ไม่รอให้ซ่งซวี่ตอบคำถาม แม่นางน้อยก็เอ่ยขึ้นมาอย่างโผงผางว่า “อย่าคิดมาก ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่มีชะตาได้เป็นฮ่องเต้ ตอนนี้ก็เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแล้ว อนาคตบนภูเขายาวไกล จะเดินกลับไปทางเดิมทำไม มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ถึงจะทำเช่นนั้น วันหน้าไม่แน่ว่าเจอกับลูกชายของพี่ใหญ่เจ้า ฝ่ายหลังอาจผมขาวโพลนกลายเป็นคนแก่ไปแล้ว แต่พอเขาเจอเจ้ากลับต้องเรียกเจ้าว่าเสด็จอา ฮ่าๆ ‘เด็กรุ่นหลังน่ากลัว’ นี่นะ ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งใจฝึกตนให้ดีไป ฝ่าทะลุขอบเขตทุกวันย่อมดียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด”
ซ่งซวี่หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “ใช่แล้วๆ ได้รับถ้อยคำด้วยความหวังดีเปี่ยมไปด้วยเหตุผลที่ดีก็สามารถกลายไปเป็นคนมีเงินได้แล้ว”
อวี๋อวี๋สะอึกอึ้งอยู่บ้าง เอ่ยอย่างอับอายที่พานเป็นความโกรธว่า “อย่าพูดจาเลียนแบบเจ้าหมอนั่นสิ ไม่อย่างนั้นกูไหน่ไนจะโมโหแล้วนะ”
ซ่งซวี่ที่แต่ไหนแต่ไรมาหากนั่งก็มีท่าทีของการนั่ง ยืนก็มีสง่าของการยืนพลันทิ้งตัวนอนหงายหลัง ยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง “เอาเหล้ามา ต้องเป็นเหล้าหมักตระกูลเซียนของตำหนักฉางชุนด้วย”
อวี๋อวี๋หัวเราะแห้งๆ “ข้าหรือจะซื้อสุราที่ราคาแพงจนไร้ขื่อไร้แปนั่นไหว ก่อนหน้านี้ก็แค่พูดจาเหลวไหลกับเฟิงอี๋ไปอย่างนั้นเอง”
ภิกษุน้อยท่องอมิตาพุทธหนึ่งคำ “ในวัตถุฟางชุ่นของอวี๋อวี๋ยังมีเก็บไว้เจ็ดแปดไห”
อวี๋อวี๋สบถด่า “เจ้าโล้นน้อย!”
ภิกษุน้อยลูบคลำศีรษะที่โล้นเตียนของตัวเอง อยู่ดีๆ ก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “เมื่อไหร่กันนะที่เณรน้อยจะหวีเส้นผมแห่งความกลัดกลุ้มรำคาญใจได้ครบหนึ่งร้อยแปดเส้น”
อวี๋อวี๋อึ้งตะลึง คงเพราะรู้สึกว่าภิกษุน้อยกำลังคิดเรื่องจริงจังจริงๆ จึงยอมปล่อยเขาไปก่อนชั่วคราว เคาะปลาไม้ ใครบ้างที่ทำไม่เป็น
หางตาภิกษุน้อยเหล่มองไป ฮ่า
หันโจ้วจิ่นเอ่ยเตือนว่า “อวี๋อวี๋ เขาหลอกเจ้าน่ะ”
ภิกษุน้อยพนมสองมือ “ซ่งซวี่พูดถูกแล้ว สาวงามไม่ควรไปมีเรื่องด้วย”
ซ่งซวี่เอ่ย “ข้าไม่เคยพูด”
ภิกษุน้อยร้องภาษาพระธรรมหนึ่งคำ “ถ้าอย่างนั้นก็คงฝันแล้วเคยได้ยินซ่งซวี่พูดมาก่อน”
ในฐานะศาลเทพอัคคีเพียงหนึ่งเดียวในเมืองหลวง ด้านในจึงตั้งบูชาฮว่อเต๋อซิงจวินไว้หนึ่งองค์ (เทพประจำดวงดาวหนึ่งในห้าธาตุซึ่งตรงกับดาวอังคาร หรือธาตุไฟ)
ศาลไม่ใหญ่ อีกทั้งไม่เปิดให้ชาวบ้านในเมืองหลวงมากราบไหว้ มีเพียงเจอกับอุทกภัยในเมืองหลวงหรือในท้องถิ่นเกิดไฟไหม้เท่านั้น ขุนนางกรมพิธีการถึงจะมาที่นี่
ทุกครั้งที่เฟิงอี๋มาช่วยถ่ายทอดมรรคาให้เด็กๆ กลุ่มนั้นที่เมืองหลวง นางก็จะมาเข้าพักที่นี่
สร้างซุ้มดอกไม้ขึ้นมา วางม้านั่งหินเอาไว้สองสามตัว คืนนี้เฟิงอี๋นั่งอยู่ใต้ซุ้มดอกไม้รู้สึกเคลิบเคลิ้มอยู่บ้างเล็กน้อย
คนเฝ้าศาลคือหญิงชราคนหนึ่ง เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาทั่วไป เพราะอายุมากแล้ว หากไม่เป็นเพราะอยู่ที่ศาลเทพอัคคีแห่งนี้ไม่มีอะไรให้ทำจริงๆ คงเปลี่ยนคนไปนานแล้ว ว่ากันว่าเมื่อก่อนทางราชสำนักคิดอยากจะเปลี่ยนคนเฝ้าศาล ทางฝั่งของที่ว่าการกรมพิธีการเตรียมจดลงบันทึกแล้ว แต่สุดท้ายแล้วแม่นางน้อยบางคนที่มีชาติกำเนิดจากภูตก็ไม่ได้มา เรื่องนี้จึงจบลงอย่างค้างคา
เฟิงอี๋ใช้สองนิ้วคีบกาเหล้าขึ้นมาแกว่งเบาๆ ฟังเสียงไพเราะของบุปผาที่อยู่ในกา
หลักการที่ต้นไม้ใหญ่เรียกลมนี้ คาดว่าใต้หล้าคงไม่มีใครเข้าใจได้ดีไปยิ่งกว่านางอีกแล้ว
ฉีจิ้งชุนแห่งสายเหวินเซิ่ง ชุยฉานราชครูต้าหลี เฉินผิงอันอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แน่นอนว่ายังมีหนิงเหยาแห่งใต้หล้าห้าสีคนนั้น
มหามรรคาสูงส่งยาวไกล คิดจะยืนได้มั่นคงเป็นเรื่องอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิสูจน์มรรคาเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย? ก็ยิ่งยากเข้าไปอีก ถึงขั้นที่ว่าคุณสมบัติไม่ได้ จิตใจไม่เพียงพอ ก็จะได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม ก็เหมือนซิ่วหู่ที่ความรู้ของทั้งร่างสามารถประคับประคองจิตใจดวงที่สูงยิ่งกว่าแผ่นฟ้าเอาไว้ได้ เส้นทางที่เขาเลือกเดินก็คือสละทิ้งเส้นทางอื่นๆ มากมาย เป็นเพราะชุยฉานไม่อาจเปลี่ยนเส้นทางได้? แน่นอนว่าไม่ใช่ เฟิงอี๋ดื่มเหล้าหนึ่งอึก คงเป็นเพราะนี่ก็คือสันดานมนุษย์ที่ไม่มีเหตุผลให้อธิบายกระมัง ในดินโคลนของใจคน ทุกหนทุกแห่งล้วนมีบุปผาผลิบาน ลมพัดดอกไม้ไม่ร่วงโรย
โรงเตี๊ยมยังไม่ปิดร้าน ไม่เสียแรงที่เป็นเมืองหลวง เฉินผิงอันเดินเข้าไปข้างใน เถ้าแก่ผู้เฒ่าเหมือนนกฮูกยิ่งนัก ดูเหมือนว่าจะกำลังอ่านนิยายเบ็ดเตล็ดเล่มหนึ่งอยู่ เถ้าแก่เงยหน้าขึ้น สังเกตเห็นเฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ยสัพยอก “ออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่ได้ยินเสียงเลย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เถ้าแก่ ขอปรึกษากับท่านสักเรื่องได้ไหม?”
เถ้าแก่วางตำราลง “ทำไม คิดจะใช้เงินห้าร้อยตำลึงเงินมาซื้อเครื่องปั้นแบบยืนชิ้นนั้นของเตาเผาทางการบ้านเกิดเจ้าไป? ได้เลย ถือว่าช่วยให้มันได้กลับบ้านเกิดก็แล้วกัน ตกลงๆ ถือเสียว่าเป็นการผูกบุญสัมพันธ์ มอบให้แล้วๆ มือหนึ่งจ่ายเงินมือหนึ่งมอบของ”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “จะดีจะชั่วก็น่าจะให้ข้าดูของก่อนกระมัง”
ผลคือเห็นเถ้าแก่เฒ่าก้มหัวค้อมเอวไปหยิบเอาแจกันดอกไม้ใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงข้างเท้าล่างโต๊ะคิดเงินขึ้นมาด้วยท่าทางเปลืองแรงเล็กน้อย ของเล่นที่ซื้อมาด้วยราคาแค่ไม่กี่สิบตำลึงเงิน เอาวางไว้ที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ
เฉินผิงอันช่วยอีกฝ่ายประคองอย่างระมัดระวัง งอนิ้วดีดลงไปเบาๆ ขณะเดียวกันก็ถามอย่างไม่อนาทรร้อนใจว่า “ดึกขนาดนี้แล้วเถ้าแก่ยังไม่หลับไม่นอนอีกหรือ?”
ผู้เฒ่ามองประเมินสีหน้าของเจ้าเด็กนี่อย่างละเอียดไปด้วย เจ้าตัวดี ไม่มีพิรุธเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งสีหน้าที่จงใจแสดงออกถึงความไม่ยี่หระก็ไม่มีสักนิด เขาจึงตอบไปง่ายๆ ว่า “ลูกสาวของข้าไม่ยอมกลับบ้าน ออกไปเดินเล่นที่ตลาดกลางคืนกับพวกนังหนูซุกซนทั้งหลาย นี่ก็ยังไม่ยอมกลับมา ไหนๆ ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำก็เลยมารอนาง หากเป็นเวลาปกติข้าคงให้ลูกจ้างร้านมาเฝ้าประตูแล้ว อันที่จริงในเมืองหลวงแห่งนี้ก็ไม่มีเรื่องน่ากังวลอะไร เพียงแต่คนเป็นบิดาอย่างข้า ทั้งยังได้ลูกสาวมาตอนอายุมากแล้ว นางคือนังหนูที่อายุน้อยที่สุดในบ้าน ไม่รักนางจะไปรักใคร หากลูกชายกล้าทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ ข้าก็คงเอาไม้ปัดขนไก่ตีเขาตายไปแล้ว”
เฉินผิงอันมองเถ้าแก่ผู้เฒ่าแวบหนึ่ง คนอายุตั้งห้าสิบกว่าปีแล้ว
ผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้ม “อยากเป็นลูกเขยข้าหรือ? อย่าเลย พวกเราเป็นครอบครัวเล็กๆ แต่ก็ไม่คิดจะให้ลูกสาวตัวเองต้องน้อยเนื้อต่ำใจ นางต้องได้ออกเรือนอย่างมีหน้ามีตา เอาเกี้ยวแปดคนหามพาเดินเข้าประตูหลัก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นหลักการเก่าแก่ข้อนี้ เช่นเดียวกัน หากข้ามีลูกสาว อันธพาลคนใดบนถนนกล้ามองนางนานหน่อย ข้าก็จะซ้อมมันผู้นั้นจนพ่อแม่มันจำหน้าลูกตัวเองไม่ได้เลย”
ผู้เฒ่าพยักหน้า คุยกับเจ้าเด็กนี่แล้วสบายใจจริงๆ เขาฟุบตัวลงบนโต๊ะคิดเงิน เอ่ยว่า “พูดคุยส่วนพูดคุย การค้าครั้งนี้จะว่าอย่างไร? เจ้าช่วยบอกมาให้ชัดเจน ของชิ้นใหญ่มีราคาเอามาตั้งวางไว้บนโต๊ะคิดเงินเช่นนี้ ถูกคนอื่นมองเห็นเข้า ง่ายที่จะถูกขโมยเอาได้”
เฉินผิงอันยกแจกันดอกไม้ขึ้นเบาๆ มองก้นแจกัน เป็นเครื่องปั้นอักษรมงคลแปดคำอย่างที่เถ้าแก่ผู้เฒ่าว่าไว้จริงเสียด้วย ฟ้าครามกว้างไกล ร้อนนี้มืดสลัว
มองปราดๆ ความหมายค่อนข้างคล้ายคำเขียวของลัทธิเต๋า ยกตัวอย่างเช่นประโยคที่ว่านักพรตแห่งหยวนโตว ทะยานลมว่องไว โบยบินเหนือนภากาศ แต่แท้จริงแล้วครึ่งประโยคหลังมาจากลัทธิขงจื๊อ
หากจะต้องให้พยายามจินตนาการตามไปด้วย จุดที่แปลกประหลาดเพียงหนึ่งเดียวก็คือหัวท้ายสองตัวอักษร รวมกันแล้วเป็นคำว่า ‘ฟ้าสลัว’ ของใต้หล้ามืดสลัว
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงแอบโคจรวิชาอภินิหารอย่างลับๆ ทำการสังเกตอย่างละเอียดจริงจัง ผลคือยังคงมองไม่ออกว่าแจกันดอกไม้ใบนี้มีความผิดปกติใดๆ ไม่มีร่องรอยของผู้ฝึกลมปราณแม้แต่น้อย และเดิมทีเฉินผิงอันก็คุ้นเคยกับธาตุของดินที่ใช้ในการเผาเครื่องปั้นเป็นอย่างดี แล้วยังเคยใช้วิธีการนำวัตถุห้าธาตุมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตด้วย แต่กระนั้นก็ยังสัมผัสไม่ได้ถึงความหมายลึกล้ำใดๆ นี่หมายความว่าอย่างน้อยที่สุดแจกันดอกไม้ชิ้นนี้ก็ยังไม่เคยผ่านมือศิษย์พี่ แต่มาจากเตาเผาทางการซึ่งเป็นเตาเผามังกรบ้านเกิดของตนจริงๆ สามารถเปลี่ยนมือส่งต่อกันจนมาถึงโรงเตี๊ยมแห่งนี้ได้ อันที่จริงก็ถือว่ามีวาสนาต่อกันแล้ว
เฉินผิงอันจึงยิ้มเอ่ย “ของเถ้าแก่เป็นของแท้ไม่ผิดแน่แล้ว วันหน้าหาคนที่เชี่ยวชาญทั้งยังไม่ขาดเงินในกระเป๋า หากอีกฝ่ายไม่ใจกว้าง กล้าเปิดราคาต่ำกว่าห้าร้อยตำลึงเงิน ท่านผู้เฒ่าก็สามารถด่าคนได้เลย พ่นน้ำลายให้เต็มหน้าของเขาได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด นอกจากนี้ตัวอักษรมงคลแปดคำนี้มีความเป็นมา ไม่ธรรมดาอย่างมาก มีความเป็นไปได้ว่าเป็นตัวอักษรที่รวบรวมมาจากหอก่วนเก๋อของสกุลจ้าวเทียนสุ่ยในรัยสมัยหยวนโซ่ว”
ผู้เฒ่าเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เหมือนจะเสแสร้งก็ให้ปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ผลคือเจ้าเด็กนั่นยังเอ่ยมาอีกประโยคว่า “เถ้าแก่ ข้าคิดว่าจะอยู่ที่เมืองหลวงสักหลายๆ วัน หลังจากนี้ก็จะพักอยู่ที่นี่…”
ผู้เฒ่าเพิ่งจะวางแจกันดอกไม้กลับลงไปใต้โต๊ะคิดเงินอย่างระมัดระวัง พอได้ยินประโยคนี้ก็รีบพูดทันใด “สามร้อยตำลึงเงิน ขายให้เจ้าแล้ว! ซื้อขายสำเร็จ หลายวันต่อจากนี้ที่เจ้าพักอยู่ในโรงเตี๊ยม ค่าห้องพักก็ไม่ต้องจ่ายแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างอ่อนใจ “เถ้าแก่ ท่านคิดไปคนละเรื่องแล้วจริงๆ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!