บทที่ 834.1 ประหนึ่งลากเรือกลวง – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 834.1 ประหนึ่งลากเรือกลวง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
หนิงเหยาสั่งกับแกล้มสองสามจานมาจากเถ้าแก่โรงเตี๊ยม แล้วถือโอกาสขอห้องมาหนึ่งห้อง เถ้าแก่เหลือบตามองเฉินผิงอัน เฉินผิงอันเงียบไม่พูดไม่จา
มองข้าทำไม ฟ้าดินเป็นพยาน พวกเราสองคนไม่ได้คบคิดอะไรกันสักหน่อย แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าจะพูดอะไรได้ ข้าเป็นคนเปิดโรงเตี๊ยมหรือ?
ลูกศิษย์คนสุดท้ายเหล่ตามองอาจารย์ตัวเอง อาจารย์เหล่ตามองไปยังถนนนอกร้าน ม่านราตรีหนาหนัก มาเป็นแขกต่างบ้านต่างเมือง เปลี่ยวเหงาอยู่บ้าง
มานั่งอยู่ในห้องแล้ว เฉินผิงอันก็ช่วยรินเหล้าให้อาจารย์ มองไปทางหนิงเหยา นางส่ายหน้า เฉินผิงอันจึงรินให้แค่ตัวเองหนึ่งชาม
ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของตน เป็นพวกเจิงเย่เด็กหนุ่มแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน ผีสาวซูซินไจที่เดินทางผ่านขุนเขาสายน้ำในระยะทางช่วงนั้นมาเป็นเพื่อนเฉินผิงอัน
ซิ่วไฉเฒ่าคงจะรู้สึกว่าบรรยากาศเงียบงันไปบ้าง จึงหยิบชามเหล้าของตัวเองมาชนกับของเฉินผิงอันเบาๆ จากนั้นก็เปิดปากพูดก่อนคล้ายอาจารย์ที่กำลังทดสอบวิชาความรู้ของลูกศิษย์ “ประโยคแรกในบท ‘เจี่ยปี้’ ผิงอัน?”
เฉินผิงอันเพิ่งจะจิบเหล้าไปหนึ่งอึก อาจารย์ถึงกับยกเอา ‘เจี่ยปี้’ มาพูดถึงแล้ว อันที่จริงคำตอบนั้นง่ายมาก เขารีบวางชามเหล้าลง เอ่ยว่า “อาจารย์เคยกล่าวว่า สุราทำให้จิตใจวุ่นวาย”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดอาจารย์ถึงห้ามคนบนโลกเช่นนี้?”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าเดาว่าเป็นเพราะปีนั้นอาจารย์ยากจน จ่ายเงินซื้อเหล้าไม่ไหว จึงอิจฉาพวกคนที่ควักเงินจ่ายค่าเหล้าได้โดยตาไม่กะพริบ?”
ซิ่วไฉเฒ่าตบโต๊ะ หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “อะไรคือลูกศิษย์ที่ภาคภูมิใจ? ก็เป็นเช่นนี้เอง!”
ไหนเลยจะเหมือนจั่วโย่ว ปีนั้นชอบเอาประโยคนี้มาอุดปากตนอย่างโง่เง่า ไม่อนุญาตให้อาจารย์ตัวเองตบหน้าตัวเองบ้างเลยหรือ? อาจารย์เขียนหลักการเหตุผลอริยะปราชญ์มากมายขนาดนั้นไว้ในตำรา กระบุงใหญ่หลายกระบุงยังบรรจุลงไปไม่หมด จะทำได้ทุกข้อจริงๆ หรือ
คนที่ใส่ใจที่สุด อบอุ่นใจเหมือนผ้านวมผืนน้อยที่สุดยังคงเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายจริงเสียด้วย
ซิ่วไฉเฒ่ากระดกดื่มเหล้าอึกใหญ่ เพิ่งจะวางชามเหล้าลงเฉินผิงอันก็รินเหล้าให้จนเต็มชามอีกแล้ว ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ตอนนั้นน้ำลายสออยากกิน ที่รู้สึกยากจะทานทนที่สุดยังคงเป็นตอนที่จุดตะเกียงอ่านหนังสือยามค่ำคืนแล้วได้ยินเสียงอาเจียนของพวกผีขี้เหล้าในตรอก อาจารย์อยากจะเย็บปากพวกเขายิ่งนัก ย่ำยีค่าเหล้าให้เสียเปล่า! ปีนั้นอาจารย์จึงตั้งปณิธานใหญ่เอาไว้แล้ว ผิงอัน?”
เฉินผิงอันกล่าว “หากในอนาคตได้เป็นอริยะลัทธิขงจื๊อหรือไม่ก็เป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนักจะต้องตั้งกฎข้อหนึ่ง ดื่มเหล้าห้ามอาเจียน”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้า “ใช่แล้วๆ”
หนิงเหยาเปลี่ยนใจ รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งชาม
เฉินผิงอันเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทะเลสาบซูเจี่ยนและซูซินไจให้ฟังคร่าวๆ ระหว่างนั้นก็พูดถึงหญิงชราที่ใช้ชีวิตอันทุกข์ยากขมขื่นด้วยความสุขุมเยือกเย็นคนนั้นด้วย
ซิ่วไฉเฒ่าใช้สองมือบี้เปลือกถั่วลิสงอบแห้งคั่วเกลือเมล็ดหนึ่งให้แตกแล้วส่งถั่วเข้าปาก พยักหน้าเอ่ย “ความรู้เพียงหนึ่งเดียวของผู้กล้าบนโลกก็หนีไม่พ้นคำว่าสุขุมเยือกเย็น คนถ่อยพลิกกลับวิถีทางโลก กลับผิดให้เป็นถูก คือสุขุมเยือกเย็น หากข้ามีใจแต่ไร้กำลัง ไม่อาจชดเชยแก้ไขอะไรได้ แต่สามารถทำตัวเองให้ดีได้ ก็คือสุขุมเยือกเย็นเช่นเดียวกัน”
อันที่จริงคนทั้งสามที่นั่งอยู่ตรงนี้ต่างก็รู้ดีว่าโรงเตี๊ยม เด็กสาว แจกันดอกไม้แบบยืน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการจัดการของชุยฉานทั้งสิ้น
ทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งหนึ่งทำให้เฉินผิงอันเหมือนถูกผีบังตาอยู่นานหลายปี คนทั้งคนผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก แต่ขอแค่อดทนผ่านมันไปได้ก็ดูเหมือนว่านอกจากความทรมานยากจะรับแล้วก็เหลือแค่ความรู้สึกย่ำแย่เท่านั้น
ชุยฉานเองก็ไม่เคยมอบอะไรให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มอบผลประโยชน์ที่จับต้องได้จริงให้แก่เฉินผิงอันแม้แต่น้อย ม้วนภาพขุนเขาสายน้ำภาพสุดท้ายของใบถงทวีปก็ดี เด็กสาวในโรงเตี๊ยมของคืนนี้ก็ช่าง คล้ายว่าชุยฉานแค่มอบไฟตะเกียงหนึ่งเสี้ยวไกลๆ บนเส้นทางหัวใจไว้ให้กับศิษย์น้องอย่างเฉินผิงอันเท่านั้น ตัวเจ้าเองเดินไปไม่ถึงก้าวนั้น หรือเลือกจะหลบเลี่ยงเดินอ้อมไปทางอื่น ถ้าอย่างนั้นก็ต้องคลาดกับมันไปชั่วชีวิต การกระทำของชุยฉานคล้ายกำลังอธิบายเหตุผลที่โหดร้ายอย่างมากข้อหนึ่งกับเฉินผิงอัน สิ้นหวัง เป็นสิ่งที่หามาเอง ถ้าอย่างนั้นความหวัง ก็ต้องให้ตัวเจ้าไปหามาเองเช่นเดียวกัน
หนิงเหยาถาม “ในเมื่อโชคดีได้กลับมาเจอกับนางอีกครั้งในชาตินี้ ต่อจากนี้คิดจะทำอย่างไรต่อ?”
ในสายตาของหนิงเหยา ชาตินี้ซูซินไจเป็นเด็กสาวที่พอจะถือว่ามีคุณสมบัติในการฝึกตนอยู่บ้าง แน่นอนว่าสามารถพาไปฝึกตนที่ภูเขาลั่วพั่วได้ อย่าลืมว่าเรื่องที่เฉินผิงอันเชี่ยวชาญที่สุด แท้จริงแล้วไม่ใช่การคิดบัญชี ถึงขั้นที่ว่าไม่ใช่การฝึกตน แต่เป็นการปกป้องมรรคาให้คนอื่น
แต่หนิงเหยาไม่รู้สึกว่าการที่เด็กสาวขึ้นเขาไปฝึกตนในทันทีจะเป็นการเลือกที่ดีที่สุดเสมอไป
เฉินผิงอันกล่าว “เดี๋ยวข้าจะลองพูดคุยกับนางก่อน”
อันที่จริงระหว่างที่เดินกันมา เฉินผิงอันก็พิจารณาถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด ทั้งตั้งใจและทั้งระมัดระวัง
โดยทั่วไปแล้วมีเพียงการฝึกตนเท่านั้น เด็กสาวแห่งโรงเตี๊ยมที่ยังไม่รู้ชื่อของนางในชาตินี้จึงจะมีโอกาสที่สติปัญญาจะเปิดออก จดจำเรื่องของชาติก่อนได้อีกครั้ง ได้สานต่อวาสนาในชาตินี้ ทำความปรารถนาของชาติก่อนให้เป็นจริง
ก็เหมือนมนุษย์ธรรมดาหลายคนที่บนเส้นทางชีวิตมักจะพบเจอ ‘คนคุ้นหน้า’ อยู่เสมอ เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่จะไม่คิดอะไรมาก แค่มองไม่กี่ครั้งก็ปล่อยให้เดินสวนไหล่ผ่านกันไป
แต่การจดจำเรื่องของชาติก่อนได้จะต้องเป็นสิ่งที่ซูซินไจคิดเป็นเรื่องสุดท้ายในชาติที่แล้วอย่างแน่นอน ทว่าเด็กสาวในชาตินี้จะต้องการหรือ?
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ย “อะไรที่ดีกับแม่นางน้อยก็ทำไปอย่างนั้น ส่วนต้องทำอย่างไรถึงจะถือว่าดีจริงๆ อันที่จริงไม่ต้องรีบร้อน หลายๆ ครั้งพวกเราก็จำต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกเรื่องที่สามารถเตรียมการล่วงหน้าได้ มีเพียงรอให้เรื่องเกิดขึ้นจริงๆ แล้วค่อยหาทางแก้ไข จึงจะแก้ไขได้ ผิงอัน เจ้าอย่าลืมเรื่องหนึ่งเด็ดขาด สำหรับเด็กสาวแล้วนางก็เป็นแค่นาง มีเพียงในสายตาเจ้าเท่านั้นนางถึงจะเป็นซูซินไจแห่งภูเขาหวงหลีและทะเลสาบซูเจี่ยน”
ไม่ขึ้นเขา ยกตัวอย่างเช่นใช้ชีวิตที่สงบสุขปลอดภัยอยู่ในตลาดล่างภูเขาของเมืองหลวงต้าหลีนี้ไปชั่วชีวิต ก็แค่มีเวลาสั้นกว่า แต่งงานเป็นภรรยาผู้อื่น ช่วยเหลือสามีอบรมเลี้ยงดูบุตร ใช้ชีวิตธรรมดาเรียบง่าย ไฉนจะไม่ใช่เรื่องดี วันใดแม่นางน้อยยินดีขึ้นเขาแล้วค่อยฝึกตนก็ยังไม่สาย ภูเขาลั่วพั่วยังพอจะมีรากฐานอยู่บ้าง ไม่ขาดผู้ถ่ายทอดมรรคา ไม่ขาดเงินเทพเซียน
เฉินผิงอันพยักหน้า “จำเป็นต้องเข้าใจหลักการข้อนี้ให้แจ่มแจ้งเสียก่อนถึงจะทำเรื่องในภายหลังได้ดี”
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันมีท่าทีสงบนิ่งอย่างมาก แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ ของการพูดคุยกันแค่ไม่กี่ประโยค เขากลับดื่มเหล้าไปหลายอึกแล้ว
รีบร้อนดื่มเหล้าคือข้อห้ามใหญ่บนโต๊ะสุรา ต่อให้จะคอแข็งแค่ไหนก็ยังง่ายที่จะเป็นเรือพลิกคว่ำในอ่างสุรา จากนั้นเกินครึ่งก็คงต้องไปเรียกตัวเองว่าผู้ไร้เทียมทานข้าไม่เมาอยู่ใต้โต๊ะเหล้าแล้ว
นางนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงบอกกับเฉินผิงอัน ก่อนหน้านี้สารถีเฒ่ารับปากกับนางแล้ว เฉินผิงอันจึงสามารถถามคำถามที่ไม่ผิดต่อคำสาบานกับเขาได้
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มรับ
ซิ่วไฉเฒ่าคล้ายจะเกิดแรงบันดาลใจ ดื่มเหล้าไปแล้วก็หัวเราะร่าเอ่ยว่า “มีพวกตะพาบเฒ่าบางส่วนที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง สอนก็สอนไม่ได้ แล้วก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขสิ่งใด เจ้าก็ได้แต่รอให้พวกมันแต่ละตัวเน่าเละ เน่าสลายหายไปเท่านั้นจริงๆ”
ส่วนซิ่วไฉเฒ่ากำลังด่าใคร บางทีอาจเป็นพวกเฒ่าปลิ้นปล้อนบางคนในวงการขุนนางที่ไม่ทำผายลมอะไรทั้งนั้น มีแต่ความสามารถในการเป็นตัวถ่วงที่เป็นอันดับหนึ่ง บางทีอาจเป็นเซียนกระบี่ผู้เฒ่าบางคนของภูเขาตะวันเที่ยง บางทีอาจเป็นตาเฒ่าบางคนในใต้หล้าไพศาลที่ความสามารถในการเอาตัวรอดสูงยิ่งกว่าขอบเขต ซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้บอกชื่อแซ่ ใครจะไปรู้
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “จำไว้แล้ว”
คนทั้งสามสัมผัสได้ถึงลมปราณผิดปกติขุมหนึ่งแทบจะในเวลาเดียวกัน
ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงต้าหลี แต่อยู่ห่างไปไกลในพื้นที่ใกล้เมืองหลวง นั่นคือบนเส้นทางของโลกมืดที่หลบเลี่ยงคนเป็นสายหนึ่ง
ซิ่วไฉเฒ่าอาศัยการรับสัมผัสของคนฟ้าระหว่างอริยะกับฟ้าดิน หนิงเหยาอาศัยตบะขอบเขตบินทะยาน ส่วนเฉินผิงอันอาศัยริ้วคลื่นจากจิตแห่งมรรคาที่ถูกมหามรรคาสยบกำราบ
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “ข้าจะออกไปดูข้างนอกหน่อย”
หนิงเหยาจะตามเฉินผิงอันออกไปจากโรงเตี๊ยมด้วย
ซิ่วไฉเฒ่ากลับยิ้มเอ่ยว่า “แม่หนูหนิง เจ้าไม่ต้องตามไป เรื่องของการเปิดทาง ราชสำนักต้าหลีทำได้ดีมากแล้ว ปณิธานกระบี่บนร่างของเจ้าโชติช่วงเกินไป ช่วยอะไรไม่ได้หรอก ไม่เป็นไร มีเรื่องบางอย่างที่ใต้หล้าห้าสีต้องระวัง เป็นเรื่องที่ข้าใคร่ครวญออกมาได้เอง ไม่ถือว่าเอางานส่วนตัวมาเบียดบังส่วนรวมอะไร สามารถพูดคุยกับเจ้าได้พอดี”
ผู้ฝึกกระบี่เต็มตัว ยามอยู่นอกสนามรบ พลังพิฆาตมากมายไร้ที่สิ้นสุด ความสามารถในการฆ่าคนเป็นอันดับหนึ่ง แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะรอดตายได้
หนิงเหยานั่งกลับลงไปอีกครั้ง เฉินผิงอันหดย่อพื้นที่ เรือนกายชุดเขียวล่องลอยแตกสลายแล้วกลับมารวมกันใหม่ ก้าวเดียวก็มาถึงบริเวณใกล้เคียงกับหัวกำแพงเมืองหลวง ทอดสายตามองไปไกล เห็นเพียงว่าห่างออกไปหลายร้อยปี ปราณหยินทะยานขึ้นฟ้า รวมตัวกันกลายเป็นแม่น้ำยาวคดเคี้ยวเส้นหนึ่ง
บนเส้นทางที่เลือกเปิดไว้ในป่ารกร้างห่างไกลไร้เงาผู้คนเส้นนั้น ปราณหยินปราณดุร้ายเข้มข้นอย่างมาก เพราะมีคนเป็นอยู่น้อย ปราณหยางจึงบางเบา ผู้ฝึกลมปราณทั่วไป ต่อให้เป็นพวกเซียนดิน หากขยับเข้าไปใกล้โดยพลการก็อาจถูกกัดกร่อนตบะ หากใช้เวทมองลมปราณพิศมองอย่างละเอียดก็จะค้นพบได้ว่าต้นไม้บนทางสายนั้น ต่อให้ไม่มีรอยถูกเหยียบย่ำ และแท้จริงแล้วก็ไม่เคยมีการสัมผัสกับวิญญาณที่ตายไปแล้วมาก่อน ทว่าสีเขียวขจีนั้นกลับเผยให้เห็นกลิ่นอายความตายที่ผิดปกติอยู่นานแล้ว เหมือนคนที่สีหน้าเขียวคล้ำ
ผู้ฝึกลมปราณต้าหลีกลุ่มหนึ่งที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองนอกเมืองหลวงรับผิดชอบดูแลหัวกำแพงส่วนนี้ ผู้ถวายงานเฒ่าที่เป็นคนหนึ่งในกลุ่มนั้นเอ่ยถามมือกระบี่ชุดเขียวที่จู่ๆ ก็โผล่พรวดออกมา “ผู้ที่มาเป็นใคร?”
เฉินผิงอันหยิบป้ายสงบสุขปลอดภัยของกรมอาญาออกมาจากชายแขนเสื้อ นำมาห้อยไว้ตรงเอว ในเมื่อเป็นคนกันเอง หลังจากผู้ถวายงานเฒ่าตรวจสอบแผ่นป้ายว่าเป็นของจริงหรือของปลอมแล้วก็ทำเพียงแค่กุมหมัด ไม่ถามอะไรให้มากความอีก
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!