เฉินผิงอันคิดว่าจะไปขอรายงานขุนเขาสายน้ำมาจากผู้ฝึกตนเฒ่าหลิวเจีย ทั้งของในทวีปและของทวีปอื่น ยิ่งมากยิ่งมีประโยชน์
คิดไม่ถึงว่าระหว่างทางที่ไปตรอกเล็กจะมีขุนนางอายุน้อยจากศาลหงหลูคนหนึ่งเป็นฝ่ายมาหาเฉินผิงอันด้วยตัวเอง ระดับขุนนางไม่สูง ขั้นเก้าชั้นโท เพิ่งจะเลื่อนเป็นขุนนางน้ำใส ทว่าตอนนี้รับหน้าที่อยู่ในกองงานวัดหลวงและทำงานในหน่วยถีเตี่ยน แต่กลับเป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง ตบะขอบเขตชมมหาสมุทร เขาส่งมอบป้ายขุนนางทำจากไม้แผ่นหนึ่งให้เฉินผิงอันอย่างนอบน้อม ภาษาทางการต้าหลีที่พูดออกจากปากของเขาติดสำเนียงของเขตสวินโจวมาเล็กน้อย บอกว่าซื่อชิง (ชื่อตำแหน่งขุนนางอย่างหนึ่ง) ออกคำสั่งด้วยตัวเอง ให้ตนรับผิดชอบมารับรองอาจารย์เฉิน หากมีธุระอะไรก็ให้เรียกหาเขา เรียกแล้วจะมาทันที นอกจากแผ่นไม้ป้ายขุนนางแล้วยังมีกล่องกระบี่ไม้โบราณเรียบง่ายเล็กกะทัดรัดอีกใบหนึ่งที่แกะสลักอักษรเดียวเป็นคำว่า ‘ฟ้า’ ขนาดแค่ฝ่ามือเท่านั้น ส่วนตัวของขุนนางหนุ่มเองก็มีกล่องไม้ที่แกะสลักอักษรคำว่า ‘ดิน’ เพื่อสะดวกให้ทั้งสองฝ่ายส่งกระบี่บินแจ้งข่าวกัน
คนหนุ่มมีชื่อว่าสวินชวี่ มีสง่าราศี คือจิ้นซื่ออันดับรองของการสอบครั้งล่าสุด
ถนนหนันซวินที่ตั้งอยู่ฝั่งขวามือของระเบียงพันก้าวมีที่ว่าการตั้งเรียงราย ศาลหงหลูก็เป็นสถานที่หนึ่งในนั้น เป็นเพื่อนบ้านกับที่ว่าการกรมโยธาของกวนอี้หราน
เฉินผิงอันมองแผ่นไม้ป้ายขุนนางแผ่นนั้น หน้าตรงของแผ่นป้ายเป็นคำว่าศาลหงหลู ซวี่ปัน (ชื่อตำแหน่งขุนนาง) ด้านหลังคือให้ความเคารพแก่ขุนนางที่พกป้ายนี้ หากเป็นผู้ไร้ป้ายต้องลงโทษตามกฎ คนที่ขอยืมกับคนที่ให้ยืมมีบทลงโทษเดียวกัน ไม่ต้องใช้ตอนออกจากเมือง
แค่มองตัวอักษรก็รู้ว่าเป็นลายมือของเจ้าประมุขสกุลจ้าวเทียนสุ่ย ในความเป็นจริงแล้วจารึกหินต้องห้ามของที่ว่าการน้อยใหญ่ในหนึ่งแคว้นก็มาจากลายมือของเจ้าประมุขสกุลจ้าวทั้งสิ้น
แรกเริ่มเฉินผิงอันยังประหลาดใจว่าไฉนราชสำนักต้าหลีถึงส่งขุนนางตัวเล็กๆ ของศาลหงหลูที่รับหน้าที่ด้านการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาในเมืองหลวงชั่วคราวมาคอยติดตามตน ไม่ว่าจะเป็นที่ว่าการที่คนหนุ่มอยู่ หรือระดับขั้นตำแหน่งขุนนาง ขอบเขตของผู้ฝึกตน อันที่จริงล้วนไม่เหมาะสม กระทั่งได้ยินชื่อของคนหนุ่มถึงได้เข้าใจความคิดที่ซุกซ่อนอยู่ของราชสำนักต้าหลี สวินชวี่มีชาติกำเนิดจากตระกูลยากจนในพื้นที่ของแคว้นใต้อาณัติต้าหลี ประเด็นสำคัญคือเป็นเพื่อนรักที่ถูกชะตากันมากกับเฉาฉิงหล่างลูกศิษย์ของตน ปีนั้นตอนที่เฉาฉิงหล่างมาเข้าร่วมการสอบที่เมืองหลวงก็เคยเข้าพักอยู่ในวัดของเมืองหลวงร่วมกับสวินชวี่ คนยากจนสองคนมีความสุขท่ามกลางความยากลำบาก เวลาว่างนอกเหนือจากการอ่านตำรา คนทั้งสองก็มักจะไปเดินเล่นตามตลาดที่มีร้านขายหนังสือ ร้านขายเครื่องเขียนของโบราณอยู่มากมายเป็นประจำ เพียงมองดูไม่ซื้อหา
ตอนที่เฉาฉิงหล่างอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ในบรรดาคนวัยเดียวกันที่เข้าร่วมการสอบเคอจวี่และสหายร่วมงานในวงการขุนนางก็เคยพูดถึงแค่สวินชวี่คนเดียวเท่านั้น ดังนั้นเฉินผิงอันจึงจดจำชื่อของคนรุ่นเดียวกันในวงการขุนนางของลูกศิษย์คนนี้ได้
ใบหน้าของเฉินผิงอันมีรอยยิ้มเพิ่มมากขึ้น มอบป้ายขุนนางที่เป็นแผ่นไม้คืนให้กับสวินชวี่ พูดหยอกล้อว่า “รออีกสองสามวันเมื่อข้ามีเวลาว่าง พวกเราก็ไปเที่ยวที่โรงหลิวหลีทางตะวันตกด้วยกันสักรอบ เรื่องของการซื้อตำราและตราประทับต้องเป็นศาลหงหลูที่ควักเงินจ่าย ถึงเวลานั้นหากเจ้ามีตำราหายาก ตำราสมบูรณ์แบบและอักษรแกะสลักของนักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงชิ้นใดที่หมายตาไว้แต่แรกแล้วก็ส่งสายตาบอกข้าเป็นนัย ซื้อมาให้หมด หลังกลับมาข้าค่อยมอบให้เจ้า ย่อมไม่ถือว่าเจ้าเอาผลประโยชน์ส่วนตัวมาเบียดบังส่วนรวม ฮุบเงินกองกลางเข้ากระเป๋าตัวเอง”
สวินชวี่พยักหน้า เข้าใจแล้ว มิน่าเล่าเฉาฉิงหล่างถึงไม่ได้คร่ำครึหัวโบราณเช่นนั้น ไม่ว่าจะเรื่องอะไรเขาล้วนหัวไวปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ทุกเรื่องล้วนมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ที่แท้ก็เรียนรู้มาจากอาจารย์ของเขานี่เอง
แต่อาจารย์เฉินท่านนี้เข้ากับคนอื่นได้ง่ายมากกว่าที่ตนจินตนาการไว้เยอะเลย
เฉินผิงอันเก็บกล่องกระบี่ใบเล็กใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยว่า “สวินซวี่ปัน มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องขอให้เจ้าช่วยจริงๆ ช่วยส่งรายงานบนภูเขาทั้งหลายมาที่เรือนแห่งนี้ที ยิ่งมากยิ่งดี”
สวินชวี่ขอตัวลากลับไปทันที บอกว่าตนจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้ อาจารย์เฉินอาจต้องรอประมาณหนึ่งชั่วยาม
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไปที่ตรอกเล็ก บอกกับหลิวเจียไว้ก่อนว่าหลังจากนี้ไม่ต้องขวางคนหนุ่มที่ชื่อว่าสวินชวี่จากศาลหงหลู ผู้ฝึกตนเฒ่าย่อมไม่มีความเห็นต่าง ก็แค่ผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่ง ขวางไว้ก็ไม่มีความรู้สึกประสบความสำเร็จใดๆ
เฉินผิงอันไปถึงเรือนของศิษย์พี่ ไม่ได้ปิดประตู ไปเลือกหาตำราสี่ห้าเล่มมาจากหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น อดทนรอคอยให้คนหนุ่มเอารายงานมาส่งให้อย่างใจเย็น
ยังเหลืออีกหนึ่งก้านธูปก่อนจะครบหนึ่งชั่วยาม รถม้าคันหนึ่งก็มาจอดใกล้กับตรอกเล็ก สวินชวี่ลงจากรถม้า เดินเข้ามาในตรอกเล็ก เรียกอาจารย์เฉินที่หน้าประตูเบาๆ ในมือของคนหนุ่มถือถุงกระดาษไว้ใบหนึ่ง เฉินผิงอันเดินมาที่หน้าประตู ไม่ได้เชิญให้ขุนนางหนุ่มเข้าไปในบ้าน สวินชวี่มองประตูเรือนแวบหนึ่งแล้วคารวะอย่างนอบน้อมก่อนจากไป เฉินผิงอันกลับไปที่หอหนังสือ นั่งลงบนเก้าอี้กลมไม้หวงฮวาหลีที่ผลิตจากเขตตันโจว เปิดถุงออกก็สังเกตเห็นว่านอกจากรายงานขุนเขาสายน้ำสิบกว่าฉบับที่มาจากสำนักต่างๆ ของใต้หล้าไพศาลแล้วยังมีรายงานของราชสำนักที่มาจากที่ว่าการหกกรมของราชสำนักต้าหลีด้วย
ตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์ห่างจากตรอกหนันซวินที่มีที่ว่าการมากมายและตรอกเคอเจี่ยไม่ไกลนัก สวินชวี่ไปกลับหนึ่งรอบใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วยาม นี่หมายความว่ารายงานยี่สิบกว่าฉบับนี้เก็บรวบรวมมาได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม นอกจากรายงานขุนเขาสายน้ำที่อยู่ในการปกครองของกรมพิธีการซึ่งเก็บรวบรวมมาได้ง่ายแล้ว ศาลหงหลูยังต้องแวะเวียนไปเยือนที่ว่าการใหญ่ที่ปิดประตูอย่างแน่นหนาอีกเจ็ดแปดแห่ง ส่วนการที่เป็นฝ่ายนำรายงานของราชสำนักมามอบให้ด้วยตัวเองนั้นจะเป็นคำเสนอแนะของตัวสวินชวี่เอง หรือเป็นความต้องการของซื่อชิงแห่งศาลหงหลู เฉินผิงอันเดาว่าความเป็นไปได้ของฝ่ายแรกมีมากกว่า เพราะถึงอย่างไรสามคำว่าไม่แบกรับหน้าที่ก็คือหนึ่งในความรู้อันดับต้นๆ ของการปฏิบัติงานอยู่ในที่ว่าการ
ตอนที่เฉินผิงอันเปิดอ่านรายงานของสำนักซานไห่ หัวคิ้วของเขาก็ขมวดมุ่น ไม่เข้าใจว่าตัวเองไปหาเรื่องสำนักใหญ่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หากจะบอกว่าครั้งก่อนถูกหลี่เซิ่งโยนไปไว้ที่นั่น ถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอันธพาลที่บุกฝ่าตราผนึกของสำนักเข้าไปโดยพลการ ก็เลยถูกอาฆาตแค้น? แต่ก็ไม่เหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น บรรพจารย์หญิงเปิดขุนเขาที่มีนามว่าน่าหลันเซียงซิ่วซึ่งชอบสูบยาคนนั้น มองดูแล้วเป็นคนที่พูดคุยด้วยได้ง่ายมาก แต่สุดท้ายแล้วรายงานแรกที่เป็นฝ่ายเปิดเผยนามของตนกลับมาจากสำนักซานไห่ เกินครึ่งคงเพราะถูกอาเหลียงทำให้เดือดร้อนตนจึงติดร่างแหไปด้วย? หรือเป็นเพราะในอดีตศิษย์พี่ชุยฉานเคยทำให้เทพธิดาคนหนึ่งของสำนักซานไห่เสียใจ? ตนที่เป็นศิษย์น้องก็เลยถูกเกลียดขี้หน้าไปด้วย?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!