บทที่ 841.4 บ้านเกิด – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 841.4 บ้านเกิด จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ก่อนที่มหาสมุทรความรู้โจวมี่แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะเดินขึ้นสวรรค์ก็ได้เลือกสิบแผนภูมิฟ้าเอาไว้แล้ว รอจนเขาเดินขึ้นฟ้า ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็มีสิบคนเข้ามาเสริมชดเชยได้ในชั่วพริบตา การชิงลงมือก่อนที่เป็นกุญแจสำคัญก็คือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขาอย่างมู่จีแห่งกระโจมเจี่ยเซิน ภายหลังก็คือโจวชิงเกาที่เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบได้ในก้าวเดียว
ฝ่ายแจกันสมบัติทวีป ชุยฉานราชครูต้าหลีกลับเริ่มสร้างสิบสองแผนภูมิดินขึ้นมา
ภายหลังถึงเป็นยี่สิบแปดดวงดาวของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง การชิงลงมือก่อนของเขาก็คือศิษย์น้องเล็กที่เขารับลูกศิษย์มาแทนอาจารย์ มีฉายาว่าซานชิง
เจี่ยเซิงแห่งไพศาลในอดีต มหาสมุทรความรู้โจวมี่ในภายหลัง คือคนที่มีช่วงเวลาในการฝึกตนมาอย่างยาวนาน เป็นคนแรกสุดที่เริ่มวางแผนจัดวางสถานการณ์
อันที่จริงก็ไม่แน่เสมอไปว่าลู่เฉินจะคิดถึงเรื่องนี้ได้ช้าว่าโจวมี่และชุยฉาน แต่ต่อให้เขาลู่เฉินคิดได้เร็วกว่านี้ ก็ต้องเป็นเพราะเกิดมาก็มีนิสัยเกียจคร้าน ชอบความสบาย จึงไม่ยินดีที่จะทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างแน่นอน
เฟิงอี๋เอ่ยอย่างจนใจ “เหวินเซิ่ง เจ้าอย่าเงียบสิ”
ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ ยกมือขึ้นชี้ไปที่หัวของตัวเอง “เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ชุยฉานจงใจกดข่มสติปัญญาของตัวเองเอาไว้ ก็เพราะตั้งใจจะลดความสามารถในการเล่นหมากล้อมของตัวเองลง ส่วนเมื่อไหร่เขาถึงจะลงมือ? คงเป็นตอนที่อาเหลียงหวนกลับมายังใต้หล้าไพศาลกระมัง บางทีอาจเร็วกว่านั้น อะไรที่เรียกว่าผีไม่รู้เทพไม่เห็นก็คือแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ ดังนั้นชุยตงซานที่เกิดจากการเบ่งจิตวิญญาณมาจากชุยฉาน แม้จะบอกว่ามีจุดประสงค์บางอย่างอยู่จริง คือหนึ่งในขั้นตอนทั้งหลายของสถานการณ์ใหญ่ในหนึ่งทวีป แต่จุดประสงค์ที่ใหญ่ที่สุดกลับยังเป็นเพียงแค่เวทอำพรางตาอย่างหนึ่งเท่านั้น หลอกตัวเองก่อนถึงจะสามารถหลอกการอนุมานบนมหามรรคาของผู้ฝึกตนบนยอดเขาทุกคนของใต้หล้าได้ ดังนั้นสำหรับโจวมี่และตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว นี่ก็คือเรื่องไม่คาดฝันที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะมีเรื่องไม่คาดฝันนี้ก่อนถึงได้มีเรื่องไม่คาดฝันที่ตามมาภายหลัง”
“หรือเจ้าคิดจริงๆ ว่าโจวมี่ไม่มีการป้องกันสำหรับแจกันสมบัติทวีปเลย? จะเป็นไปได้อย่างไร ต้องรู้ว่าแผนล่างของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็คือแผนบนของโจวมี่คนเดียว ในเมื่อโจวมี่มีการป้องกันแจกันสมบัติทวีปและราชสำนักต้าหลีมาก่อนแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขายังต้องการหอบินทะยานที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู ถ้าอย่างนั้นมีหรือที่โจวมี่จะไม่มีการอนุมานวางแผนที่รอบคอบแม่นยำเลย?”
ซิ่วไฉเฒ่าจุ๊ปากพูด “ทุกวันนี้ใต้หล้าไพศาลของพวกเราจะยกทัพไปโจมตีเปลี่ยวร้าง ยังขาดอะไร? เงินเทพเซียน? แรงคนและทรัพยากร? พลังการสู้รบของผู้ฝึกตนบนยอดเขา? ล้วนไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้พวกเราล้วนเป็นฝ่ายได้เปรียบทั้งหมด สิ่งเดียวที่ขาด ขาดมากที่สุดก็คือเรื่องไม่คาดฝันใหญ่ที่ทำให้โจวมี่คาดไม่ถึงนี้”
เฟิงอี๋ฟังจนปากอ้าตาค้าง สมองชุยฉานมีปัญหาหรือไร?!
มิน่าเล่าปีนั้นที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู ชุยตงซานที่สามารถเล่นหมากล้อมหลากสีกับเจิ้งจวีจงได้ เขากับฉีจิ้งชุนศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ ‘กลายมาเป็นศัตรูกันเอง’ ใช้ศิษย์น้องเล็กในอนาคตมาเป็นกระดานหมากในการประลอง ชุยฉานล้วนเสียเปรียบตกเป็นรองในทุกหนทุกแห่ง ตอนนั้นนางยังรู้สึกว่าน่าสนุกอย่างมาก มองดูเด็กหนุ่มที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วต้องสะอึกอึ้งอยู่เรื่อย ขอบเขตถดถอยแล้วถดถอยอีก น่าสนใจจะตายไป นางนิ่งเฉยชมเรื่องสนุกอย่างดูดาย อันที่จริงยังรู้สึกสมน้ำหน้าเขาอย่างมาก และตอนนั้นก็ดื่มเหล้าไปไม่น้อย ผลคือวันนี้เจ้าซิ่วไฉเฒ่ามาบอกกับข้าว่าแท้จริงแล้วนั่นเป็นการกระทำที่เกิดจากความตั้งใจของซิ่วหู่ผู้นั้น? จากนั้นฉีจิ้งชุนที่รู้ทันเข้าใจกันมานานแล้วก็แค่ร่วมมือไปกับเขาด้วยเท่านั้น? ดีนักนะ พวกเจ้าสองศิษย์พี่ศิษย์น้องเห็นพวกเราทุกคนเป็นคนโง่หรือไร?
เฟิงอี๋ตบศีรษะตัวเองแล้วส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ถูกๆ ซิ่วไฉเฒ่าเจ้าเองก็พูดแล้วว่าการเดินขึ้นฟ้าของโจวมี่คือแผนบนของเขา เหตุใดชุยฉานกับฉีจิ้งชุนถึงไม่ขัดขวาง?! ไม่ใช่ว่าอุตส่าห์วางแผนอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่สุดท้ายแล้วกลับต้องเหนื่อยเปล่าหรอกหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าหรี่ตา “รักษาหลิวเสียทวีป อุตรกุรุทวีปและธวัลทวีปเอาไว้ได้ เป็นเหตุให้ขุนเขาสายน้ำของสามทวีปไม่สูญเสียดินแดน และยิ่งไม่ได้ถูกใต้หล้าเปลี่ยวร้างยึดครองแปดทวีปล้อมกักแผ่นดินกลางไว้แค่ทวีปเดียว โลกมนุษย์ของไพศาลพวกเรามีคนตายไปเท่าไรเชียว? สำหรับเฟิงอี๋แล้วกลับถือเป็นเรื่องที่เหนื่อยเปล่าหรือ?”
เฟิงอี๋ขวัญผวาอยู่ในใจ รีบลุกขึ้นยืนเอ่ยขออภัยทันที “เหวินเซิ่ง เป็นข้าพูดผิดไปแล้ว”
เป็นเพราะว่าซิ่วไฉเฒ่าที่มาเป็นแขกถึงบ้านผู้นี้หัวเราะง่าย มีสีหน้าเป็นมิตร ใกล้ชิดกับคนง่ายชวนให้คนสนิทสนมด้วยมากเกินไป จนทำให้เฟิงอี๋หลงลืมเรื่องหนึ่ง ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหลายของสายเหวินเซิ่ง มีใครบ้างที่นิสัยดี? ราชครูชุยฉานที่เคยเอ่ยประโยคว่า ‘ฝ่าบาทแค่ฟังอย่างเดียวก็พอ’? จั่วโย่วที่เล่นงานให้ ‘ตัวอ่อนเซียนกระบี่’ ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกลายเป็นเพียงถ้อยคำที่ระคายหูคน? หลิวสือลิ่วที่เคยไล่ล่าเผ่าพันธุ์น้ำให้หนีหัวซุกหัวซุน หวังเพียงให้ตัวเองมีชีวิตรอดเท่านั้น? ฉีจิ้งชุนที่บีบให้บรรพบุรุษสกุลลู่สำนักหยินหยางเกือบจะต้องสละร่างไปจากโลกใบนี้แต่ดันทำไม่ได้? หรือจะเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายที่ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจะใช้กระบี่ฟันคอไทเฮาเหนียงเนียงต้าหลีขาด?
และต้นกำเนิดแห่งขนบธรรมเนียมก็คือซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้า จากนั้นกะพริบตาปริบๆ “ข้าไม่รู้สาเหตุจริงๆ แต่ข้าขึ้นชื่อว่ามีดีแค่รับลูกศิษย์กับสอนหนังสือ ไม่ถนัดเรื่องที่วกวนไปมาพวกนี้ มีศิษย์ที่เก่งกว่าครูได้ก็เพียงพอมากๆ แล้ว”
อืม ข้าซิ่วไฉเฒ่าไม่ถนัด แต่ลูกศิษย์ทั้งหลายของข้าถนัดมาก ลูกศิษย์คนแรก เสี่ยวฉี ลูกศิษย์คนสุดท้าย
ส่วนจั่วโย่วกับจวินเชี่ยนนั้นช่างเถิด ล้วนเป็นพวกโง่ที่หัวรั้น ดีแต่จะวางมาดศิษย์พี่กับศิษย์น้องเล็ก อยากโดนด่าหรือไร? แล้วยังกล้าบ่นว่าอาจารย์ลำเอียง? แน่นอนว่าย่อมไม่กล้า
เฟิงอี๋สงสัยใคร่รู้อยู่มากจริงๆ นางจึงเอ่ยว่า “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง แค่บอกใบ้สักคำก็พอ ข้าต้องมีของตอบแทนให้แน่! ยกตัวอย่างเช่น…ข้ายินดีจะช่วยศาลบุ๋น เป็นฝ่ายไปทำเรื่องบางอย่างที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ส่วนเรื่องคุณความชอบก็ล้วนยกให้กับสายเหวินเซิ่งทั้งหมด”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “อย่าเลย ผู้อาวุโสไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เงินที่ได้มาโดยไร้ความชอบ รับไว้แล้วก็รู้สึกละอายใจ สายของพวกข้าไม่ชอบเรื่องพวกนี้หรอก”
เฟิงอี๋นั่งกลับลงไปบนขั้นบันได แหงนหน้ากระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ ครั้นจึงเช็ดปากยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “พอเหวินเซิ่งพูดแบบนี้ ข้าก็ไม่กล้ากลับไปที่เมืองเล็กแล้ว”
เมื่อก่อนไม่รู้สึกว่าอันตรายสักเท่าไร ความรู้สึกที่มากกว่านั้นคือน่าสนใจ เวลานี้กลับเริ่มรู้สึกขนลุกขนพองแล้ว
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล
ถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งหนึ่ง อาณาเขตขุนเขาสายน้ำมีน้อยนิดแค่นั้น จำนวนคนก็น้อยนิดแค่นั้น
อาจารย์สอนหนังสือในโรงเรียนของเมืองเล็ก อริยะที่เคยพิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีจู ฉีจิ้งชุน
ชุยตงซานที่เป็นศิษย์หลานในภายหลัง หรือควรจะพูดว่าอดีตศิษย์พี่ชุยฉาน
กระบี่โบราณด้านล่างสะพาน หนึ่งในห้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงสุด ผู้ครองกระบี่ ปีนั้นกลุ่มของพวกเฟิงอี๋ อันที่จริงต่างก็เคยเข้าใจผิดคิดว่านางเป็นเพียงวิญญาณกระบี่
หร่วนซิ่ว หลี่หลิ่ว เทพอัคคี เทพวารี สองในห้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงสุด
หยางเหล่าโถวแห่งร้านยา ชิงถงเทียนจวิน พระเทพบิดรตะวันออก ในมือได้ครอบครองหนึ่งในหอบินทะยานของสรวงสวรรค์เก่า บรรพบุรุษแห่งเซียนดินฝ่ายชาย
ช่างเหยาแห่งเตาเผามังกร
อาจารย์ซานซานจิ่วโหว ผู้เป็นศูนย์รวมแห่งเวทคาถาวิชาอภินิหาร บรรพจารย์แห่งสายยันต์และการหลอมโอสถในใต้หล้า
หลี่ซีเซิ่งแห่งถนนฝูลวี่ ลูกศิษย์คนแรกของมรรคาจารย์เต๋า ‘หนึ่งใน’ เจ้าลัทธิใหญ่ของป๋ายอวี้จิง
ลู่เฉินที่ตั้งแผงลอยดูดวง เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัว
จื้อกุยแห่งตรอกหนีผิง ตัวอ่อนมังกรที่แท้จริงตัวสุดท้ายของโลก
โจวจื่อแห่งสำนักหยินหยางที่เดินเข็นรถขายถังหูลู่ไปทั่วตรอกถนน ผู้ที่ ‘คิดคำนวณทุกอย่างได้อย่างรอบรู้’
เฟิงอี๋ สารถีเฒ่า บรรพจารย์สายของผู้ประคับประคองมังกร บรรพบุรุษสกุลลู่สายสำนักห้าธาตุเจ้าประมุขสกุลลู่สำนักหยินหยางแผ่นดินกลาง
หลี่เอ้อ เจิ้งต้าเฟิงคนเฝ้าประตู
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว “ฟังมาตั้งเยอะขนาดนี้ หากเปลี่ยนมาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้า ในใจคงมีคำตอบอยู่นานแล้ว”
เฟิงอี๋ยื่นมือไปจับปมเชือกหลากสี เอ่ยอย่างมีโทสะ “เหวินเซิ่ง หากเจ้าไม่พูด ข้าก็จะคิดว่าไม่มีเรื่องนี้อยู่แล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า แบบนี้ก็น่าเบื่อแล้ว อีกอย่างข้าเองก็ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญสักหน่อย ส่วนลูกศิษย์คนสุดท้ายก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ บุปผาที่เขาตัดใจบดขยี้อย่างอำมหิตได้ลงคอ ไม่ได้มีแค่เจ้าเฟิงอี๋เสียหน่อย
เฟิงอี๋ถอนหายใจอย่างยอมรับชะตากรรม “ในเมื่อเป็นคนละเรื่องกัน สิ่งของข้ายังคงมอบให้เหมือนเดิม เหวินเซิ่งไม่ต้องกังวล รับรองว่าภายหลังเมื่อเฉินผิงอันเดินทางไปเยือนพื้นที่มงคลร้อยบุปผาก็มีแต่จะถูกมองเป็นแขกผู้มีเกียรติ ไม่แน่ว่าให้ไปเป็นเค่อชิงไท่ซ่างของพื้นที่มงคลที่ตำแหน่งว่างมานานหลายปีก็ยังไม่ยาก”
หนึ่งปีสิบสองเดือน ในพื้นที่มงคลร้อยบุปผาก็มีเทพีบุปผาสิบสองเดือนที่อยู่ในตำแหน่งสูง ในบรรดาเทพีบุปผาสิบสองคนนี้ก็มีเหนียงเนียงเจ้าแห่งบุปผาของพื้นที่มงคล รวมไปถึงเทพีบุปผาเจ้าชะตาสี่ท่านที่ดูแลเรื่องการผลิบานของบุปผาในสี่ฤดูกาล เหนียงเนียงเทพีบุปผาสิบสองท่านต่างก็มีเค่อชิงแห่งชะตาชีวิตของตัวเอง และยังมีเค่อชิงไท่ซ่างที่คล้ายคลึงกับดอกโบตั๋นของป๋ายเหย่อยู่ด้วย แน่นอนว่าป๋ายเหย่ไม่เคยรับน้ำใจก็เท่านั้น เพราะเขาไม่เคยมาเยือนพื้นที่มงคลดอกบัว
ดังนั้นตำแหน่งว่างเปล่าอย่างเค่อชิงไท่ซ่างนี้ไม่อาจคิดเป็นจริงเป็นจังได้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการกระทำที่เกิดจากการคิดไปเองของเทพีบุปผา และเค่อชิงไท่ซ่างทั่วทั้งในพื้นที่มงคลร้อยบุปผาก็ยิ่งเป็นตำแหน่งที่ปล่อยว่างมาหลายพันปี อันที่จริงพื้นที่มงคลกำลังรอคอยคนคนหนึ่ง นั่นคือคนที่สามารถช่วงชิงเชือกหลากสีที่หล่อหลอมมาจากชะตาชีวิตเส้นแล้วเส้นเล่าของเทพีบุปผากลับมาจากมือของเฟิงอี๋ได้
ซิ่วไฉเฒ่าดวงตาเป็นประกายวาบ ผู้อาวุโสเห็นอกเห็นใจคนอื่นเช่นนี้ก็ประเสริฐมากแล้ว
เพียงแต่เขายังคงไม่บอกคำตอบนั้น ปล่อยให้เจ้าอัดอั้นจนตายไปเลย
เฟิงอี๋พลันเอ่ยว่า “ไม่สู้ข้าจะเดิมพันกับเหวินเซิ่งดู เดิมพันด้วยเหล้าหมักร้อยบุปผาของบรรณาการสิบไห ถูกข้าดื่มมานานหลายปีขนาดนี้ก็เหลืออยู่อีกไม่มากแล้ว เดิมพันว่าเฉินผิงอันไม่อาจให้คำตอบนั้นได้ เป็นอย่างไร?”
ซิ่วไฉเฒ่าเกิดความสนใจ ขยุ้มหนวดเอ่ย “หากผู้อาวุโสชนะแล้วจะเป็นอย่างไร? เพราะถึงอย่างไรโอกาสที่ผู้อาวุโสจะชนะก็มีมาก ในความเห็นของข้า ต้องเรียกว่าคว้าชัยชนะได้อย่างมั่นคงเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นหากมีแค่เหล้าหมักสิบกาจะน้อยไปหน่อยหรือไม่?”
เฟิงอี๋กระตุกมุมปาก “ถ้าอย่างนั้นก็สิบแปดไห ข้าเก็บไว้เองแค่สองไห หากข้าชนะ เชือกเส้นนี้ก็จะยังมอบให้กับเฉินผิงอัน แต่หลังจากที่เขาเป็นเค่อชิงไท่ซ่างแล้วจำเป็นต้องให้เทพีบุปผาสิบสองเดือนมาขอขมาข้าพร้อมกัน หากว่าเฉินผิงอันได้เชือกไป แล้วไปเที่ยวเยือนพื้นที่มงคลร้อยบุปผา ไม่ว่าจะได้เป็นเค่อชิงไท่ซ่างหรือไม่ ขอแค่เขาไม่อาจทำให้เทพีบุปผายอมรับผิดได้ก็ต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นต้องปกป้องไม่ให้โจรเด็ดบุปผาบนภูเขาถูกสังหารจนหมดเกลี้ยง”
ซิ่วไฉเฒ่าทำสีหน้าตกตะลึง “เดิมพันเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่เหมาะสมกระมัง?”
เฟิงอี๋ยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้อง?”
ซิ่วไฉเฒ่าถูมือ “ช่างเถิดๆ เดิมพันก็เดิมพันสิ เดิมพันเล็กน้อยแค่ให้พอสนุกสนาน”
เฟิงอี๋ร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต คล้ายกับวักกระแสน้ำเส้นเล็กเส้นหนึ่งมาจากแม่น้ำแห่งกาลเวลา จากนั้นหลอมเป็นลมเย็นระลอกหนึ่ง ให้มันโชยไปหาเฉินผิงอันที่อยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยม
เฟิงอี๋กำลังจะเปิดปากพูด ซิ่วไฉเฒ่าก็หยิบเหล้ากาหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ แกว่งเบาๆ พูดด้วยความมาดมั่นว่า “ไม่มีทางแพ้ ดังนั้นจะให้ข้าบอกคำตอบแก่เจ้าก่อนก็ยังได้”
เฟิงอี๋ยังคงไม่สะทกสะท้าน เพียงครู่เดียวลมเย็นระลอกนั้นก็กลับมาที่ซุ้มดอกไม้ของศาลเทพอัคคี แทบจะทันทีที่เฉินผิงอันได้ยินคำพูดของอาจารย์ก็ให้คำตอบออกมาทันใด พูดแค่สี่คำเท่านั้น อันที่จริงเป็นคำที่ชุยฉานเคยพูดตั้งแต่ปีนั้นที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว
‘เชิญท่านลงโอ่ง’
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!