หากคิดอยากจะอาศัยหน่วยจงซวีและหน่วยแปลคัมภีร์ให้ค่อยๆ สลายเส้นแบ่งเขตบนและล่างภูเขานี้ทิ้งไป ก็เหมือนการนำที่ว่าการของราชสำนักย้ายไปก่อตั้งบนภูเขา
และมณฑลทั้งหลายที่ตั้งอยู่ติดทะเลของต้าหลีก็ได้คลายคำสั่งห้ามทางทะเลอย่างเด็ดขาด ล้วนมีการก่อตั้งหน่วยซือป๋อให้ทำการค้ากับใต้หล้า
ที่จังหวัดหลงโจว นอกจากที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผาแล้ว ยังก่อตั้งหน่วยถักทอและหน่วยย้อมสีขึ้นมาอีกหกแห่ง
เรื่องที่หนิงเหยากังวลยังคงเป็นเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตที่ปริแตกซึ่งกระจัดไปอยู่ทั่วสารทิศของเฉินผิงอัน นางถามว่า “หากสตรีผู้นั้นทั้งไม่คิดจะปะทะกับเจ้าโดยตรง แล้วก็ไม่ยอมก้มหัวให้ เอาแต่เล่นแง่ ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมมอบกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตมาให้ สรุปคือตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ใช้เหตุผลกับเจ้า เพียงแค่ตั้งท่าว่าหากเจ้าแน่จริงก็ฆ่านางให้ตาย ถึงเวลานั้นจะทำอย่างไร? ภูเขาลั่วพั่วคงไม่อาจสังหารไทเฮาเหนียงเนียงโดยตรงเช่นนี้ได้กระมัง?”
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็มองดูนางอาละวาดเล่นแง่ หนึ่งวันร้องไห้สองวันก่อกวนสามวันจะแขวนคอไปก่อน รอให้นางก่อเรื่องเสร็จแล้วค่อยนั่งลงคุยกันดีๆ เจรจาไม่สำเร็จก็ปล่อยนางอาละวาดไป หากแข่งกันเรื่องความอดทน ข้าเชี่ยวชาญมากเลยล่ะ ดังนั้นเรื่องเดียวที่เจ้าจำเป็นต้องทำ บางทีอาจทำให้เจ้ารู้สึกอยุติธรรมอยู่บ้าง แค่ฝืนใจชมงิ้วอยู่ด้านข้างก็พอ บอกไว้ก่อนนะว่า หากเจ้าหมดความอดทนจริงๆ ก็ไม่ต้องมองให้ขวางหูขวางตา แค่ออกจากวังหลวงไปเดินเที่ยวในเมืองหลวงเพียงลำพัง ทิ้งข้าไว้ที่นั่นคนเดียวก็พอ อีกอย่างทิ้งคำอาฆาตข่มขู่คนอื่น ใครบ้างจะทำไม่เป็น หากรำคาญนางจริงๆ ข้าก็จะสละกิจการของภูเขาลั่วพั่วทิ้งไม่ต้องการ ต่อให้จะต้องย้ายภูเขาทุกลูกรวมไปถึงยอดเขาจี้เซ่อเป็นหนึ่งในนั้นออกไปจากแจกันสมบัติทวีป ก็ต้องฆ่านางให้ตาย”
พูดมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หัวเราะ “เจ้าไม่รู้อะไร หลังจากที่พวกเจ้าล้วนจากไปแล้ว ข้าจะคุยเล่นสองสามประโยคกับพวกหลงจวิน หลีเจินทุกๆ สามวันห้าวัน อันที่จริงสนุกอย่างมาก”
หนิงเหยาพยักหน้า “ไม่รำคาญหรอก ถือเสียว่าได้ชมงิ้วก็แล้วกัน”
การวางตัวเป็นคน ตั้งหลักตั้งตัว มีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งที่ไม่ง่ายเลยก็คือการทำให้คนข้างกายไม่เข้าใจผิด
ใกล้ชิดกับคนอื่น หากอยู่ด้วยกันนานวันเข้าแล้วยังไม่มีความรำคาญ นั่นต้องอาศัย ‘ความเข้าอกเข้าใจ’ ไม่ใช่ว่าแค่เพราะเรื่องไม่คาดฝันมากมายหรือเรื่องหยุมหยิมบางอย่าง อยู่ๆ วันหนึ่งพลันทำให้คนรู้สึกว่า ‘ที่แท้เจ้าก็เป็นคนเช่นนี้’ อันที่จริงความเข้าใจผิดหลายอย่างมักจะมาจากความเลอะเลือนของตัวเอง ในเรื่องนี้เฉินผิงอันทำได้ดีมากมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นหลังจากเติบใหญ่ ออกเดินทางไกลไปเยือนต้าสุยร่วมกับพวกเป่าผิง หลี่ไหว ระหว่างนี้แม้แต่หลี่ไหวก็ยังไม่ต้องให้เฉินผิงอันพูดอะไรก็รู้ได้เองว่าเฉินผิงอันเป็นคนอย่างไร ภายหลังไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ขอแค่เป็นเรื่องที่สำคัญที่มีความเกี่ยวข้องกับหนิงเหยา เฉินผิงอันมีอะไรก็จะเล่าให้นางฟังทุกอย่าง ไม่มีปิดบัง ต่อให้หนิงเหยาฟังแล้วจะต้องโกรธ เฉินผิงอันก็ยังพูดอย่างตรงไปตรงมา
ชีวิตคนไม่อาจยอมให้คนอื่นได้ทุกเรื่อง ไม่อย่างนั้นชั่วชีวิตของคนดีคนหนึ่งก็จะเป็นได้แค่คนดีเกินไปตลอดไป และการที่คนดีถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายก็มักจะทำให้คนใกล้ชิดต้องลำบากต้องเสียเปรียบอยู่เสมอ
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “ในอนาคตกลับไปถึงใต้หล้าแห่งที่ห้า เจ้าอย่าเอาแต่คิดว่าจะทำเพื่อนครบินทะยานให้มากขึ้นอย่างไร ทำแค่พอสมควรก็พอแล้ว คนที่เก่งต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น แต่ก็ควรต้องมีขอบเขตบ้าง”
หนิงเหยายิ้มเอ่ย “เรื่องที่ข้าอยากทำและไม่อยากทำ คนอื่นพูดอย่างไรก็ล้วนไม่มีประโยชน์”
บางทีทุกคนในหลายๆ ใต้หล้าอาจรู้สึกว่าหนิงเหยาเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ กลายเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนแรกของใต้หล้าห้าสี จากนั้นกลายเป็นขอบเขตเซียนเหริน ขอบเขตบินทะยาน ล้วนเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว สมควรแล้ว ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน ขณะเดียวกันไม่ว่าหนิงเหยาจะสร้างวีรกรรมที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน สร้างคุณูปการที่ชวนให้ตะลึงพรึงเพริดมากเท่าไร ก็ล้วนเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ
เฉินผิงอันกลับไม่ได้คิดเช่นนี้
ทำไมหนิงเหยาของข้าต้องลำบากขนาดนี้ด้วย?
บอกว่าผู้ฝึกกระบี่สองสายอย่างสิงกวานและเฉวียนฝู่อย่างพวกเจ้ามีแต่พวกไร้ประโยชน์ที่ดีแต่จะนอนเสวยสุข ก็ยังไม่ยอมงั้นหรือ?
วันหน้ารอให้ข้าผู้อาวุโสไปที่นครบินทะยานจะพกเอาหลักการเหตุผลสองกระบุงใหญ่ไปพูดคุยกับพวกเจ้าให้ดีๆ
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็คุยกับหนิงเหยาเรื่องของกวอจู๋จิ่ว พอได้ยินว่านิสัยนางสุขุมมากขึ้น เขากลับรู้สึกสงสารนาง
เด็กโง่หนอเด็กโง่ เพราะทุกวันเด็กๆ ล้วนคาดหวังให้ตัวเองเติบใหญ่ คิดว่าพอเติบใหญ่แล้วชีวิตจะสนุก จะน่าสนใจมากกว่าเดิม
ทว่ากลับมีเด็กๆ บางส่วนที่ไม่ค่อยอยากเติบใหญ่สักเท่าไร แต่จำเป็นต้องเติบใหญ่อย่างมิอาจห้ามได้
แล้วก็พูดถึงพวกอวี๋ลู่ ได้ยินว่าหลี่ไหวเป็นนักปราชญ์ของสำนักศึกษาแล้ว หนิงเหยาก็ประหลาดใจเล็กน้อย บอกว่าเขาฉลาดเรื่องเรียนแล้วหรือ?
เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้วอย่างอดไม่ไหว พูดแค่ว่า ยากจะอธิบายได้หมดในประโยคเดียว
แต่ครั้งนี้กลับไปที่บ้านเกิดจะต้องแวะไปที่เรือนหลังของร้านยาตระกูลหยางให้ได้ หลี่ไหวบอกว่าหยางเหล่าโถวทิ้งของบางอย่างไว้ที่นั่น รอให้เขาไปดูเอง
อวี๋ลู่ เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลมานานแล้ว แต่เซี่ยเซี่ยกลับหยุดอยู่ที่คอขวดโอสถทองมานานหลายปี หลักๆ แล้วยังเป็นเพราะในอดีตเคยโดนตะปูกักมังกรพวกนั้น
คนทั้งสองมักจะจับมือกันออกเดินทางไกลเป็นประจำ แต่เฉินผิงอันดูจากท่าทางแล้ว พวกเขาสองคนไม่เหมือนว่าจะชอบพอกัน คาดว่าทั้งสองฝ่ายคงเป็นแค่สหายกันจริงๆ
แน่นอนว่าวาสนาชีวิตคู่ในใต้หล้า ความรักบนโลกใบนี้ ก็มีหลายครั้งที่พอย้อนกลับไปมองกะทันหันถึงเพิ่งรู้ว่ามันได้เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบแล้ว
หลินโส่วอีเคยรับหน้าที่เป็นคนเฝ้าศาลของลำน้ำใหญ่ ถือว่าเป็นคนในวงการขุนนางครึ่งตัวแล้ว แต่ได้ยินมาว่าหลายปีมานี้เขากับที่บ้านไม่ค่อยปรองดองกันนัก
ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันสาปแช่งเขาจริงๆ แต่เจ้าหลินโส่วอีผู้นี้แค่มองก็รู้ว่ามีชะตาต้องเป็นชายโสด บนเส้นทางการฝึกตน จิตใจไม่ค่อยนิ่งเท่าไรจริงๆ
ปีนั้นในบรรดาเพื่อนร่วมห้องเรียนก็มีเพียงสือเจียชุนแม่นางน้อยมัดผมแกละคนเดียวที่ติดตามครอบครัวย้ายไปอยู่เมืองหลวงก่อนใคร จากนั้นก็ออกเรือนแต่งงานเป็นภรรยาของผู้อื่นอย่างชอบธรรม ช่วยเหลือสามีอบรมเลี้ยงดูบุตร
หากเฉินผิงอันจำไม่ผิด บุตรชายหญิงคู่นั้นของสือเจียชุน ดูเหมือนว่าทุกวันนี้จะถึงวัยที่พูดคุยเรื่องแต่งงานได้แล้ว
พอคิดถึงเรื่องนี้เฉินผิงอันก็อดไม่ไหวหันมามองหนิงเหยา
เรื่องบางอย่าง ต่อให้คนคนหนึ่งจะพยายามมากแค่ไหนก็ยากจะสำเร็จได้อยู่ดี
มาหยุดพักบนสะพานเล็กที่มีสายน้ำไหลผ่านแห่งหนึ่ง สองฝากฝั่งล้วนเป็นเหลาสุราร้านอาหารที่ประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟสวยงาม งานเลี้ยงรับรอง งานเลี้ยงสุรามีนับไม่ถ้วน จึงมีนักดื่มที่เมามายถูกคนเดินประคองออกมาไม่ขาดสาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!