อาจารย์ที่กลับมาจากศาลบุ๋นแผ่นดินกลางพาหลี่เซิ่งมาที่แจกันสมบัติทวีปด้วยกันจริงดังคาด
พวกเฉินผิงอันต่างก็ลุกขึ้นยืนในทันที เฉาฉิงหล่างประสานมือคารวะเหมือนกับอาจารย์ เผยเฉียนเห็นว่าอาจารย์แม่กุมหมัดแสดงความเคารพก็เอาอย่าง ไม่อย่างนั้นหากให้นางคารวะตามขนบลัทธิขงจื๊อก็คงขัดเขินอยู่มาก
มีเพียงเด็กสาวที่กระอักกระอ่วนเล็กน้อย ได้แต่ลุกขึ้นตาม เหลียวซ้ายแลขวา สุดท้ายก็เลือกกุมหมัดเหมือนกับอาจารย์หนิง ต่างก็เป็นชายหญิงในยุทธภพที่ไม่ยึดติดกับพิธีการเล็กๆ น้อยๆ นี่นะ
เมื่อครู่นางกำลังอัดอั้นอยู่ทีเดียว นี่มันพรรคแห่งใดในยุทธภพกันแน่ พูดจาถึงไม่มีเสียง หรือว่าจะเป็นวิชาลับในการถ่ายทอดเสียงที่หายสาบสูญไปนานแล้วในยุทธภพ?
เด็กสาวลองใคร่ครวญไปตามเส้นเบาะแสนี้ต่อ หรือว่าพรรคของอาจารย์หนิง แท้จริงคือพรรคของยอดฝีมือระดับสูง?
คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะมีบัณฑิตโผล่มาอีกคน นางจึงเกิดความไม่แน่ใจขึ้นมาอีกครั้ง สรุปแล้วอาจารย์หนิงใช่คนของพรรคในยุทธภพที่หลบซ่อนอยู่ในหลืบลึกหรือไม่ ยากจะตัดสินใจได้จริงๆ
หนิงเหยาลูบศีรษะของเด็กสาว ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้ากลับโรงเตี๊ยมไปก่อน รับรองว่าจะไม่ขโมยม้านั่งยาวของบ้านเจ้าอย่างแน่นอน”
เด็กสาวอืมรับหนึ่งที อยู่ต่อก็ไม่มีความหมายอะไร นางเดินข้ามธรณีประตูไปเพียงลำพัง เดินเข้าโรงเตี๊ยมไปแล้วก็ไปฟุบตัวอยู่ที่โต๊ะคิดเงิน พูดเสียงเบากับบิดา “ท่านพ่อ ด้านนอกมีบัณฑิตที่ไม่รู้จักมาเพิ่มอีกคน ตัวสูงนักล่ะ มองดูแล้วเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของตำรา ไม่แน่ว่าอาจเป็นนายท่านจิ้นซื่อที่เป็นขุนนางใหญ่ก็ได้นะ”
เถ้าแก่ผู้เฒ่ากำลังดื่มเหล้าเคล้ากับแกล้มพร้อมอ่านตำราไปด้วย จึงคร้านจะหันไปมองนอกประตู เพียงยิ้มเอ่ยว่า “บัณฑิตของตรอกอี้ฉือมีน้อยนักหรือ?”
นอกประตูโรงเตี๊ยม หลี่เซิ่งยิ้มพูดกับเฉาฉิงหล่าง “หาได้ยาก”
เฉาฉิงหล่างคารวะอีกครั้ง
ซิ่วไฉเฒ่ากับลูกศิษย์คนสุดท้ายได้แต่แสร้งทำเป็นฟังความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูดประโยคนี้ของหลี่เซิ่งไม่ออก
นอกจากเฉาฉิงหล่างจะเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่หาได้ยากแล้ว
สายเหวินเซิ่งยังมีบัณฑิตที่นิสัยไม่เหมือนคนของสายเหวินเซิ่งซึ่งนับว่าหาได้ยากยิ่ง
หลี่เซิ่งหันหน้ามามองเผยเฉียนแล้วเอ่ยว่า “ลองมองดูได้ ไม่เป็นไร”
เผยเฉียนส่ายหน้า
นางหรือจะกล้าลอบมองสภาพจิตใจของหลี่เซิ่งตามแต่ใจ
สุดท้ายหลี่เซิ่งเอ่ยกับหนิงเหยาว่า “ขอแค่เจ้ายังเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าห้าสี ถ้าอย่างนั้นกฎเกณฑ์บางอย่างที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร อย่างน้อยอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลนี้ เจ้าก็ยังต้องเคารพกฎ รอให้เจ้ากลับไปใต้หล้าห้าสีแล้ว ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา ข้าก็ไม่สน เพราะข้ากับศาลบุ๋นก็ต้องเคารพกฎบางอย่างเช่นกัน หนิงเหยา จงจำไว้ว่าทุกการกระทำที่ทำตามใจครั้งใดก็ตามของผู้แข็งแกร่งบนยอดเขาคนใดก็ตาม ไม่ว่าจุดประสงค์จะดีหรือร้าย สำหรับวิถีทางโลกที่พวกเราอยู่ใบนี้ก็ล้วนมีความขัดแย้งยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งซ่อนอยู่ จะมีผลกระทบที่มองไม่เห็นมากมาย ซึ่งบางทีอาจสืบทอดต่อเนื่องไปอีกร้อยปีพันปี”
ไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี ไม่มีสีหน้าดุดันกราดเกรี้ยว ถึงขั้นที่ว่าไม่มีความหมายจะกระทบกระเทียบ หลี่เซิ่งเพียงแค่เอ่ยหลักการทั่วไปด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยปกติ
หนิงเหยาเงียบงันไม่เอ่ยคำใด
ซิ่วไฉเฒ่ากระแอมเบาๆ หนึ่งที เฉินผิงอันก็รีบเปิดปากถามทันที “อาจารย์หลี่เซิ่ง ไม่สู้ไปนั่งพักที่เรือนของศิษย์พี่ข้าสักครู่ดีไหม?”
หลี่เซิ่งพยักหน้า “ตกลง”
คนทั้งกลุ่มเดินไปที่ตรอกเล็ก หลี่เซิ่งมองประเมินถนนหนทางในเมืองหลวงของต้าหลีไปตลอดทาง เขาไม่ได้มาเยือนแจกันสมบัติทวีปนานหลายปีแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันถาม “อาจารย์หลี่เซิ่ง ช่วยส่งข้ากับหนิงเหยาไปที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้หรือไม่ แค่ช่วยให้ข้ากับหนิงเหยากลับจากสถานที่ใดสถานที่หนึ่งมายังใต้หล้าไพศาลก็พอ”
ให้หลี่เซิ่งลงมือแค่ครั้งเดียวเช่นกัน
“สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง? ก็ไม่ใช่ภูเขาทัวเยว่หรอกหรือ?”
หลี่เซิ่งยิ้มกล่าว “อาศัยยันต์สามภูเขาข้ามผ่านใต้หล้าสองแห่ง เจ้าก็ช่างคิดได้ เดิมทีอาการบาดเจ็บก็ยังไม่หายดี ทำอย่างนี้มีแต่จะยิ่งเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนเกล็ดหิมะ ต่อให้ไปนอนหลับอยู่ที่ภูเขาทัวเยว่ก่อนสักสองสามวัน ให้หนิงเหยาปรึกษากับปีศาจใหญ่ที่เฝ้าประตูภูเขาทัวเยว่ดีๆ รอให้เจ้าพักผ่อนให้หายดีเสียก่อน แล้วค่อยให้เจ้ากับหนิงเหยาช่วยกันรื้อศาลบรรพจารย์บ้านคนเขา? หากมีเรื่องดีแบบนี้อยู่จริง ข้าไปภูเขาทัวเยว่เองก็ได้แล้ว ไม่ต้องให้พวกเขารอสองสามวันด้วยซ้ำ ให้เวลาข้าแค่ครึ่งก้านธูปก็ได้แล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ล้มเลิกความคิดนี้อย่างไม่ลังเล “เข้าใจแล้ว”
อันที่จริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนที่ก่อนหน้านี้หนิงเหยาเสนอให้ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินผิงอันก็ได้ประมาณการณ์คร่าวๆ ในใจอย่างรวดเร็วไปแล้วรอบหนึ่ง ดูท่าแล้วจะต้องมีความคลาดเคลื่อนอย่างมาก ปัญหายังคงอยู่ที่ภัยแฝงที่จะทิ้งไว้เบื้องหลังภายหลังจากการที่ตนใช้ยันต์สามภูเขาในการข้ามใต้หล้าสองแห่ง รวมไปถึงการประเมินตราผนึกของภูเขาทัวเยว่ต่ำเกินไป ในเมื่อหลี่เซิ่งบอกผลลัพธ์สุดท้ายเช่นนี้ออกมาแล้ว เฉินผิงอันก็สามารถลองคำนวณย้อนหลัง ย้อนกลับมาพิสูจน์ประสิทธิผลของยันต์สามภูเขา ถึงขั้นสามารถคำนวณหยาบๆ ถึงระดับการเชื่อมโยงกันระหว่างสองใต้หล้าโดยอาศัยประตูใหญ่บานนั้น รวมไปถึงช่องทางที่เชื่อมกุยซวีทั้งสี่แห่งเข้าด้วยกัน
หลี่เซิ่งเดินเนิบช้าอยู่บนถนน พลางเอ่ยต่ออีกว่า “อย่าได้ป่วยหนักจึงหาหมอส่งเดช ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้ภูเขาทัวเยว่ถูกเจ้าทำลายจนเละจริงๆ สนามรบที่อาเหลียงอยู่ควรจะเป็นอย่างไรก็ยังต้องเป็นอย่างนั้น เจ้าอย่าได้ดูแคลนสติปัญญาและกลยุทธของปีศาจใหญ่บนยอดเขาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลุ่มนั้น”
“ไม่ใช่ว่าข้าปฏิเสธในคุณความชอบจากการเป็นอิ่นกวานของเจ้า ทว่าทุกเรื่องต้องว่ากันไปตามสถานการณ์ ปีนั้นเจ้าดูแลกิจธุระทุกอย่างในคฤหาสน์หลบร้อน การออกคำส่งของสายอิ่นกวานสามารถราบรื่นไร้อุปสรรคได้ขนาดนั้น ในระดับใหญ่แล้วก็เป็นเพราะเจ้าได้รับการปกป้องที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส เป็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่เอาหลักการเหตุผลตลอดหมื่นปีของเขามามอบให้อิ่นกวานคนสุดท้ายเช่นเจ้า หากเปลี่ยนมาเป็นราชสำนักล่างภูเขา ต่อให้อยู่ที่ศาลบุ๋น ไม่ว่าใครก็ตามที่ช่วยหนุนหลังให้เจ้า เจ้าก็ไม่อาจทำเรื่องนี้ซ้ำได้อีกครั้งอย่างแน่นอน”
“นอกจากนี้แล้ว เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ไม่แน่ว่าคนที่ภูเขาทัวเยว่รอคอยอย่างแท้จริง นอกจากอาเหลียงแล้วก็เป็นเจ้า ถึงขั้นที่ว่าเป็นหนิงเหยาด้วย?”
เฉินผิงอันรับฟังทุกถ้อยคำไม่มีตกหล่น
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้ม
แม้จะบอกว่าหลี่เซิ่งไม่ใช่คนที่ขี้เหนียวคำพูด แต่ในความเป็นจริงแล้วขอแค่หลี่เซิ่งพูดอธิบายเหตุผลกับคนอื่น ย่อมพูดไม่น้อย ทว่าโดยทั่วไปแล้วหลี่เซิ่งของพวกเราไม่ได้เปิดปากพูดง่ายๆ หรอกนะ
ซิ่วไฉเฒ่าใช้เสียงในใจเอ่ยกับหนิงเหยา “แม่หนูหนิง อย่าโกรธเลย ไม่จำเป็นหรอก หลี่เซิ่งปฏิบัติกับผู้อื่นเช่นนี้เสมอ คร่ำครึนักล่ะ หากใช้คำพูดของคนบางคน คำว่าอิสระเสรีก็คือพวกเราออกจากบ้านในวันฝนตก ในมือมีร่มอยู่คันหนึ่ง สิ่งเดียวที่ไม่มีอิสระก็คือ เราต้องถือร่มและไม่อาจเดินออกไปนอกร่มได้”
หนิงเหยาอืมรับหนึ่งที
ส่วนคนบางคนที่ว่านั้นคือใคร ก็ไม่ต้องเดาเลย
หลี่เซิ่งกล่าว “เรื่องของคันฉ่องหยุดวารี พวกเราไปถึงเรือนแห่งนั้นแล้วค่อยว่ากัน”
ไปถึงปากตรอกเล็ก ผู้ฝึกตนเฒ่าหลิวเจียกับเด็กหนุ่มจ้าวตวนหมิง อาจารย์และศิษย์คู่นี้รีบเผยกายทันที
เฉินผิงอันชี้ไปที่เผยเฉียนและเฉาฉิงหล่าง อธิบายว่า “ลูกศิษย์ของข้าเอง ล้วนไม่ใช่คนนอก”
หลิวเจียขยับเท้าไปสองก้าว ขวางอยู่กลางตรอกเล็ก ชี้ไปที่ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อ ถามเฉินผิงอันว่า “รอเดี๋ยว แล้วท่านผู้นี้ล่ะ?”
เจ้าหนูเจ้าคิดจะทำไขสือ หมายจะหลอกข้าหรือ? คิดว่าจะผ่านด่านไปได้หรือไร ไม่มีทางเสียล่ะ
เฉินผิงอันกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ศิษย์พี่ก็จริงๆ เลย หาคนเฝ้าประตูที่ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมเช่นนี้มา ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ในวงการขุนนาง ไม่เข้าใจเรื่องราวทางโลกสักนิดเลยจริงๆ หรือไร?
ตนเป็นคนนำขบวนกลุ่มคนอยู่ด้านหน้า อาจารย์ยืนเคียงกับหลี่เซิ่งอยู่ด้านหลัง ขยับถัดไปอีกถึงจะเป็นหนิงเหยา เผยเฉียนและเฉาฉิงหล่าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!