องค์ชายใหญ่ที่เป็นพี่ชายคนโตของซ่งซวี่คนนั้น คือว่าที่รัชทายาทในอนาคตที่ถูกกำหนดไว้แน่นอนแล้ว และเขาเองก็มีอุบายที่แยบยล ฝีมือไม่เลว ยามอยู่ต่อหน้าคนและลับหลังคนจะมีความต่างอย่างมาก พอเจอกับเรื่องที่ไม่ถูกใจ กลับไปถึงที่พักก็ยังรู้ว่าไม่ควรขว้างเครื่องกระเบื้องหรือของตกแต่งในห้องหนังสือ เพราะจะต้องถูกบันทึกลงเอกสาร ส่วนตำราอริยะปราชญ์ก็ยิ่งไม่กล้าทุ่มทิ้ง ถึงท้ายที่สุดจึงได้แต่เอาพวกผ้าแพรผ้าไหมทั้งหลายมาระบายอารมณ์ กลับเป็นน้องสามที่นิสัยอ่อนโยน แม้ว่าพรสวรรค์จะสู้พี่ใหญ่ไม่ได้ แต่ในสายตาของซ่งซวี่กลับเห็นว่าเขามีความยืดหยุ่นได้มากกว่า ส่วนน้องชายน้องสาวคนอื่นๆ ที่เหลือ ซ่งซวี่กลับไม่ค่อยสนิทสนมด้วยแล้ว
ต้นไม้หยกในลานบ้าน กิ่งก้านงามละไม ในชีวิตอันหรูหราสุขสบาย ข้าหรือจะรู้เรื่องเช่นสงคราม?
อยู่ดีๆ ซ่งซวี่ก็ถามขึ้นมา “ครั้งนี้เจ้าลงมือโดยพลการ ได้รับคำสั่งจากใครบางคนในวังหรือไม่?”
หยวนฮว่าจิ้งเงียบงันไม่ตอบคำถาม
ซ่งซวี่จึงไม่ถามอะไรให้มากความอีก เพราะว่าได้คำตอบแล้ว
“ห้ามให้มีครั้งหน้า”
ซ่งซวี่ลุกขึ้นยืนเตรียมจะจากไป เขาหันหน้ามาเอ่ยว่า “เป็นข้าพูดเอง”
นับจากวันนี้เป็นต้นไป อันที่จริงหยวนฮว่าจิ้งได้สูญเสียสถานะผู้นำของผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดินไปแล้ว
……
ทางฝั่งของซุ้มดอกไม้ อันที่จริงซิ่วไฉเฒ่าก็ไม่ได้ดื่มเหล้า เขานั่งไขว่ห้าง สองมือสอดประสานกันวางไว้บนหัวเข่า เหลือบตามองเชือกหลากสีที่เฟิงอี๋ใช้รัดผมสีนิล ชัดเลย มีมูลค่ามากเลยนะนั่น
เฟิงอี๋ยิ้มกล่าว “ทำไม เหวินเซิ่งต้องการมาช่วยพูดแทนพื้นที่มงคลร้อยบุปผา ให้ข้ามอบของกลับคืนไปอย่างนั้นหรือ? หรือจะบอกว่าครั้งนี้เหนียงเนียงเจ้าแห่งบุปผาเข้าร่วมการประชุม กึ่งขายกึ่งมอบสุราดีๆ และจอกเทพีบุปผาไปให้ เจ้าลัทธิบางคนของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางเลยใจอ่อน วันนี้แท้จริงแล้วบนร่างของเหวินเซิ่งได้พกเอาโองการอริยะที่ปากอมกฎสวรรค์มาด้วย?”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวอย่างเต็มไปด้วยเหตุด้วยผล “เรื่องระหว่างสตรี ข้าเป็นบุรุษตัวโตๆ คนหนึ่งจะต้องไปยุ่งอะไรด้วย”
ไม่ใช่เรื่องที่ข้าถนัด
สายเหวินเซิ่ง นอกจากลูกศิษย์คนสุดท้ายของตนแล้วก็ล้วนเป็นพวกชายโสดที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “อีกอย่าง ด้วยความสัมพันธ์ที่คบหากันมานานหลายปีของเฟิงอี๋กับสายเหวินเซิ่งเรา ใครกล้าวางมาดใหญ่โตกับคนยากคนจนอย่างข้า กล้าตวาดดุด่าเฟิงอี๋ จะไม่ถูกข้าด่าจนหูชาเลยหรือ?!”
เฟิงอี๋พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องไล่แขกแล้ว”
เชือกหลากสีเส้นนี้ซุกซ่อนความลี้ลับเอาไว้ นี่ก็คือเหตุผลหลักที่เพราะเหตุใดเทพีบุปผา เทพีบุปผาเจ้าชะตารุ่นแล้วรุ่นเล่ามากมายในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาถึงไม่เคยมีขอบเขตบินทะยานปรากฎแม้แต่คนเดียว นั่นก็เพราะชะตาชีวิตบนมหามรรคาก่อนกำเนิดมีไม่ครบถ้วน เลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหรินก็เท่ากับว่าเดินไปสุดทางของเส้นทางหัวขาดแล้ว อีกทั้งพื้นที่มงคลร้อยบุปผาแห่งหนึ่งที่ขาดขอบเขตบินทะยานนั่งบัญชาการณ์ ถึงอย่างไรก็เป็นความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบ
ร้อยบุปผาแห่งใต้หล้าไพศาลถูกเฟิงอี๋รังแกจนอเนจอนาถจริงๆ
ซิ่วไฉเฒ่าพูดชวนคุยว่า “เรื่องราวในใต้หล้าต่างเป็นผลกรรมของกันและกัน เพราะเหตุนี้ทำให้เกิดผลนี้ เพราะผลนี้จึงก่อให้เกิดเหตุนี้ เกิดเหตุแล้วจึงเป็นผล เอาเป็นว่ามันโคจรไปมาเช่นนี้ ทั้งคนธรรมดาและอริยะปราชญ์ล้วนกล่อมกลืนส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน หลักการเป็นหลักการเช่นนี้ เรียบง่ายอย่างมาก ดังนั้นเรื่องราวในใต้หล้าจึงมักจะเวียนวน ช่วยให้พวกเราได้กลับมาพบเจอกันในภูเขาสายน้ำอีกครั้ง มีทั้งดีและเลว เอาแต่พูดถึงหลักการเหตุผลโดยไม่ยกตัวอย่างก็จะดูโอ้อวดตนเกินไป ถ้าอย่างนั้นข้าจะยกตัวอย่างให้ฟังแล้วกัน มันมีความเกี่ยวข้องกับเฟิงอี๋อยู่เล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่นหาวซู่สิงกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ รู้จักกระมัง? ในอดีตเขาปรากฏตัวในพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งของฝูเหยาทวีป ก่อนหน้านี้ไม่นานก็เงื้อกระบี่ตัดหัวของหนันกวงจ้าว แล้วยังรับลูกศิษย์มาคนหนึ่ง บอกให้เด็กคนนั้นสาบานว่าจะต้องสังหารโจรเด็ดบุปผาบนภูเขาให้หมดสิ้น หลังจากหาวซู่ลงมืออำมหิตไปแล้วก็รู้ดีว่าตัวเองไม่อาจรั้งอยู่ได้นาน จึงพยายามจะออกไปจากไพศาล ไปหลบภัยยังใต้หล้ามืดสลัว แต่ถูกหลี่เซิ่งขวางเอาไว้ เต๋าเหล่าเอ้อรับตัวอีกฝ่ายมาไม่สำเร็จก็อับอายจนพานเป็นความโกรธ โมโหจนร้องโหวกเหวกโวยวาย”
แน่นอนว่าเฟิงอี๋ไม่คิดว่าด้วยนิสัยใจคอของผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงของป๋ายอวี้จิงจะทำให้เขาเสียกิริยาได้ถึงขนาดนี้ เพียงแต่หลักการเหตุผลที่มองดูเหมือนซิ่วไฉเฒ่ายกตัวอย่างง่ายๆ นี้ กลับมีเหตุผลอย่างมาก
เฟิงอี๋นิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง ยื่นสองนิ้วออกมาคีบเชือกหลากสีเส้นนั้นเอาไว้แล้วดึงออกมาจากเส้นผมสีนิล มองดูเหมือนซิ่วไฉเฒ่าไม่สะทกสะท้าน แต่แท้จริงแล้วลูกตากลับกลอกไปมา
อันที่จริงซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้มาเพื่อช่วยคลี่คลายบุญคุณความแค้นให้ใครจริงๆ เพียงแต่ว่าเขาเกิดมาก็มีชะตาที่ต้องง่วนทำงานวุ่นวาย จึงอดไม่ไหวพูดไปตามโอกาส หากสำเร็จ นับแต่นี้ไปเฟิงอี๋คลายปมแค้นกับพื้นที่มงคลร้อยบุปผาได้ย่อมดีที่สุด แต่หากไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร
ในมือเฟิงอี๋ถือเชือกหลากสีที่มีขนาดใหญ่เท่าเหรียญทองแดงเอาไว้ เส้นผมสีนิลระสยายลงมาเหมือนน้ำตก แผ่จากหัวไหล่เหมือนน้ำท่วมทำนบไหลเชี่ยวกรากไปอยู่ระหว่างร่องเขาลึก
ซิ่วไฉเฒ่าพลันยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ตามองตรงไปข้างหน้า “ผู้อาวุโสโปรดหยุดก่อน!”
เฟิงอี๋รู้สึกกังขาอยู่ในใจ แต่ปากกลับเอ่ยสัพยอกว่า “ทำไม เห็นข้าเป็นคณิกาข้างถนนที่จะปลดเข็มขัดถอดเสื้อหรือ? พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ลูกผู้ชายตัวโตๆ กลับขี้ขลาดเสียได้?”
ซิ่วไฉเฒ่าตกใจจนพูดไม่คล่องปาก โบกมืออย่างแรง รีบดื่มเหล้าหนึ่งอึกระงับความตกใจ “ไม่ใช่ๆ ผู้อาวุโสอย่าพูดตลกเลย”
เฟิงอี๋ทำท่ากระจ่างแจ้ง นำเชือกหลากสีไปมัดผมสีนิลอีกครั้ง เอ่ยว่า “เข้าใจแล้ว เหวินเซิ่งต้องการมอบผลประโยชน์นี้ให้กับเฉินผิงอัน ช่วยให้เขาผูกบุญสัมพันธ์กับพื้นที่มงคลร้อยบุปผาระหว่างที่ไปท่องเที่ยวแผ่นดินกลาง?”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสปราดเปรื่อง”
เฟิงอี๋ยิ้ม “เป็นอาจารย์ ช่วยปูทางให้ลูกศิษย์เช่นนี้ ต่อให้เหน็ดเหนื่อยก็ไม่รู้สึกว่าเหนื่อย?”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “ผิดแล้ว การที่ทุกวันนี้พวกอริยะปราชญ์ที่มีเทวรูปตั้งบูชาในศาลบุ๋นแผ่นดินกลางซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ค่อยยอมรับในความรู้ของสายเหวินเซิ่งยอมเปลี่ยนทัศนคติใหม่ ก็คือคุณความชอบของลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าคนนี้ เมื่อก่อนเวลาเจอกับข้าระหว่างทาง อย่างมากก็แค่คาวระเหวินเซิ่งเท่านั้น ทุกวันนี้กลับไม่เหมือนกันแล้ว ล้วนยินดีขอความรู้จากซิ่วไฉเฒ่าอย่างข้าด้วยความจริงใจหลายประโยคแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!