หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยอย่างใคร่รู้ “แล้วใครจะใส่ซองให้ข้าใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง? เฉินผิงอันหรือ?”
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ “อาจารย์ข้าไม่มีเงินอะไรหรอก ต้องเป็นโจวอันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่วเราต่างหาก!”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้าเอ่ยว่า “จำไว้ว่าต้องเตือนโจวอันดับหนึ่งสักคำ หากว่ามีธุระยุ่ง ต่อให้คนไม่มา ซองแดงก็ต้องมาถึงนะ เงินใส่ซองจะมากหรือน้อยก็ให้เขาพิจารณาเอาเอง ส่วนจะใช้ถ้อยคำอย่างไร น้องชุยเจ้าก็ช่วยข้าเกลาสำนวนสักหน่อย ถึงอย่างไรข้าก็หมายความเช่นนี้แหละ”
ชุยตงซานตบอกดังสนั่นฟ้า
เจ้าอารามผู้เฒ่าพลันหรี่ตาเอ่ยว่า “ชุยตงซาน เจ้าเอ่ยกับหลิวเสี้ยนหยางสักอีกสักประโยคว่า หากเอาหินผามาหลอมให้ดีก็จะกลายเป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งได้”
ชุยตงซานถ่ายทอดประโยคนี้ไปอย่างไม่มีความลังเลใด
หลิวเสี้ยนหยางเต้นผาง “อาวุธเซียน?! น้องชุยเจ้ารีบเพิ่มราคาไปเลย ให้คนซื้ออัดเงินมากกว่านี้! เอาล่ะๆ ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง อย่ามารบกวนข้าอีก ไม่อย่างนั้นพวกเราจะไม่ได้เป็นพี่น้องกันแล้วนะ”
ชุยตงซานไม่พูดอะไรอีกจริงๆ ถอนสายตากลับมาจากลำคลองหลงซวี
คนอย่างหลิวเสี้ยนหยางนี้ อันที่จริงไม่ว่าใครก็อิจฉาเขาอยู่หลายส่วน
เจ้าอารามผู้เฒ่าฉวยโอกาสตอนที่ชุยตงซานพูดคุยกับหลิวเสี้ยนหยางทำการคำนวณ อนุมานไปถึงต้นกำเนิดอีกเล็กน้อย
สายของบรรพบุรุษหลิวเสี้ยนหยางเชี่ยวชาญศาสตร์การควบคุมมังกร เลี้ยงมังกรและพิฆาตมังกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเคยได้รับแซ่สองพยางค์อย่างอวี้หลง และแรกเริ่มสุดตัวอักษร ‘หลิว’(刘) นี้ เดิมทีก็มีรูปร่างคล้ายกับขวานที่ใช้เป็นอาวุธในการทำสงคราม เป็นตัวอักษรหนึ่งที่มีบารมีอำนาจน่าเกรงขามอย่างยิ่ง หลังจากศึกพิฆาตมังกรผ่านพ้นไป คาดว่าบรรพบุรุษของสกุลหลิวคงได้กลับมาใช้แซ่หลิวอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นคนรุ่นหลังรุ่นแล้วรุ่นเล่าในถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนี้ต่างก็ใช้แซ่อวี้หลง คงสะดุดตามากเกินไปจริงๆ แล้วก็จะถูกมหามรรคาที่มองไม่เห็นของถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่งสยบกำราบ ทำร้ายชะตาชีวิตของลูกหลานรุ่นหลัง แน่นอนว่าตระกูลหนึ่งย่อมยากที่จะแตกกิ่งก้านสาขา ขยับขยายวงศ์ตระกูลให้รุ่งเรืองออกไปได้
เจ้าอารามผู้เฒ่าถาม “คนหนุ่มผู้นี้เคยรู้เรื่องในบ้านของตัวเองหรือไม่?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “รู้หรือไม่รู้ก็ยังเป็นหลิวเสี้ยนหยางคนเดิมอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
ดังนั้นการที่เถียนหว่านช่วยผูกด้ายแดงให้กับหลิวเสี้ยนหยางและจื้อกุยแห่งตรอกหนีผิงย่อมไม่ใช่การกระทำที่ทำไปอย่างเรื่อยเปื่อยของนาง
สวรรค์ประทานข้าวให้กินก็สามารถมีชีวิตได้อย่างสงบสุข ใช้ชีวิตอย่างมั่นคงผ่านไปได้ตลอดทั้งชาติ บรรพบุรุษมอบข้าวให้กินก็คือการมีทักษะอย่างหนึ่งติดตัว ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ล้วนมีข้าวกิน
แต่คนผู้หนึ่งหากไม่รู้จักใคร่ครวญ ไม่รู้จักการย้อนคิด อันที่จริงต่อให้เทพเทวดาและบรรพบุรุษมอบข้าวให้กินพร้อมกันก็ยังไม่มีประโยชน์อยู่ดี ก็เหมือนกับคนคนหนึ่งมีเพียงชามข้าวแต่ไม่มีข้าว ตัวอยู่ท่ามกลางความสุขแต่กลับไม่เคยรับรู้ถึงความสุขนั้น เพราะไม่เข้าใจการถอยไปหนึ่งก้าวเพื่อครุ่นคิด ตามคำกล่าวของบนภูเขาแล้ว นี่เรียกว่าฝีมือและหนทางเข้ากันไม่ได้
แน่นอนว่าหลิวเสี้ยนหยางต้องมีคุณสมบัติที่ดีมาก แต่แท้จริงแล้วใต้หล้านี้มีตัวอ่อนเทพเซียนที่มีคุณสมบัติในการฝึกตนกี่มากน้อยที่ถูกทำลายไปในวิถีทางโลกอย่างเงียบเชียบ ถึงขั้นที่ว่าใช้ชีวิตสู้มนุษย์ธรรมดาหลายคนไม่ได้ด้วยซ้ำ หากจิตใจของหลิวเสี้ยนหยางเกิดมีทางแยกแยกออกไป ยกตัวอย่างเช่นเป็นคนเกียจคร้าน เป็นคนตระหนี่ ไม่แน่ว่าในอำเภอไหวหวงของทุกวันนี้อาจจะมีชายโสดที่วันๆ เอาแต่เล่นสนุกเอ้อระเหยลอยชาย ทั้งปีดีแต่โทษคนบ่นฟ้าเพิ่มมาอีกคนก็เป็นได้
ชุยตงซานยิ้มถาม “ผู้อาวุโส ให้ราคาที่เหมาะสมกับอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งดีไหม?”
เจ้าอารามผู้เฒ่ายื่นมือออกไปปาดหนึ่งที บนโต๊ะก็มีกระดาษลายเมฆที่มีปราณสีม่วงลอยกรุ่นแผ่นหนึ่งโผล่มาจากความว่างเปล่า สองนิ้วของเขาประกบทำท่าวาดภาพ
ตำราลัทธิเต๋าที่สำคัญที่สุดในใต้หล้านี้ไม่มีอะไรเหนือเกินไปกว่าการเขียนอักษรสามภูเขาและการวาดภาพห้าขุนเขาที่แท้จริง ทวยเทพขุนนางเซียนในยุคบรรพกาล หากไม่มีทำเนียบเขียวชื่อเซียนจะไม่อาจได้รับการถ่ายทอดให้เรียนรู้ได้
ผู้ฝึกตนในยุคแรกเริ่มสุดค้นหาภูเขาที่มีชื่อเสียงและสายน้ำใหญ่ เปิดภูเขาก่อตั้งสำนัก สร้างสิ่งปลูกสร้างติดริมน้ำ ส่วนใหญ่มักจะมีภาพนี้อยู่ด้วย ภูตผีตามป่าเขา ตัวประหลาดผีพราย เสนียดชั่วร้ายทั้งร้ายมิกล้ากล้ำกรายเข้าใกล้ สุดท้ายมรรคกถาแผ่กระจายไปทั่วโลกมนุษย์ นอกจากมีการเผยแพร่ภาพค้นภูเขาเป็นวงกว้างแล้วก็ยังมีภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงนี้ เพียงแต่ว่าผู้ฝึกลมปราณในโลกยุคหลังที่วาดภาพของลัทธิเต๋าภาพนี้กลับไม่เคยรู้ถึงท่วงทำนองที่แท้จริงของมรรคกถา ถือว่าหาประตูไม่เจอและไม่อาจเดินเข้าไปได้ แม้แต่รูปลักษณ์ภายนอกก็ยังไม่เหมือน จิตวิญญาณก็ยิ่งกระจัดกระจาย
ชุยตงซานรู้ว่าเจ้าอารามผู้เฒ่าต้องรู้ว่าตัวเองรู้ว่าเขาจะมอบอะไรให้
ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความด้วยซ้ำ
ชุยตงซานฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ จุ๊ปากชื่นชม คล้ายแสดงความเคารพและการขอบคุณ
เจ้าอารามผู้เฒ่าใช้มรรคกถา เผาผลาญปราณเต๋า สิ่งที่กรอกเทเข้าไปคือปณิธานเต๋าที่สูงส่งมหัศจรรย์ พูดง่ายๆ ก็คือบนเส้นสายของมรรคกถาที่เจ้าอารามผู้เฒ่าใช้วาดภาพนี้ จะเป็นเหมือนการคัดลอกศิลาอย่างหนึ่ง ยิ่งฉบับสำเนามีมากเท่าไร ความหมายก็ยิ่งตื้นเขินมากเท่านั้น
จูเหลี่ยนมองการวาดภาพของนักพรตเฒ่าอย่างละเอียด ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไร้เรี่ยวแรงจะซื้อภูเขาเรียนวิชาวาดภาพ ภาพบรรยากาศพันหมื่นล้วนอยู่ในภาพ”
วันหน้าหากตนคิดจะทำเลียนแบบ รูปลักษณ์เหมือนสักเก้าส่วนยังไม่ใช่เรื่องยาก แต่จะเหมือนทางจิตวิญญาณได้สักกี่ส่วนก็ต้องรอให้จรดพู่กันก่อนถึงจะรู้คำตอบ
ชุยตงซานคีบปลายด้านหนึ่งของม้วนภาพขึ้นมาเขย่าเบาๆ ชั่งน้ำหนักของมัน
เดาว่าเจ้าอารามผู้เฒ่าคนนี้น่าจะร่ายวิชาอภินิหารนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว หากเป็นครั้งแรกจะต้องมีระดับขั้นของอาวุธเซียนที่ได้ทั้งป้องกันและโจมตี ดังนั้นภาพที่แท้จริงในมือภาพนี้จึงด้อยกว่าระดับหนึ่ง
ภาพบรรพบุรุษของตำราเต๋าภาพนี้ สามารถเรียกได้ว่าเป็นภาพผลงานแท้จริงลำดับรองได้แล้ว
น่าเสียดายที่มีระดับขั้นเป็นแค่อาวุธกึ่งเซียน หากสามารถนำมาทำเป็นสมบัติหนักที่ใช้ในการโจมตีได้จริง แต่ถ้าใช้เสร็จก็หมดค่า จะเป็นการล้างผลาญทรัพยากรสวรรค์เกินไปแล้ว แต่หากนำมาอัดกรอบเป็นภาพวาด แขวนไว้ในห้อง ถ้าอย่างนั้นกลับร้ายกาจยิ่ง พูดได้คำเดียวว่า ภายในหนึ่งพันปี ไม่มีหายนะก่อเกิด เมฆมงคลมารวมตัวกัน ไม่มีความยุ่งยากลำบากของ ‘ตระกูลอันเลิศล้ำย่อมมีผีร้ายจับจ้อง’ อีกต่อไป
ชุยตงซานถอนหายใจ “ผู้อาวุโส เอาไปอัดกรอบแขวนไว้บนผนัง ถึงอย่างไรก็ไม่สู้ใส่แกนภาพเพื่อสะดวกยามพกติดกาย”
เจ้าอารามผู้เฒ่าไม่สนใจ
ชุยตงซานจึงได้แต่พูดว่า “ผู้อาวุโสท่านพูดเองว่าแค่เอาไปหลอมเล็กน้อยก็เป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งได้แล้ว ทว่าภาพของลัทธิเต๋านี้ ผู้เยาว์จะต้องหล่อหลอมอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะสามารถยกระดับขั้นให้มันเป็นอาวุธเซียนได้? อีกอย่าง วิธีการนี้ของผู้อาวุโสก็แทบจะใกล้เคียงกับขอบเขตที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว ผู้เยาว์ทั้งไม่มีความสามารถ ยิ่งใจไม่แข็งมากพอ และยิ่งมิกล้าวาดงูเติมขา”
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นผินเต้าก็จะเก็บประโยค ‘หลอมเป็นอาวุธเซียน’ กลับมาก็แล้วกัน พวกเจ้าอยากจะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน หรือจะให้ผินเต้าลำบากเล็กน้อย เก็บประโยคนั้นกลับมา ทำให้พวกเจ้าไม่ได้ยินกันจริงๆ ดีล่ะ?”
หมี่ลี่น้อยที่อยู่ตรงหน้าประตูภูเขา อันที่จริงคอยจ้องโต๊ะเขม็งอยู่ตลอดเวลา หลักๆ แล้วนางกังวลว่าเมล็ดแตงจะถูกคนกินหมดหรือยัง หรือว่าน้ำชาจะไม่พอหรือไม่
นางพลันสังเกตเห็นว่าห่านขาวใหญ่เอามือข้างหนึ่งอ้อมมาด้านหลังแล้วกระดิกนิ้วให้ตน
หมี่ลี่น้อยขมวดคิ้วเล็กสองข้างแน่น ห่านขาวใหญ่คิดจะทำอะไร? กบาลเล็กๆ ที่เฉลียวฉลาดของตนแล่นไม่ค่อยดีเท่าไรนะ
นางตั้งใจครุ่นคิด แต่คิดแล้วก็ยังไม่เข้าใจเสียที ถ้าอย่างนั้นก็คงได้แต่มีใจแต่ไร้กำลัง ช่วยอะไรไม่ได้แล้วล่ะนะ
หมี่ลี่น้อยไม่สนใจแล้ว สนแต่จะเอ่ยประโยคหนึ่งออกมาล่วงหน้าก่อน นางจึงเขย่งปลายเท้า ตะโกนพูดกับนักพรตเฒ่าที่มีสีหน้าเมตตาปราณีคนนั้นเสียงดัง “นักพรตผู้เฒ่า ชอบน้ำชามากหรือ? ต้องการให้ข้ามอบใบชาให้ท่านสักเล็กน้อยหรือไม่?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!