หลี่เซิ่งกล่าว “ไม่ต้องกังวล ไม่ถือว่าไกล”
ซิ่วไฉเฒ่าเริ่มร่ายสุดยอดวิชาขึ้นชื่อบทที่แม้แต่ลูกศิษย์คนสุดท้ายก็ยังไม่เคยเรียนรู้มาก่อน พูดเซ้าซี้ว่า “อย่ามาพูดเรื่องเหลวไหลพวกนี้กับข้า บอกมา สรุปว่าเดินไปไกลแค่ไหน!”
หลี่เซิ่งหันหน้าไปมองเฉินผิงอันด้วยสายตาสอบถาม คล้ายว่าคำตอบจะอยู่ที่เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันไม่อาจแสร้งโง่ได้ จึงได้แต่บากหน้าตอบคำตอบที่อยู่ในใจไปว่า “นิกายฉานเคยกล่าวไว้ว่า ‘บอกว่าเหมือนสิ่งหนึ่งแต่กลับยังไม่ถูกต้อง’”
ก็เหมือนประโยคเก่าแก่ของบ้านเกิดเฉินผิงอันประโยคนั้น พรที่ขอจากพระโพธิสัตว์ไม่อาจบอกผู้อื่นได้ บอกไปแล้วก็จะไม่ศักดิ์สิทธิ์ มีจิตศรัทธาความศักดิ์สิทธิ์ย่อมบังเกิด ขอสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น
ซิ่วไฉเฒ่าใช้สองมือชูจอกเหล้า ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอดื่มก่อน หลี่เซิ่ง ดื่มเหล้าคนเดียวไม่มีความหมายอะไร ไม่สู้พวกเราสองพี่น้องมาดื่มด้วยกันก่อน เจ้าจะดื่มอย่างไรก็ตามใจ แต่ให้ข้าดื่มติดๆ กันสามจอกก็ยังไม่มีปัญหา”
สุราดีๆ ที่เดิมทีไม่ว่าใครก็ไม่ต้องยุให้ใครดื่มเหล้า แต่ดันถูกซิ่วไฉเฒ่าก่อกวนให้มีกลิ่นอายของชาวยุทธผู้บุ่มบ่ามเสียได้
หลี่เซิ่งตามสบายจริงๆ เพียงแค่ยกจอกขึ้นมาจิบเหล้าหนึ่งอึก ซิ่วไฉเฒ่ายืดคอยาวออกไป รออยู่พักหนึ่ง เฮ้อ ช่างเถิดๆ หลี่เซิ่งคอไม่แข็ง ตนก็อย่าได้เกรงใจอย่างส่งเดชอยู่เลย จิบเหล้าตามไปด้วยหนึ่งอึก นี่คือสุราที่ลูกศิษย์คนสุดท้ายของตนได้มาอย่างยากลำบากเชียวนะ ดื่มช้าๆ หน่อย วันหน้าเหล้าหมักร้อยบุปผาสองสามกานั้นของตนก็ต้องนำไปมอบให้คนอื่นถึงจะถูก
เฉินผิงอันถามคำถามที่ใหญ่เทียมฟ้า “ก่อนหน้านี้ตอนข้าอยู่โรงเตี๊ยม เขาเคยได้พบหลี่เซิ่งมาก่อนแล้วใช่หรือไม่?”
หลี่เซิ่งพยักหน้า
เฉินผิงอันไร้คำพูดอย่างสิ้นเชิง
เรื่องแบบนี้จะยังถือเป็นลำดับขั้นตอนอีกได้อย่างไร?
ตามคำอธิบายคำศัพท์ของอาจารย์สวี่ท่านนั้น บนล่างสี่ทิศคือเทศะ นับแต่โบราณมาถึงปัจจุบันคือกาลเวลา ส่วนลัทธิพุทธก็มีคำกล่าวที่ว่าโลกสิบทิศไร้ขอบเขตไร้ที่สิ้นสุด
มรรคาจารย์เต๋ากล่าวว่ามีสิ่งหนึ่งบังเกิดจากกลีภพ มีอยู่ก่อนฟ้าดิน มิอาจบรรยาย ขอเรียกว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ส่วนเจ้าลู่เฉินผู้นั้นก็พูดออกมาโดยตรงว่าเต๋าอยู่ในมด ในวัชพืช ในฉี่ในอาจม
หลี่เซิ่งดื่มเหล้าไปแล้ว จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “หากอยากจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบห้าก็ต้องหลุดพ้นจากพันธนาการใหญ่ทุกอย่างที่บังเกิดขึ้นเพราะตัวอักษรให้ได้อย่างสิ้นเชิง”
ซิ่วไฉเฒ่าพ่นเหล้าพรวดออกจากปาก
เฉินผิงอันก็ยิ่งอึ้งงันไร้คำพูด
หนิงเหยาทำท่าขบคิด
เฉาฉิงหล่างกับเผยเฉียนสบตากัน คนหนึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความเป็นกังวล อีกคนหนึ่งมีสีหน้าภาคภูมิใจ ฝ่ายแรกส่ายหน้าเบาๆ ฝ่ายหลังถลึงตาใส่เขาหนึ่งที
หลี่เซิ่งลุกขึ้นเตรียมจะไปจากแจกันสมบัติทวีป และถือโอกาสนี้คุ้มกันเฉินผิงอันและหนิงเหยาไปยังซากปรักกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วย
การสละร่าง ‘สลายมรรคา’ ของบรรพบุรุษใหญ่เปลี่ยวร้างในครั้งนั้นมีภัยแฝงทิ้งไว้เบื้องหลังใหญ่มาก จำเป็นต้องให้เขาค่อยๆ สาวเส้นไหมออกมา
ซิ่วไฉเฒ่ารีบเช็ดปาก รั้งแขนของอีกฝ่ายเอาไว้ “เพิ่งจะดื่มแค่จอกเดียวก็จะไปแล้วหรือ ไม่ไว้หน้ากันเลยหรือไร? มาคุยกันอีกหน่อย แค่คุยกันไม่กี่ประโยคไม่เสียเวลาสักเท่าไรหรอกน่า อีกอย่างลูกศิษย์ของลูกศิษย์ข้าต่างก็อยู่ด้วยนะ จะดีจะชั่วก็ไว้หน้าข้าบ้างสิ”
เฉินผิงอันรีบรินเหล้าหนึ่งจอกให้หลี่เซิ่งทันใด เพราะในใจยังมีข้อสงสัยอีกไม่น้อย จึงอยากจะอาศัยโอกาสนี้ถามหลี่เซิ่งดู
หนิงเหยา เผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างต่างก็เงียบงัน
คนทั่วไปหากต้องการหน้าตาจริงๆ คงไม่มีทางเปิดปากพูดแบบนี้หรอกกระมัง
หลี่เซิ่งจึงได้แต่นั่งกลับลงไปเหมือนเดิม
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจถาม “อาจารย์ ชื่อจริงของหลี่เซิ่ง แซ่อวี๋ นามเค่อที่แปลว่าเคารพข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด? หรือว่าเค่อที่แปลว่าแขกกันล่ะ?”
เกี่ยวกับชื่อของหลี่เซิ่ง ไม่เคยมีบันทึกใดๆ ระบุไว้ในตำรา ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเองก็ไม่เคยได้ยินใครพูดถึงมาก่อน
หลี่เซิ่งกล่าว “เป็นอย่างหลัง”
เฉินผิงอันรู้สึกเขินอายเล็กน้อย อยู่กับหลี่เซิ่ง เสียงในใจไม่ใช่เสียงในใจ ไม่มีความหมายเท่าใดจริงๆ
หลี่เซิ่งยิ้มกล่าว “เคารพข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด? อันที่จริงไม่ถือว่าเป็นอย่างนั้นหรอก ข้าก็แค่รับผิดชอบคอยกำหนดกฎเกณฑ์และมารยาทพิธีการเท่านั้น”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก
คำพูดคล้ายคลึงกันนี้ คาดว่าก็คงเหมือนอย่างที่อาเหลียงพูดว่าข้าน่ะหรือขี้โม้? หนิงเหยาบอกว่ากระบี่จำเป็นต้องฝึกด้วยหรือ? ฮว่อหลงเจินเหรินพูดว่าตนพอจะเข้าใจเรื่องมรรคกถาอยู่บ้างเล็กน้อย? เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสบอกว่าตัวเองอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าพูดอะไรก็ไม่อาจเชื่อถือได้?
รินเหล้าให้อาจารย์หนึ่งจอก เฉินผิงอันก็ถามว่า “สุสานที่ผีขอบเขตบินทะยานตนนั้นสร้างขึ้นมากลางทะเล ใช่ ‘สุสานลอย’ ที่บันทึกไว้ในตำราโบราณหรือไม่?”
สุสานประเภทนี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นของจักรพรรดิบรรพกาลโดยเฉพาะเท่านั้น ด้านในมีกลไกหลายชั้น ทั้งไม่ใช่การจำแลงเป็นขนนกล่องลอย (เปรียบเปรยถึงการกลายเป็นเซียน) แล้วก็ไม่ใช่ลงสู่น้ำพุเหลืองในปรโลก ก็เหมือนการ ‘ไม่ตาย’ อีกประเภทหนึ่ง ทั้งได้ความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย แล้วก็ไม่ได้รับพันธนาการใดๆ จากมหามรรคา เพียงแต่ว่าในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่บันทึกที่เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น ไม่เคยมีของจริงปรากฏขึ้นมาหลายพันปีแล้ว เป็นเหตุให้แม้กระทั่งผู้ฝึกตนบนยอดเขาก็ยังเห็นเป็นเรื่องตลกไร้สาระของนิทานเทพปรัมปราเท่านั้น
หลี่เซิ่งพยักหน้า “เป็นเช่นนี้จริง”
เฉินผิงอันเงยหน้ามองม่านฟ้าแวบหนึ่ง
มหาสมุทรความรู้โจวมี่ผู้นั้นก็คือวิญญาณผีร้ายที่ไม่ไปผุดไปเกิดเช่นนี้เอง
ผีขอบเขตบินทะยานตัวที่ถูกหนิงเหยาตามหาร่องรอยจนเจอต้องเป็นหมากตัวหนึ่งที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างฝังไว้ลึกมากอย่างแน่นอน ยกตัวอย่างเช่นในช่วงเวลาที่ใต้หล้าไพศาลกรีฑาทัพบุกมาโจมตีใต้หล้าเปลี่ยวร้าง พวกเขาจะทำลายเส้นทางกุยซวีบางเส้นกะทันหัน นอกจากที่ผู้ฝึกตน เรือข้ามฟากและกองทัพจะได้รับความเสียหายแล้ว สำหรับใจคนของไพศาล เดิมทีนี่ก็คือการบาดเจ็บสาหัสที่แทบจะเอาชีวิตอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณคนใดก็ล้วนต้องเป็นกังวลใจทั้งนั้น
พอไปถึงสนามรบของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ผู้ฝึกตนบนภูเขาและทหารล่างภูเขาของราชวงศ์ใหญ่แต่ละแห่งจะต้องคอยกังวลเรื่องทางถอยหนี คนที่ยังไปไม่ถึงสนามรบก็ยิ่งกังวลถึงความอันตราย จะมีชีวิตอยู่รอดจนได้เห็นชัยภูมิของใต้หล้าเปลี่ยวร้างหรือไม่ ดูเหมือนว่ากลับกลายเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนแล้ว
เพียงแต่ว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดยังคงเป็นผลลัพธ์ที่ ‘ถ้าหาก’ โจวมี่คิดคำนวณมาได้ตั้งแต่แรกแล้ว สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าความน่ากลัวที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นการกระทำอย่างจงใจของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ ยอมสละชีวิตของผีขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งทิ้งเปล่าอย่างไม่เสียดาย แต่ก็ต้องให้ใต้หล้าไพศาลที่ไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เดินทางได้ปลอดภัยยิ่งกว่า มั่นคงยิ่งกว่า สบายใจมากกว่า รู้สึกว่าไม่มีความน่ากังวลและภัยแฝงอะไรซ่อนอยู่อีกแม้แต่น้อย
แต่ไหนแต่ไรมายามอยู่กับหนิงเหยา เฉินผิงอันมีอะไรก็มักจะพูดบอกกับนางตรงๆ เสมอ ดังนั้นเขาจึงบอกถึงความกังวลนี้ให้หนิงเหยาฟังอย่างไม่มีอ้อมค้อม
คำตอบของหนิงเหยาเรียบง่ายยิ่งนัก ข้าแค่รับผิดชอบออกกระบี่ต่อคนและเรื่องราวที่ขวางหูขวางตา เรื่องหลังจากนั้น ข้าไม่สนใจแล้ว หากเจ้ายินดีจะคิดมากก็คิดไป หากไม่ยินดีจะคิดก็บอกกับศาลบุ๋นสักคำ ให้พวกเขาไปคิดกันเอาเอง
ตอนนั้นเฉินผิงอันยิ้มตอบตกลง บอกว่าหากเป็นเรื่องที่มีความสามารถพอจะทำได้ก็จะลองคิดดู แต่หากมากกว่านั้น เขาจะไม่คิดแล้ว
และก็คงจะมีเพียงหนิงเหยาที่เป็นแบบนี้เท่านั้นถึงได้ทำให้เฉินผิงอันพูดคุยเรื่องความคิด ความในใจกับนางโดยไม่ต้องกริ่งเกรงสิ่งใด
ความคิดทั้งหมดในใต้หล้านี้ ไม่อาจทำเพียงแค่เก็บกลั้นเอาไว้ไม่ปล่อยออกไป ไม่อย่างนั้นคนทุกคนบนโลกมนุษย์ที่มากความคิดมากความกังวล ใคร่ครวญทุกเรื่องอย่างรอบคอบ ก็คงมีแต่ใบหน้าขมขื่นระทมทุกข์เท่านั้นแล้ว
เฉินผิงอันถาม “ศาลบุ๋นมีการจัดการที่คล้ายคลึงกันนี้หรือไม่?”
หลี่เซิ่งยิ้มกล่าว “แน่นอน มอบมาให้ไม่ส่งคืนกลับไป ย่อมไร้มารยาท”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!