อันที่จริงคำว่าข้อเสียนั้น กลับไม่มีอะไรเลย อย่างมากสุดก็แค่ไม่สามารถอาศัยสถานะของตัวเองไปฆ่าคนบริสุทธิ์อย่างพร่ำเพื่อ ขอแค่ไม่บอกสถานะของตัวเองกับคนอื่นอย่างชัดเจน ทางกรมพิธีการและกรมอาญาก็ถึงกับไม่คิดจะสนใจบุญคุณความแค้นส่วนตัวของใครด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่ามีเงื่อนไขก็คือไม่สามารถทำให้ราชวงศ์ต้าหลีเสียผลประโยชน์มากเกินไปได้ นอกจากนี้ก็คือโอกาสที่พวกเขาจะลงมือเข่นฆ่านั้นมีไม่มาก มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าภายในร้อยปีเต็ม ไม่แน่ว่าอาจไม่มีเลยสักครั้ง แต่ขอแค่ถึงคราวที่พวกเขาต้องแสดงฝีมือ คู่ต่อสู้ที่ต้องเผชิญหน้าด้วยย่อมต้องเริ่มจากขอบเขตเซียนเหรินเป็นขั้นต่ำแน่นอน ซ่งซวี่เล่าให้ฟังอย่างละเอียด มีความจริงใจอย่างมาก เขาร่ายชื่อศัตรูที่ตั้งสมมติฐานไว้ออกมาเป็นพรวน เช่นว่าพวกคนอย่างเว่ยจวิ้น จิ้นชิง ซานจวินแห่งขุนเขาใหญ่ของหนึ่งทวีป ฉีเจินแห่งสำนักโองการเทพ เจ้าประมุขสกุลเจียงอวิ๋นหลิน…บางทีในช่วงเวลาอีกหนึ่งร้อยปีให้หลัง ผู้ฝึกตนของสายแผนภูมิดิน ต่างคนต่างฝ่าทะลุขอบเขตกันแล้ว ถึงเวลานั้นศัตรูที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าด้วย คนที่สุดท้ายแล้วหยวนฮว่าจิ้งต้องเป็นผู้รับผิดชอบออกกระบี่สังหาร ก็อาจจะเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานของต่างถิ่นบางคนที่ไม่เคารพกฎหรือไม่ก็ผ่านทางมายังแจกันสมบัติทวีป
โจวไห่จิ้งไม่เอ่ยแทรกตั้งแต่ต้นจนจบ รอกระทั่งซ่งซวี่พูดจบ นางถึงได้ส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ข้าไม่เชื่อว่าใต้หล้าจะมีเรื่องดีเช่นนี้ ดังนั้นข้าขอปฏิเสธ”
ซ่งซวี่รินน้ำให้ตัวเองหนึ่งถ้วย พอดื่มหมดในรวดเดียวแล้วก็พยักหน้า “มีเรื่องดีแบบนี้อยู่จริงๆ”
โจวไห่จิ้งยิ้มถาม “หากข้าไม่ตอบตกลง พวกเจ้าจะบังคับซื้อขายหรือไม่?”
ซ่งซวี่พยักหน้า “บังคับ”
โจวไห่จิ้งกลอกตามองบน ดีนักนะ หากไม่ระวังเพียงนิดอาจพลัดหลงเข้ารังโจร ถ้าอย่างนั้นเหล่าเหนียงก็ยิ่งไม่ควรขึ้นเรือผิดลำกลายเป็นขึ้นเรือโจรไปเสีย
ซ่งซวี่เอ่ย “ในเมื่อพวกเราเลือกเจ้า เจ้าก็ไม่อาจปฏิเสธได้แล้ว”
ปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ ต่อให้กวาดตามองไปทั่วขุนเขาสายน้ำของแจกันสมบัติทวีป ก็ยังหาได้ยากดุจขนหงส์เขากิเลน คนที่มีชื่ออยู่บนอันดับรายชื่อในอดีตก็มีอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น อวี๋หงติดขัดอยู่ที่คุณสมบัติในการเรียนวรยุทธไม่ดีพอ ทั้งยังอายุมากแล้ว ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่มีหวังจะเป็นขอบเขตปลายทาง ส่วนซิ่วเหนียงผู้ฝึกยุทธหญิงจากอุตรกุรุทวีปที่เป็นขอบเขตยอดเขาเหมือนกัน อันที่จริงทางฝั่งของกรมอาญาต้าหลีก็เคยได้สัมผัสกับนางมาก่อนแล้ว จึงให้ข้อเสนอว่าควรตัดทิ้ง
ส่วนเผยเฉียนที่เหมาะสมยิ่งกว่านั้น…ช่างเถิด ทุกวันนี้ใครก็ไม่ยินดีจะไปมาหาสู่กับอิ่นกวานผู้นั้น
โจวไห่จิ้งแกว่งถ้วยน้ำ “หากข้ายืนกรานจะปฏิเสธให้ได้ล่ะ? จะไม่ปล่อยให้ข้าออกไปจากเมืองหลวงหรือไม่?”
ซ่งซวี่พยักหน้า “โชคไม่ดีก็คงจะเป็นเช่นนั้น หากโชคดี สามารถอาศัยความสามารถหนีออกไปจากเมืองหลวงได้ ถ้าอย่างนั้นชั่วชีวิตนี้ก็ห้ามเหยียบย่างเข้ามาในอาณาเขตของต้าหลีอีกแม้แต่ก้าวเดียว หากจับได้จะถูกฆ่าทิ้งทันที”
โจวไห่จิ้งจุ๊ปาก “โอ้โห คำพูดนี้เอ่ยออกมา ในที่สุดข้าก็เชื่อแล้วว่าเจ้าคือองค์ชายรองสกุลซ่งต้าหลีจริงๆ”
ซ่งซวี่ยิ้มกล่าว “ข้าคงพูดเพียงเท่านี้แล้ว”
โจวไห่จิ้งโยนถ้วยน้ำลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ ยื่นนิ้วโป้งออกมาปาดริมฝีปาก เอ่ยเนิบช้าว่า “ใช่แล้ว อะไรที่เรียกว่าทำให้ราชสำนักต้าหลีเสียผลประโยชน์มากเกินไป? ใครจะช่วยอธิบายให้ข้าฟังที”
เก๋อหลิ่งเป็นฝ่ายเอ่ยว่า “ยกตัวอย่างเช่นคนที่แบกรับโชคชะตาบู๊ของต้าหลี หรือไม่ก็ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนในอาณาเขตของต้าหลี เว้นจากผู้ฝึกตนอิสระ”
โจวไห่จิ้งร้องอ้อหนึ่งที เงียบไปครู่หนึ่งก็ถามหยั่งเชิงว่า “ให้สะใจกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ ไร้พันธนาการใดๆ ไร้ขื่อไร้แป อยากฆ่าใครก็ฆ่าได้? กองทัพชายแดนต้าหลีพวกเจ้าสามารถเอาคุณความชอบทางการสู้รบมาแลกเปลี่ยนกับหัวคนได้ไม่ใช่หรือ?”
ซ่งซวี่ส่ายหน้า “ไม่ได้”
เก๋อหลิ่งเอ่ยเสริมมาอีกประโยค “หากพวกเราผูกปมแค้นกับคนสองประเภทนี้จริงก็สามารถบอกไว้ก่อนล่วงหน้าได้ ขอแค่รองเจ้ากรมสองท่านของกรมพิธีการและกรมอาญาตรวจสอบแล้วให้ผ่าน ก็สามารถลงมือได้ อีกทั้งรับรองว่าจะไม่มีเรื่องน่ากังวลตามมาภายหลัง”
โจวไห่จิ้งยิ้มกล่าว “ข้าเป็นแค่สตรีบ้านนอกจากครอบครัวชาวประมงคนหนึ่ง แค่กล้าท่องอยู่ในยุทธภพล่างภูเขาเท่านั้น ไม่มีปัญญาไปหาเรื่องเทพเซียนบนภูเขาที่บินไปบินมาหรอก”
ไม่มีคนเอ่ยต่อประโยคนาง นางจึงได้แต่กล่าวต่อว่า “ฟังจากน้ำเสียงของพวกเจ้า ต่อให้เป็นขุนนางของกรมพิธีการและกรมอาญาก็ไม่อาจเรียกใช้งานพวกเจ้าได้ ถ้าอย่างนั้นยังจะต้องสนใจกฎเล็กน้อยพวกนั้นไปไย? นี่ถือว่าเป็นฝูงมังกรขาดผู้นำหรือไม่? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมพวกเจ้าไม่เลือกพี่ใหญ่ที่เป็นผู้นำของตัวเอง ข้าว่าองค์ชายรองก็ไม่เลวนะ รูปโฉมหล่อเหลา เป็นมิตรเข้ากับคนอื่นได้ง่าย มีความอดทนสูงมาก ดีกว่าเซียนกระบี่หยวนที่ชอบทำหน้าบึ้งตึงเยอะเลย”
เก๋อหลิ่งกล่าว “ราชครูตั้งกฎที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็มิอาจสะเทือนไว้สองสามข้อ จำเป็นต้องเคารพกฎ”
โจวไห่จิ้งเบ้ปาก “แต่ใต้เท้าราชครูที่สร้างสายแผนภูมิดินขึ้นมาด้วยตัวเองไม่อยู่แล้วนะ”
ซ่งซวี่ส่ายหน้า “กฎเกณฑ์ที่แท้จริง อยู่ในที่ที่ไร้ผู้คน”
โจวไห่จิ้งขมวดคิ้ว คล้ายกับนางไม่คิดว่าคำพูดทำนองนี้จะหลุดออกมาจากปากขององค์ชายต้าหลีคนหนึ่ง
เก๋อหลิ่งยิ้มกล่าว “แม่นางโจว คำพูดประเภทนี้พูดที่นี่ได้ไม่เป็นไร แต่ห้ามให้อาจารย์เฉินคนที่เจอก่อนหน้านี้ได้ยินเด็ดขาดเชียวนะ”
เณรน้อยยกมือป้องข้างปาก เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่แน่ว่าอาจจะได้ยินแล้วก็ได้นะ”
เก๋อหลิ่งพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เหลือบตามองไปนอกประตู ไม่รู้สึกว่าตราผนึกขุนเขาสายน้ำน้อยนิดของอารามเต๋าบ้านตนจะขัดขวางไม่ให้กระบี่บินของเฉินผิงอันแทรกเข้ามาได้ ใต้เท้าอิ่นกวานเซียนกระบี่เฉินท่านนี้ทำอะไรล้วน…โชกโชนมาก
สรุปก็คือพวกเขาเคยสัมผัสกับตัวเองมาก่อน ทั้งยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียว และค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายแต่ละครั้งก็อนาถกว่าเดิมทุกที
ซ่งซวี่นวดคลึงหว่างคิ้ว มองปรมาจารย์ใหญ่หญิงวิถีวรยุทธที่ยังเหมือนว่าจะไม่เชื่อสักเท่าไร อันที่จริงซ่งซวี่ไม่กังวลหากนางปฏิเสธเรื่องนี้ แต่กลับกังวลว่าเมื่อนางเข้าร่วมสายแผนภูมิดินสำเร็จแล้วจะไปชักนำคนที่เหลืออีกสิบเอ็ดคนหรือไม่
โจวไห่จิ้งลุกขึ้นยืน “รถม้าคันนั้น ข้าเช่าเขามา พวกเจ้าช่วยเอากลับไปคืนแทนข้าได้หรือไม่?”
ซ่งซวี่พยักหน้ายิ้มรับ “ย่อมไม่มีปัญหา”
โจวไห่จิ้งหงุดหงิดโดยพลัน “พวกเจ้าไม่เพียงแต่รู้ว่าข้าเช่ามาจากร้านไหน แม้แต่ข้าจ่ายเงินไปเท่าไรก็ยังสืบมาอย่างชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?”
ซ่งซวี่กล่าว “ขอแค่ปรมาจารย์โจวตอบตกลงเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสายแผนภูมิดินพวกเรา เรื่องส่วนตัวพวกนี้ ทางฝั่งกรมอาญาก็จะไม่สืบเสาะอีก ข้อดีข้อนี้จะปรากฏผลในทันที”
โจวไห่จิ้งยิ้มกล่าว “ขอข้าคิดดูก่อน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ต้องคิดให้รอบคอบค่อยให้คำตอบพวกเจ้า ใช่แล้ว ขอให้ข้ายืมป้ายสงบสุขมาใช้สักแผ่นหนึ่งก่อนได้หรือไม่? ปากพวกเจ้าพูดจาสวยหรูน่าฟัง แต่หากเป็นพวกนักต้มตุ๋นขึ้นมาจะทำอย่างไร มีเพียงของอย่างป้ายสงบสุขเท่านั้นที่ไม่อาจเป็นของปลอมได้ ใครก็ไม่กล้าทำเลียนแบบขึ้นมา”
ซ่งซวี่หยิบป้ายสงบสุขอันดับหนึ่งแผ่นหนึ่งที่เตรียมมาไว้นานแล้วออกมาจากชายแขนเสื้อ โยนให้โจวไห่จิ้งเบาๆ
โจวไห่จิ้งเดินไปตรงหน้าประตู “ไม่ต้องไปส่งหรอก ข้าไม่หนีไปไหนอยู่แล้ว”
ผลคือไม่มีคนเดินมาส่งนางถึงหน้าประตูจริงๆ ทำเอานางโมโหแทบตาย
หลังจากโจวไห่จิ้งออกมาจากอารามเต๋าแล้ว นางก็สวมหน้ากาก กลายมาเป็นสตรีรูปโฉมธรรมดาคนหนึ่งทันที จากนั้นนางก็เดินเล่นไปตลอดทาง เดินเท้ากลับไปยังที่พักในเมืองหลวง
คำว่าเดินตามโชควาสนาแล้วเลือกได้สถานที่นี้อย่างที่บอกกับซูหลาง ไม่ถือว่าโกหก ตอนที่เพิ่งมาถึงเมืองหลวงแล้วได้ไปเดินเล่นในงานวัด แม้จะสวมหน้ากากเหมือนกัน แต่รูปร่างของนางกลับบดบังไว้ไม่อยู่ หน้าอกตูมเต่งเอวบางอรชรนั้น มีบุรุษคนใดบ้างที่เห็นแล้วไม่น้ำลายสอ?
เพียงไม่นานนางก็ถูกโจรน้อยที่อยู่ในวัยเด็กหนุ่มหมายตา ช่างขวัญกล้าเทียมฟ้า มือไม้ไม่อยู่สุขหมายฉวยโอกาสแตะอั๋ง อีกคนหนึ่งก็ยิ่งเกินกว่าเหตุ ถึงกับคิดอยากขโมยเงินนาง
คนที่อยากจะแต๊ะอั๋งนางผู้นั้น มองดูแล้วหน้าตาหมดจดหล่อเหลา จึงถูกนางหยิกแก้มแล้วบิดอย่างแรง เจ็บจนเด็กหนุ่มน้ำตาไหลอาบใบหน้า ราวกับว่าหนังหน้าครึ่งหนึ่งถูกสตรีผู้นั้นฉีกออกมา
ส่วนเจ้าตะพาบน้อยที่ถึงกับกล้าจะขโมยเงินนางก็ไม่เพียงแต่มือสองข้างหลุดออกจากข้อต่อ ยังถูกนางถีบจนลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น เจ็บปวดจนดิ้นพราดๆ รู้สึกเพียงว่าตับไตแทบพังอยู่แล้ว แล้วยังนางถูกนางกระทืบเข้าที่ซีกหน้าด้านหนึ่ง ใช้รองเท้าปักลายบุปผาขยี้ซ้ำไปซ้ำมา
จากนั้นนางก็ให้เด็กหนุ่มสองคนนั้นนำทาง บอกว่าให้ช่วยหาที่พักให้นางหน่อย แค่เงื่อนไขเดียว ไม่ต้องให้นางจ่ายเงิน
ก็เลยมาเจอที่พักในทุกวันนี้ นอกจากไม่ต้องจ่ายเงินจริงๆ แล้ว นอกเหนือจากนั้นยังมีข้อดีอะไรบ้าง เซียนกระบี่ไผ่เขียวผู้นั้นรู้ดียิ่งกว่าใคร
ในเมืองหลวงต้าหลีมีทั้งตระกูลชนชั้นสูงตั้งเรียงรายอยู่ในตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์ แล้วก็มีบุญคุณความแค้นในยุทธภพของกบใต้บ่อ ยิ่งมีสถานที่ที่ขี้ไก่ขี้หมาเกลื่อนเต็มพื้น ผู้คนยากจนข้นแค้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!