สรุปตอน บทที่ 841.2 บ้านเกิด – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
ตอน บทที่ 841.2 บ้านเกิด ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
แจกันสมบัติทวีปของพวกเราอะไรกัน เผยเฉียนคือปรมาจารย์ใหญ่ที่มีคุณธรรมที่สุดอย่างสมศักดิ์ศรี อำมหิตกับเผ่าปีศาจ เจิ้งซาเฉียนย่อมไม่ใช่ชื่อเสียงจอมปลอมอย่างแน่นอน มีเพียงตั้งชื่อผิด แต่ต้องไม่มีการตั้งฉายาผิดแน่ ทว่าสำหรับการถามหมัดของผู้ฝึกยุทธฝ่ายเดียวกัน นางกลับเกรงใจ มีมารยาทด้วยในทุกครั้ง หยุดแต่พอสมควร ไม่ว่าใครที่มาหาเพื่อประลองฝีมือ นางก็ล้วนไว้หน้า ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้ถ่ายทอดมรรคาของปรมาจารย์ใหญ่หญิงเช่นเผยเฉียนนี้จะมีมาดองอาจถึงเพียงใด คิดดูแล้วคุณธรรมจริยธรรมคงจะยิ่งสูงส่งเข้าไปในชั้นเมฆเลยกระมัง…
กระทั่งเผยเฉียนปรากฎตัวร่วมงานพิธีที่ภูเขาตะวันเที่ยง เซียนกระบี่ชุดเขียวของภูเขาลั่วพั่วคนนั้นต่อสู้กับหยวนเจินเย่แห่งภูเขาตะวันเที่ยง…
จากนั้นต่อมาก็มีข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่งแพร่สะพัดไปทั่วยอดเขาของแจกันสมบัติทวีป เป็นเรื่องของการช่วงชิงเขียวและขาวที่สวนกงเต๋อ
มีบางคนอดสงสัยไม่ได้ว่า เคยแต่ได้ยินหลักการที่ว่าคานบนไม่ตรงคานล่างเอียง คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องอย่างคานบนเอียงคานล่างตรงด้วย?
แต่แม่นางน้อยถ่านดำคนนั้นก็เป็นเฉินผิงอันที่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่มาอย่างจริงแท้แน่นอน
ราวกับว่านางกระโดดทีเดียวก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
นางถึงกับเดินผ่านเส้นทางของวรยุทธไกลขนาดนั้นด้วยตัวเองแล้ว
อันที่จริงบนภูเขาลั่วพั่วไม่ว่าใครก็รู้ชัดเจนในใจดี อย่าเห็นว่าเฉินผิงอันดุร้ายกับเผยเฉียนที่สุด ควบคุมนางอย่างเข้มงวดมากที่สุด ราวกับว่าใส่อารมณ์กับนางที่สุด แต่ในสายตาของเจ้าขุนเขาหนุ่ม ความอ่อนโยนยามที่มองเผยเฉียนนั้นไม่แพ้ให้กับยามที่มองหน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยเลย
หนิงเหยาเอ่ยสัพยอก “วันหน้ารอวันใดเผยเฉียนต้องออกเรือน เจ้าคงกลุ้มใจตายแน่”
เฉินผิงอันแค่นเสียงในลำคอ “ในบรรดาคนวัยเดียวกันก็มีแค่ไม่กี่คนหรอกที่คู่ควรกับเผยเฉียน”
เฉินผิงอันยกสองแขนกอดอก “หากใครกล้ามีใจคิดไม่ซื่อ อวดฉลาดใช้วิธีของพวกเจ้าชู้เสเพลกับนาง ข้าก็จะซ้อมเขาให้อึราดเลย”
หนิงเหยายิ้มกล่าว “พอเถอะน่า ไหนเลยจะตกมาถึงมือเจ้า หากพวกเขาคิดจะหลอกเผยเฉียนก็ยากมากอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ก็จริงนะ”
แต่เขาก็เอ่ยเสริมอีกประโยคมาอย่างรวดเร็ว “แต่ข้าก็ยังต้องช่วยดูให้อยู่ดี”
จากนั้นก็เอ่ยเสริมมาอีกไม่หยุด “ไม่เพียงแต่ข้า ข้ายังต้องแอบลากพวกจูเหลี่ยน ชุยตงซาน เจียงซ่างเจิน แล้วก็หมี่อวี้ให้มาช่วยข้าดูด้วย พ่อครัวเฒ่าเป็นคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน มีประสบการณ์โชกโชน ชุยตงซานคิดอะไรรอบคอบ ส่วนโจวอันดับหนึ่งและหมี่อันดับรองน่ะหรือ สายตาของคนบ้าตัณหามองคนบ้าตัณหาด้วยกันนั้นแม่นยำที่สุดแล้ว”
“ไม่ได้ ข้าต้องลากอาจารย์จ้งมาด้วยอีกคน ให้มาทดสอบความรู้ของคนผู้นั้น ดูว่าใช่คนที่มีความสามารถอย่างแท้จริงหรือไม่ แน่นอนว่าหากนิสัยใจคอของเจ้าหมอนั่นใช้ไม่ได้ ทุกเรื่องก็อย่าหวังเลย”
เฉินผิงอันสอดสิบนิ้วประสานกัน ยืดแขนออกไปข้างนอก เอ่ยเบาๆ ว่า “ตอนที่เผยเฉียนไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ชุยตงซานเคยมาคุยกับข้าเป็นการส่วนตัวบอกว่าตอนที่เผยเฉียนยังเด็ก เวลาที่นางเข้าวัดไปกราบไหว้พระ ตอนท้ายจะต้องพูดเสริมประโยคหนึ่งอย่างจริงใจว่า หากพระโพธิสัตว์ยุ่งมากล่ะก็ วันนี้ไม่ต้องฟังก็ได้ ไม่แสดงความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เป็นไร คราวหน้าค่อยว่ากัน หรือจะเป็นคราวถัดถัดไปก็ได้ ถึงอย่างไรนางก็จะมาบ่อยๆ จึงไม่ได้รีบร้อนอะไร”
เผยเฉียนให้เขาสาบานว่าห้ามบอกคนอื่น
อันที่จริง เป็นเพราะนางไม่อยากให้ตนที่เป็นอาจารย์พ่อรู้มากกว่ากระมัง
หนิงเหยาหันหน้ามามองใบหน้าด้านข้างของเขา
เฉินผิงอันหันมามอง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “หล่อเหลาสง่างามมากเลยใช่ไหม?”
หนิงเหยาพยักหน้า
ไม่อย่างนั้น?
ไม่อย่างนั้นข้าหนิงเหยาจะคบกับคนอัปลักษณ์หรืออย่างไร?
ไม่อย่างนั้นเจ้าจะยังทำให้สตรีบนภูเขามากมายขนาดนั้นหลงใหลคลั่งใคล้เพียงแค่ได้ดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำได้หรือไร?
เฉินผิงอันรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง ใบหน้าจึงแดงก่ำอย่างที่หาได้ยาก
หนิงเหยานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ปีนั้นนางเดินทางไปท่องเที่ยวถ้ำสวรรค์หลีจู นางเคยไปที่เรือนหลังของร้านยาตระกูลหยางมาก่อนพร้อมกับเฉินผิงอัน ตอนนั้นหยางเหล่าโถวก็ถามคำถามหนิงเหยาสองข้อ
บนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ มีตัวอักษรแกะสลักไว้กี่ตัว
สรุปแล้วใครที่พูดเสียงในใจ?
หนิงเหยากล่าว “ปีนั้นคำเตือนเกี่ยวกับเสียงในใจของหยางเหล่าโถว แรกเริ่มข้าก็ไม่ได้คิดมาก แต่สำหรับข้าที่ตอนหลังไปอยู่ใต้หล้าห้าสี ตอนที่ฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตหยกดิบ เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหรินที่ ‘แสวงหาความจริง’ มันกลับช่วยข้าเอาไว้มาก”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่ว่าจะอย่างไร กลับไปถึงบ้านเกิด ข้าก็ต้องไปที่เรือนหลังร้านยาก่อนสักรอบ”
พูดประโยคนี้จบ เฉินผิงอันก็ก้มหน้ามองรองเท้าผ้าบนเท้า
หนิงเหยารู้ว่าเป็นเพราะอะไร เฉินผิงอันกำลังเตือนตัวเองว่าตัวเองเป็นใคร
ก่อนหน้านั้นตอนที่อยู่โรงเตี๊ยมตระกูลเซียน ตอนที่เฉินผิงอันนั่งอยู่บนขั้นบันไดก็ทำท่าทางแบบนี้เหมือนกัน
บางทีอาจเป็นเพราะเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงได้ค่อยๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สวมใส่ เปลี่ยนรองเท้า สถานะ อายุ…
แต่สิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปก็คือรองเท้าสานในใจ
เฉินผิงอันคิดว่าเดี๋ยวหลังจากนี้จะไปถามเรื่องหนึ่งกับจ้าวตวนหมิง ในเมืองหลวงมีร้านอาหารเล็กๆ ร้านใดที่รสชาติดั้งเดิมเป็นเอกลักษณ์บ้างหรือไม่ เขาจะได้พาหนิงเหยาไปเดินเที่ยวเล่นด้วยพอดี
นึกเรื่องในอดีตบางเรื่องขึ้นมาได้
‘หากข้าโกนหนวด พวกเจ้าสองคนรวมกันแล้วก็ยังหล่อเหลาสู้ข้าไม่ได้เลย’
‘เจ้านี่นะ หม้อไฟเผ็ดมากเลยหรือ? ข้างมือเจ้าก็ยังมีเหล้าอยู่ไม่ใช่หรือ ดื่มแก้เผ็ดได้นะ เจ้ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นทำไม ข้าจะหลอกเจ้าหรือ…ฮ่าๆ เจ้านี่โง่จริงๆ ดันเชื่อซะได้’
‘ดื่มช้าๆ หน่อย เหล้าไม่หนีออกไปจากถ้วยหรอก’
หยวนฮว่าจิ้งนั่งอยู่บนเบาะในห้อง ซ่งซวี่ก็ไม่ได้เข้ามานั่งในห้อง แค่นั่งอยู่ตรงธรณีประตู บุคคลที่เป็นผู้นำของภูเขาลูกเล็กสองลูกได้อยู่ร่วมกันเพียงลำพังอย่างที่หาได้ยาก
หยวนฮว่าจิ้งพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมา ถามด้วยประโยคที่ไม่เคยเอ่ยมาก่อน “ซ่งซวี่ เจ้าพกเหล้ามาด้วยหรือไม่?”
ซ่งซวี่ยิ้มกล่าว “ข้าไม่มีวัตถุฟางชุ่นติดกายเสียหน่อย แล้วก็ไม่ชอบดื่มเหล้าด้วย ไม่ได้พกมา เจ้าลองไปหาก่ายเยี่ยนหรืออวี๋อวี๋ดูได้ พวกนางล้วนยินดีหาเงินส่วนนี้มา”
หยวนฮว่าจิ้งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยเบาๆ ว่า “อันที่จริงใจคนได้ถูกรื้อทิ้งจนสิ้นซากแล้ว”
ซ่งซวี่กล่าวต่อ “ข้าไม่ได้คิดอะไรมาก นอกจากเจ้าแล้ว คนที่เหลืออีกเก้าคนก็มีสภาพจิตใจที่ไม่ต่างจากข้าสักเท่าไร ดังนั้นสิ่งที่ถูกอาจารย์เฉินรื้อถอนอย่างแท้จริงมีเพียงความเห็นแก่ตัวและใจที่ทะเยอทะยานของเจ้าเท่านั้น หากจะต้องทบทวนกระดานหมากกันจริงๆ อันที่จริงก็เป็นเจ้าที่ช่วยอาจารย์เฉินกำจัดภัยแฝงที่เดิมทีมีโอกาสงัดข้อกับภูเขาลั่วพั่วทิ้งไป ต่อให้วันหน้าพวกเรายังจะร่วมมือกัน แต่ข้าก็รู้สึกว่าเหมือนอย่างที่อาจารย์เฉินพูด ถูกเจ้าก่อกวนไปครั้งนี้ก็มีแต่จะเดินเรียงแถวเอาหัวคนไปส่งเขาเท่านั้น”
“นอกจากนี้แล้ว เจ้ายังจำต้องยอมรับในข้อหนึ่ง หากพูดถึงแค่ตัวเจ้าคนเดียว เจ้าก็ไม่เหลือความกล้าหาญที่จะไปถามกระบี่กับอาจารย์เฉินอีกแม้แต่น้อยแล้ว หลอกตัวเองไม่มีความหมายใดๆ หรอกนะ”
“สำหรับผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเราแล้ว อันที่จริงนี่คือความพ่ายแพ้แบบหมดรูปเลยทีเดียว เรื่องที่เจ้าต้องทำต่อจากนี้ก็คือซ่อมแซมสภาพจิตใจให้ดี ไม่อย่างนั้นก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดจิตมาร ไม่ใช่สุยหลินและลู่ฮุย แต่เป็นเจ้าหยวนฮว่าจิ้ง”
หยวนฮว่าจิ้งหันหน้ามามององค์ชายหนุ่มที่เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนนี้ “เจ้าฉลาดกว่าที่ข้าคิดไว้เยอะเลย”
ซ่งซวี่ส่ายหน้า “เมื่อเทียบกับอาจารย์เฉินและเสด็จอาแล้ว ข้าจะถือว่าฉลาดอะไร”
หยวนฮว่าจิ้งผู้นี้ต้องไม่ใช่บุคคลที่เป็นวีรบุรุษอะไรแน่ นิสัยอำมหิตเหี้ยมหาญ คือผู้กล้าของพื้นที่หนึ่ง
ซ่งซวี่รู้สึกมาโดยตลอดว่า เป็นอัครเสนาบดีที่สูญสิ้นพลังชีวิต ใช้บุญกุศลที่สะสมมาจนหมดสิ้นก็ไม่สู้เกิดเป็นลูกหลานคนธรรมดาที่สะสมบุญกุศลคุณงามความดีมาเต็มที่ยังดีกว่า
ดังนั้นซ่งซวี่ถึงได้รู้สึกว่าตัวเองคุยกับหยวนฮว่าจิ้งไม่รู้เรื่อง ซึ่งเดิมทีคนทั้งสอง คนหนึ่งคือองค์ชายสกุลซ่ง อีกคนหนึ่งคือลูกหลานสกุลเสาค้ำยันแคว้น ควรจะถูกชะตาและเข้ากันได้ดีอย่างถึงที่สุดถึงจะถูก
ซ่งซวี่ยกสองมือกอดอก เอนตัวพิงกรอบประตูด้านหนึ่ง หันหลังให้หยวนฮว่าจิ้ง องค์ชายรองของต้าหลีผู้นี้หันหน้าเข้าหาลานบ้าน “เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่า อาจารย์เฉินกับเฉินผิงอันคนนั้นเหมือนสองขั้วที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง?”
“ราชครูเคยบอกว่า ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งคนใดก็ตามบนโลกใบนี้ หากได้แค่ทำให้คนหวาดกลัว ยังไม่เพียงพอ ต้องให้คนเคารพยำเกรงด้วย หากจะบอกว่าเฉินผิงอันที่ก่อนหน้านี้เปิดประตูเดินออกมาจากคันฉ่องหยุดวารีด้วยตัวเองทำให้พวกเราทุกคนรู้สึกสิ้นหวัง หมื่นสรรพสิ่งล้วนมอดม้วย ดังนั้นจึงเป็น ‘ซวี’ ในสิบสองแผนภูมิดิน”
“ถ้าอย่างนั้นอาจารย์เฉินที่ตามมาช่วยพวกเราในภายหลังก็คือการเลือกนิสัยใจคอของพวกเราที่เขาให้การยอมรับ เขาในเวลานั้นก็คือเหม่า? เฉิน? เจิ้นอู่เซิน? ดูเหมือนว่าจะไม่ถูกเลยสักข้อ บางทีอาจจะเหมือนทุกอย่างที่นอกเหนือจาก ‘ซวี’ มากกว่า?”
หยวนฮว่าจิ้งมองแผ่นหลังนั้น รู้สึกคล้ายกับว่าเพิ่งได้รู้จักองค์ชายต้าหลีคนนี้เป็นครั้งแรก
ตอนที่ซ่งซวี่บ่มเพาะกระบี่บิน ‘ถงเหยา’ ออกมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกลายเป็นผู้ฝึกตนสายของแผนภูมิดิน ก็หมายความว่าชั่วชีวิตนี้ซ่งซวี่ไม่อาจเป็นฮ่องเต้ได้แล้ว
หยวนฮว่าจิ้งถาม “ซ่งซวี่ เจ้าเคยคิดอยากเป็นฮ่องเต้หรือไม่?”
ซ่งซวี่พยักหน้ารับ “แน่นอนว่าต้องเคย ข้าถึงขั้นเคยเกลียดกระบี่บิน ‘ถงเหยา’ เล่มนี้ด้วยซ้ำ ทว่ามีอยู่วันหนึ่ง จู่ๆ ข้าก็ไม่อยากเป็นแล้ว”
“นั่นเป็นงานพิธีบวงสรวงครั้งหนึ่ง พวกเราจำต้องคอยให้การคุ้มกันอย่างลับๆ ข้ามองเสด็จพ่อที่สวมชุดคลุมมังกรเหมือนดวงเดือนที่ถูกหมู่ดาวห้อมล้อมอยู่ไกลๆ แน่นอนว่าเสด็จพี่ก็อยู่ในกลุ่มคนด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใด ข้าไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกอิจฉา กลับกันยังรู้สึกอึดอัด ราวกับว่าชุดคลุมมังกรตัวนั้นก็คือกรงขัง ตอนนั้นข้ามีความคิดที่ประหลาดอย่างหนึ่ง นั่นก็คือฮ่องเต้ต้าหลีของพวกเรา ชั่วชีวิตนี้สามารถไปเยือนสถานที่แห่งใดได้บ้าง? คืนนั้นข้าจึงไปที่หัวกำแพงเมืองมารอบหนึ่ง ยืนอยู่บนจุดสูง แล้วจู่ๆ ก็ค้นพบว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ ดูเหมือนข้าจะไปไหนก็ได้ทั้งนั้น เสด็จพ่อและเสด็จพี่กลับทำไม่ได้ นาทีนั้นข้าจึงยินยอมพร้อมใจจะเป็นผู้ฝึกลมปราณที่พิสูจน์มหามรรคาเป็นอมตะนี้แล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!