหน แค่เลือกถนนที่แสงไฟสว่างไสว เดินเล่นกันไปเรื่อยเปื่อย ข้างกายมีพ่อค้าเข็นรถเดินผ่าน บ้างก็ขายขนมหวานที่ทำจากรากบัว กระจับตากแห้งชุบน้ำตาล ด้านหลังรถเข็นประเภทนี้มักจะมีพวกเด็กๆ ที่น้ำลายสออยากกินติดตามมาด้วย การค้าของเมืองหลวงเจริญรุ่งเรือง จึงมีการขุดโพรงน้ำแข็งน้อยใหญ่ไว้ให้พวกพ่อค้าโดยเฉพาะ ทุกๆ ครั้งที่ถึงหน้าหนาวก็จะเจาะโพรงสะสมก้อนน้ำแข็ง หน้าร้อนจึงจะเอาออกมาขาย
ตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ คนทั้งสองก็เคยเดินเล่นเคียงข้างกันเช่นนี้มาก่อน เพียงแต่ว่าการเดินเล่นในเวลานั้นยากที่จะบอกว่าจิตใจผ่อนคลายได้อย่างแท้จริง
เดินผ่านศูนย์ฝึกยุทธขนาดเล็กแห่งหนึ่ง เฉินผิงอันก็อดไม่ไหวยิ้มเอ่ยว่า “ปีนั้นหลังจากศึกที่เมืองหลวงแห่งที่สองสิ้นสุดลง แจกันสมบัติทวีปก็ได้ทำการประเมินปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธใหญ่สี่คน เพราะเผยเฉียนอายุน้อยที่สุด แล้วยังเป็นสตรี บวกกับที่ลำดับรายชื่อเป็นรองแค่ซ่งจ่างจิ้ง ดังนั้นจึงมีชื่อเสียงมากกว่าอาจารย์อย่างข้าเสียอีก”
ในเมืองมีศูนย์ฝึกยุทธอยู่มากมาย พรรคทั้งหลายในยุทธภพต่างก็เลี้ยงชีพกันอยู่ที่นี่ หากอยู่ในเมืองหลวงแล้วมีชื่อเสียง คิดจะออกไปแตกกิ่งก้านสาขาตั้งพรรคเพิ่มตามจังหวัดและเขตการปกครองต่างๆ ก็ง่ายแล้ว เฉินผิงอันจึงรู้ว่าในบรรดานั้นมีอาจารย์หมัดของศูนย์ฝึกยุทธคนหนึ่งที่เนื่องจากในอดีตตอนอยู่เมืองหลวงแห่งที่สอง หลังจากเฝ้าตอรอกระต่ายมาหลายวันหลายคืน ในที่สุดก็คว้าจับโอกาส โชคดีได้ประลองฝีมือกับปรมาจารย์ใหญ่เจิ้ง แม้จะบอกว่าเป็นแค่เรื่องของสี่หมัด และนี่ยังเป็นเพราะ ‘เจิ้งซาเฉียน’ ที่อายุน้อยๆ แต่กลับมากด้วยคุณธรรมผู้นั้นยอมต่อให้เขาก่อนสามหมัด แต่รอกระทั่งผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่โดนต่อยไปหมัดเดียวก็เอามาคุยโวจนน้ำลายแตกฟองผู้นี้กลับมาถึงเมืองหลวง เด็กหนุ่มและพวกอันธพาลทั้งหลายในเมืองหลวงที่พกเงินถุงใหญ่มาหวังกราบไหว้อาจารย์ขอเรียนวิชาก็เกือบจะเบียดกันจนธรณีประตูศูนย์ฝึกยุทธทรุด ผู้คนมากมายเบียดเสียด ว่ากันว่าอาจารย์หมัดท่านนี้ยังนำใบไม้ทองถุงหนึ่งที่เป็นค่ายาซึ่งปรมาจารย์ใหญ่ ‘เจิ้งชิงหมิง’ มอบให้ในเวลานั้นไปบูชาไว้เป็นอย่างดี เรื่องแรกที่ทำหลังจากตื่นนอนในศูนย์ฝึกยุทธทุกวันไม่ใช่เดินนิ่งฝึกหมัด แต่เป็นจุดธูปกราบไหว้
หนิงเหยาทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เฉินผิงอันถาม “อยากพูดเรื่องที่เผยเฉียนเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งแล้วหรือ?”
หนิงเหยารักษาสัญญา จึงไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อแล้วเดินเนิบช้า “อันที่จริงข้ารู้ตั้งนานแล้ว เจอเบาะแสตอนที่อยู่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆา แต่เผยเฉียนปิดบังเรื่องนี้ไว้ตลอด คาดว่านางคงมีความกังวลบางอย่าง ข้าถึงไม่ยินดีจะเปิดโปง เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ใครที่จะสามารถรับเอาปณิธานกระบี่ที่โจวเฉิงมอบให้ตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่มาได้ ดังนั้นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เผยเฉียนฟูมฟักออกมาได้ ความไม่คาดฝันต้องมีแน่อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ถึงขั้นรู้สึกว่าแปลกประหลาดอะไรมากนัก”
มีประโยคหนึ่งที่เฉินผิงอันไม่ได้พูดออกไป ถึงอย่างไรเผยเฉียนก็เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนนี่นะ
หนิงเหยาถึงได้เอ่ยว่า “อีกไม่นานเผยเฉียนก็จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองตัวจริงคนหนึ่งแล้ว”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ยังคงรักษารอยยิ้มน้อยๆ เอาไว้ได้ ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวลงมา เตรียมจะดื่มเหล้าเล็กน้อยเพื่อฉลองสักหน่อย
คิดไม่ถึงว่าหนิงเหยาจะเอ่ยอีกว่า “กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของเผยเฉียนไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด ถึงกับสามารถแบ่งหนึ่งออกเป็นเจ็ด หากไม่ทันระวังก็จะมีวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตก่อนกำเนิดเพิ่มมาหลายชนิด นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก ในประวัติศาสตร์ก็มีน้อยจนนับนิ้วได้ ส่วนมีกระบี่บินที่คล้ายคลึงกับเซียนกระบี่ผู้อาวุโสคนใดบ้าง เจ้าชอบจดจำเรื่องพวกนี้ ต้องรู้ชัดเจนกว่าข้าแน่นอน ดังนั้นไม่ว่าจะอิงตามกฎเกณฑ์เดิมที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นผู้กำหนดขอบเขตของกระบี่บิน หรือเป็นระดับขั้นแบบใหม่ที่เจ้ากำหนดขึ้นในคฤหาสน์หลบร้อน ไม่ว่าจะจับคู่เข่นฆ่าหรือจู่โจมบนสนามรบ กระบี่บินที่ยังไม่ทราบชื่อของเผยเฉียนเล่มนี้ก็น่าจะอยู่ในอันดับหนึ่งได้เลย”
อย่างถึงที่สุด ถึงกับ หายาก
นี่เป็นคำศัพท์ที่หลุดออกมาจากปากของหนิงเหยา
เฉินผิงอันผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ที่เดิม ไม่ได้ดื่มเหล้าเลยสักอึก
‘ป๋ายลู่’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเฉินซานชิวก็ได้ครอบครองวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตซึ่งเป็นพรสวรรค์สองชนิด ชนิดหนึ่งในนั้นยังเกี่ยวข้องกับโชคชะตาบุ๋นด้วย
ในประวัติศาสตร์หมื่นปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ที่ได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองสามเล่มมีมากกว่าผู้ฝึกกระบี่ที่กระบี่บินหนึ่งเล่มมีวิชาอภินิหารสองสามชนิดมากนัก หากคิดคำนวณแค่บนหน้ากระดาษอย่างเดียว สถานการณ์สองอย่างนี้คล้ายไม่มีอะไรแตกต่าง แต่แท้จริงแล้วกลับต่างราวฟ้ากับเหว
ยกตัวอย่างเช่นเฉามู่แม่นางน้อยที่ติดตามเซี่ยซงฮวาไปฝึกตน นางก็ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มอย่าง ‘พางถัว’ ‘หงหนี’ ส่วนเหยาเสี่ยวเหยียนที่เฉินผิงอันพามาที่ภูเขาลั่วพั่วก็ยิ่งมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสามเล่ม ‘ชุนซาน’ ‘จูหว่าง’ ‘หนีซาง’ เพียงแต่ว่าวิชาอภินิหารของกระบี่บินเหยาเสี่ยวเหยียนล้วนเน้นด้านการป้องกัน หล่อเลี้ยงบำรุงร่างกาย ดังนั้นระดับขั้นของกระบี่บินทั้งสามเล่มต่างก็ไม่สูง แต่ในทางส่วนตัวเฉินผิงอันมั่นใจเรื่องหนึ่งว่า ในบรรดาตัวอ่อนเซียนกระบี่เก้าคน เหยาเสี่ยวเหยียนที่นิสัยขี้อาย หลังจากเปลี่ยนสถานที่ในการฝึกกระบี่แล้ว มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่นางจะไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่คนที่ในอนาคตขอบเขตจะสูงที่สุด พลังพิฆาตจะมากที่สุด แต่ต้องเป็นคนที่ได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนแน่นอนที่สุด
กำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตมีสงครามเกิดขึ้นต่อเนื่องไม่ขาดสาย ไม่มีทางอดทนรอคอยให้ผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์คนหนึ่งค่อยๆ เติบโตไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ทว่ากระบี่บินที่ได้ครอบครองวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตสองชนิดขึ้นไป ก็เหมือนอย่างที่หนิงเหยาบอก มีน้อยจนนับนิ้วได้จริงๆ หมื่นปีที่ผ่านมา บันทึกเอกสารของคฤหาสน์หลบร้อน รวมกันแล้วมีไม่ถึงสิบเล่ม เจ้าของกระบี่บินทุกเล่ม ภายหลังล้วนกลายมาเป็นเซียนกระบี่ที่พลังพิฆาตโดดเด่น ผลงานทางการสู้รบเกริกก้องเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
คนหนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียงที่สุด ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยาน จงหยวน
จงหยวนที่ถูกผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ในยุคหลังหลายคนหยอกล้อด้วยประโยคที่ว่า ‘จงหยวนไม่ร้ายกาจเท่าข้า’
แค่กระบี่บินเล่มเดียวก็ได้ครอบครองวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่น่าเหลือเชื่อถึงสี่ชนิด ประเด็นสำคัญคือสามโจมตีหนึ่งป้องกัน ร่วมมือกันได้อย่างแนบแน่นไร้ช่องโหว่
แต่จุดที่ทำให้เฉินผิงอันเลื่อมใสอย่างแท้จริงอยู่ที่ว่าจงหยวนอาศัยการเข่นฆ่าในสงครามใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า อาศัยการมานะหลอมกระบี่ปีแล้วปีเล่า ช่วยให้กระบี่บินเล่มที่เดิมทีระดับขั้นอยู่แค่ลำดับรองทยอยตามหาวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่สอดคล้องกับมหามรรคาเพิ่มมาได้อีกสามชนิด ในความเป็นจริงแล้ววิชาอภินิหารชนิดแรกสุดของกระบี่บินไม่สะดุดตานัก และสุดท้ายจงหยวนก็กลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมาอย่างยาวนานที่สุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!