ตอน บทที่ 853.2 คร่าวๆ จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 853.2 คร่าวๆ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยอย่างใคร่รู้ “แล้วใครจะใส่ซองให้ข้าใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง? เฉินผิงอันหรือ?”
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ “อาจารย์ข้าไม่มีเงินอะไรหรอก ต้องเป็นโจวอันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่วเราต่างหาก!”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้าเอ่ยว่า “จำไว้ว่าต้องเตือนโจวอันดับหนึ่งสักคำ หากว่ามีธุระยุ่ง ต่อให้คนไม่มา ซองแดงก็ต้องมาถึงนะ เงินใส่ซองจะมากหรือน้อยก็ให้เขาพิจารณาเอาเอง ส่วนจะใช้ถ้อยคำอย่างไร น้องชุยเจ้าก็ช่วยข้าเกลาสำนวนสักหน่อย ถึงอย่างไรข้าก็หมายความเช่นนี้แหละ”
ชุยตงซานตบอกดังสนั่นฟ้า
เจ้าอารามผู้เฒ่าพลันหรี่ตาเอ่ยว่า “ชุยตงซาน เจ้าเอ่ยกับหลิวเสี้ยนหยางสักอีกสักประโยคว่า หากเอาหินผามาหลอมให้ดีก็จะกลายเป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งได้”
ชุยตงซานถ่ายทอดประโยคนี้ไปอย่างไม่มีความลังเลใด
หลิวเสี้ยนหยางเต้นผาง “อาวุธเซียน?! น้องชุยเจ้ารีบเพิ่มราคาไปเลย ให้คนซื้ออัดเงินมากกว่านี้! เอาล่ะๆ ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง อย่ามารบกวนข้าอีก ไม่อย่างนั้นพวกเราจะไม่ได้เป็นพี่น้องกันแล้วนะ”
ชุยตงซานไม่พูดอะไรอีกจริงๆ ถอนสายตากลับมาจากลำคลองหลงซวี
คนอย่างหลิวเสี้ยนหยางนี้ อันที่จริงไม่ว่าใครก็อิจฉาเขาอยู่หลายส่วน
เจ้าอารามผู้เฒ่าฉวยโอกาสตอนที่ชุยตงซานพูดคุยกับหลิวเสี้ยนหยางทำการคำนวณ อนุมานไปถึงต้นกำเนิดอีกเล็กน้อย
สายของบรรพบุรุษหลิวเสี้ยนหยางเชี่ยวชาญศาสตร์การควบคุมมังกร เลี้ยงมังกรและพิฆาตมังกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเคยได้รับแซ่สองพยางค์อย่างอวี้หลง และแรกเริ่มสุดตัวอักษร ‘หลิว’(刘) นี้ เดิมทีก็มีรูปร่างคล้ายกับขวานที่ใช้เป็นอาวุธในการทำสงคราม เป็นตัวอักษรหนึ่งที่มีบารมีอำนาจน่าเกรงขามอย่างยิ่ง หลังจากศึกพิฆาตมังกรผ่านพ้นไป คาดว่าบรรพบุรุษของสกุลหลิวคงได้กลับมาใช้แซ่หลิวอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นคนรุ่นหลังรุ่นแล้วรุ่นเล่าในถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนี้ต่างก็ใช้แซ่อวี้หลง คงสะดุดตามากเกินไปจริงๆ แล้วก็จะถูกมหามรรคาที่มองไม่เห็นของถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่งสยบกำราบ ทำร้ายชะตาชีวิตของลูกหลานรุ่นหลัง แน่นอนว่าตระกูลหนึ่งย่อมยากที่จะแตกกิ่งก้านสาขา ขยับขยายวงศ์ตระกูลให้รุ่งเรืองออกไปได้
เจ้าอารามผู้เฒ่าถาม “คนหนุ่มผู้นี้เคยรู้เรื่องในบ้านของตัวเองหรือไม่?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “รู้หรือไม่รู้ก็ยังเป็นหลิวเสี้ยนหยางคนเดิมอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
ดังนั้นการที่เถียนหว่านช่วยผูกด้ายแดงให้กับหลิวเสี้ยนหยางและจื้อกุยแห่งตรอกหนีผิงย่อมไม่ใช่การกระทำที่ทำไปอย่างเรื่อยเปื่อยของนาง
สวรรค์ประทานข้าวให้กินก็สามารถมีชีวิตได้อย่างสงบสุข ใช้ชีวิตอย่างมั่นคงผ่านไปได้ตลอดทั้งชาติ บรรพบุรุษมอบข้าวให้กินก็คือการมีทักษะอย่างหนึ่งติดตัว ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ล้วนมีข้าวกิน
แต่คนผู้หนึ่งหากไม่รู้จักใคร่ครวญ ไม่รู้จักการย้อนคิด อันที่จริงต่อให้เทพเทวดาและบรรพบุรุษมอบข้าวให้กินพร้อมกันก็ยังไม่มีประโยชน์อยู่ดี ก็เหมือนกับคนคนหนึ่งมีเพียงชามข้าวแต่ไม่มีข้าว ตัวอยู่ท่ามกลางความสุขแต่กลับไม่เคยรับรู้ถึงความสุขนั้น เพราะไม่เข้าใจการถอยไปหนึ่งก้าวเพื่อครุ่นคิด ตามคำกล่าวของบนภูเขาแล้ว นี่เรียกว่าฝีมือและหนทางเข้ากันไม่ได้
แน่นอนว่าหลิวเสี้ยนหยางต้องมีคุณสมบัติที่ดีมาก แต่แท้จริงแล้วใต้หล้านี้มีตัวอ่อนเทพเซียนที่มีคุณสมบัติในการฝึกตนกี่มากน้อยที่ถูกทำลายไปในวิถีทางโลกอย่างเงียบเชียบ ถึงขั้นที่ว่าใช้ชีวิตสู้มนุษย์ธรรมดาหลายคนไม่ได้ด้วยซ้ำ หากจิตใจของหลิวเสี้ยนหยางเกิดมีทางแยกแยกออกไป ยกตัวอย่างเช่นเป็นคนเกียจคร้าน เป็นคนตระหนี่ ไม่แน่ว่าในอำเภอไหวหวงของทุกวันนี้อาจจะมีชายโสดที่วันๆ เอาแต่เล่นสนุกเอ้อระเหยลอยชาย ทั้งปีดีแต่โทษคนบ่นฟ้าเพิ่มมาอีกคนก็เป็นได้
ชุยตงซานยิ้มถาม “ผู้อาวุโส ให้ราคาที่เหมาะสมกับอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งดีไหม?”
เจ้าอารามผู้เฒ่ายื่นมือออกไปปาดหนึ่งที บนโต๊ะก็มีกระดาษลายเมฆที่มีปราณสีม่วงลอยกรุ่นแผ่นหนึ่งโผล่มาจากความว่างเปล่า สองนิ้วของเขาประกบทำท่าวาดภาพ
ตำราลัทธิเต๋าที่สำคัญที่สุดในใต้หล้านี้ไม่มีอะไรเหนือเกินไปกว่าการเขียนอักษรสามภูเขาและการวาดภาพห้าขุนเขาที่แท้จริง ทวยเทพขุนนางเซียนในยุคบรรพกาล หากไม่มีทำเนียบเขียวชื่อเซียนจะไม่อาจได้รับการถ่ายทอดให้เรียนรู้ได้
ผู้ฝึกตนในยุคแรกเริ่มสุดค้นหาภูเขาที่มีชื่อเสียงและสายน้ำใหญ่ เปิดภูเขาก่อตั้งสำนัก สร้างสิ่งปลูกสร้างติดริมน้ำ ส่วนใหญ่มักจะมีภาพนี้อยู่ด้วย ภูตผีตามป่าเขา ตัวประหลาดผีพราย เสนียดชั่วร้ายทั้งร้ายมิกล้ากล้ำกรายเข้าใกล้ สุดท้ายมรรคกถาแผ่กระจายไปทั่วโลกมนุษย์ นอกจากมีการเผยแพร่ภาพค้นภูเขาเป็นวงกว้างแล้วก็ยังมีภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงนี้ เพียงแต่ว่าผู้ฝึกลมปราณในโลกยุคหลังที่วาดภาพของลัทธิเต๋าภาพนี้กลับไม่เคยรู้ถึงท่วงทำนองที่แท้จริงของมรรคกถา ถือว่าหาประตูไม่เจอและไม่อาจเดินเข้าไปได้ แม้แต่รูปลักษณ์ภายนอกก็ยังไม่เหมือน จิตวิญญาณก็ยิ่งกระจัดกระจาย
ชุยตงซานรู้ว่าเจ้าอารามผู้เฒ่าต้องรู้ว่าตัวเองรู้ว่าเขาจะมอบอะไรให้
ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความด้วยซ้ำ
ชุยตงซานฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ จุ๊ปากชื่นชม คล้ายแสดงความเคารพและการขอบคุณ
เจ้าอารามผู้เฒ่าใช้มรรคกถา เผาผลาญปราณเต๋า สิ่งที่กรอกเทเข้าไปคือปณิธานเต๋าที่สูงส่งมหัศจรรย์ พูดง่ายๆ ก็คือบนเส้นสายของมรรคกถาที่เจ้าอารามผู้เฒ่าใช้วาดภาพนี้ จะเป็นเหมือนการคัดลอกศิลาอย่างหนึ่ง ยิ่งฉบับสำเนามีมากเท่าไร ความหมายก็ยิ่งตื้นเขินมากเท่านั้น
จูเหลี่ยนมองการวาดภาพของนักพรตเฒ่าอย่างละเอียด ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไร้เรี่ยวแรงจะซื้อภูเขาเรียนวิชาวาดภาพ ภาพบรรยากาศพันหมื่นล้วนอยู่ในภาพ”
วันหน้าหากตนคิดจะทำเลียนแบบ รูปลักษณ์เหมือนสักเก้าส่วนยังไม่ใช่เรื่องยาก แต่จะเหมือนทางจิตวิญญาณได้สักกี่ส่วนก็ต้องรอให้จรดพู่กันก่อนถึงจะรู้คำตอบ
ชุยตงซานคีบปลายด้านหนึ่งของม้วนภาพขึ้นมาเขย่าเบาๆ ชั่งน้ำหนักของมัน
เดาว่าเจ้าอารามผู้เฒ่าคนนี้น่าจะร่ายวิชาอภินิหารนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว หากเป็นครั้งแรกจะต้องมีระดับขั้นของอาวุธเซียนที่ได้ทั้งป้องกันและโจมตี ดังนั้นภาพที่แท้จริงในมือภาพนี้จึงด้อยกว่าระดับหนึ่ง
ภาพบรรพบุรุษของตำราเต๋าภาพนี้ สามารถเรียกได้ว่าเป็นภาพผลงานแท้จริงลำดับรองได้แล้ว
น่าเสียดายที่มีระดับขั้นเป็นแค่อาวุธกึ่งเซียน หากสามารถนำมาทำเป็นสมบัติหนักที่ใช้ในการโจมตีได้จริง แต่ถ้าใช้เสร็จก็หมดค่า จะเป็นการล้างผลาญทรัพยากรสวรรค์เกินไปแล้ว แต่หากนำมาอัดกรอบเป็นภาพวาด แขวนไว้ในห้อง ถ้าอย่างนั้นกลับร้ายกาจยิ่ง พูดได้คำเดียวว่า ภายในหนึ่งพันปี ไม่มีหายนะก่อเกิด เมฆมงคลมารวมตัวกัน ไม่มีความยุ่งยากลำบากของ ‘ตระกูลอันเลิศล้ำย่อมมีผีร้ายจับจ้อง’ อีกต่อไป
ชุยตงซานถอนหายใจ “ผู้อาวุโส เอาไปอัดกรอบแขวนไว้บนผนัง ถึงอย่างไรก็ไม่สู้ใส่แกนภาพเพื่อสะดวกยามพกติดกาย”
เจ้าอารามผู้เฒ่าไม่สนใจ
ชุยตงซานจึงได้แต่พูดว่า “ผู้อาวุโสท่านพูดเองว่าแค่เอาไปหลอมเล็กน้อยก็เป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งได้แล้ว ทว่าภาพของลัทธิเต๋านี้ ผู้เยาว์จะต้องหล่อหลอมอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะสามารถยกระดับขั้นให้มันเป็นอาวุธเซียนได้? อีกอย่าง วิธีการนี้ของผู้อาวุโสก็แทบจะใกล้เคียงกับขอบเขตที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว ผู้เยาว์ทั้งไม่มีความสามารถ ยิ่งใจไม่แข็งมากพอ และยิ่งมิกล้าวาดงูเติมขา”
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นผินเต้าก็จะเก็บประโยค ‘หลอมเป็นอาวุธเซียน’ กลับมาก็แล้วกัน พวกเจ้าอยากจะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน หรือจะให้ผินเต้าลำบากเล็กน้อย เก็บประโยคนั้นกลับมา ทำให้พวกเจ้าไม่ได้ยินกันจริงๆ ดีล่ะ?”
หมี่ลี่น้อยที่อยู่ตรงหน้าประตูภูเขา อันที่จริงคอยจ้องโต๊ะเขม็งอยู่ตลอดเวลา หลักๆ แล้วนางกังวลว่าเมล็ดแตงจะถูกคนกินหมดหรือยัง หรือว่าน้ำชาจะไม่พอหรือไม่
นางพลันสังเกตเห็นว่าห่านขาวใหญ่เอามือข้างหนึ่งอ้อมมาด้านหลังแล้วกระดิกนิ้วให้ตน
หมี่ลี่น้อยขมวดคิ้วเล็กสองข้างแน่น ห่านขาวใหญ่คิดจะทำอะไร? กบาลเล็กๆ ที่เฉลียวฉลาดของตนแล่นไม่ค่อยดีเท่าไรนะ
นางตั้งใจครุ่นคิด แต่คิดแล้วก็ยังไม่เข้าใจเสียที ถ้าอย่างนั้นก็คงได้แต่มีใจแต่ไร้กำลัง ช่วยอะไรไม่ได้แล้วล่ะนะ
หมี่ลี่น้อยไม่สนใจแล้ว สนแต่จะเอ่ยประโยคหนึ่งออกมาล่วงหน้าก่อน นางจึงเขย่งปลายเท้า ตะโกนพูดกับนักพรตเฒ่าที่มีสีหน้าเมตตาปราณีคนนั้นเสียงดัง “นักพรตผู้เฒ่า ชอบน้ำชามากหรือ? ต้องการให้ข้ามอบใบชาให้ท่านสักเล็กน้อยหรือไม่?”
เส้าอวิ๋นเหยียนอธิบายสถานการณ์คร่าวๆ ให้ผู้ฝึกกระบี่ในพื้นที่สองคนนี้ฟัง เส้าอวิ๋นเหยียนเห็นดีในตัวของเฉินซานชิวอย่างมาก
เฉินซานชิวเอ่ยอย่างกังขา “เซียนกระบี่เส้า เฉินผิงอันฝ่าทะลุขอบเขตอีกแล้วหรือ?”
เส้าอวิ๋นเหยียนส่ายหน้า “ยังคงเป็นขอบเขตหยกดิบ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลังจากที่เจ้าลัทธิลู่ให้อิ่นกวานยืมกวานดอกบัวชิ้นนั้นก็มองขอบเขตของเขาออกได้ไม่ชัดเจนแล้ว”
เฉินซานชิวสามารถเรียกชื่อของเฉินผิงอันโดยตรงได้ แต่เส้าอวิ๋นเหยียนกลับยังต้องเรียกด้วยความเคารพว่าอิ่นกวาน
เตี๋ยจ้างเอ่ย “ตัวคนเดินไปถึงไหนก็ทำการค้าไปถึงตรงนั้น เถ้าแก่รองไม่มีทางขาดทุนแน่”
เดิมทียามอยู่กับเฉินผิงอัน กว่าถัวเหยียนฮูหยินจะสะสมความมั่นใจน้อยนิดมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลคือวันนี้พอมาเจอเหตุการณ์นี้กลับเกิดหวาดกลัวใต้เท้าอิ่นกวานขึ้นมาอีก
ทำไม อยู่ใต้หล้าไพศาลเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นอิ่นกวานคนสุดท้าย ยังไม่พอ ในอนาคตยังจะไปที่ใต้หล้ามืดสลัว หรือจะไปเป็นเจ้าลัทธิสี่ของป๋ายอวี้จิงอีก?
เฉินซานชิวคุกเข่าข้างเดียว ทอดสายตามองไปไกลอย่างเหม่อลอย
คนเดินทางไกลที่กลัดกลุ้มชอบดื่มเหล้า กว่าจะได้กลับมาถึงบ้านเกิดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าคนที่คิดถึงกลับอยู่ต่างบ้านต่างเมือง แม้แต่เหล้าก็ไม่กล้าดื่มแล้ว
เตี๋ยจ้างที่อยู่ข้างกาย สตรีแขนเดียว ชายแขนเสื้อข้างหนึ่งผูกไว้เป็นปม เรือนกายอ่อนแอบอบบาง ทว่ากลับสะพายกระบี่เล่มใหญ่
ทิวทัศน์ของใต้หล้าไพศาลเต็มไปด้วยความอัศจรรย์อย่างแท้จริง ขุนเขาสายน้ำยิ่งใหญ่งดงาม สี่ฤดูกาลก็มีความงามเป็นเอกลักษณ์ของสี่ฤดูกาล ผิวน้ำใสกระจ่างเป็นสีเขียวมรกต ดอกไม้ในภูเขาเบ่งบานประดุจดอกไม้ไฟ คนจับปลาบนแม่น้ำถ่อเรือ แสงอรุโณทัยส่องระเรื่อพร้อมสายสายน้ำฤดูใบไม้ผลิ พากันฉายประกายแห่งความงาม ล้วนเป็นทัศนียภาพที่งามเลิศล้ำ เพียงแค่ว่าเมื่อได้เห็นแล้ว อันที่จริงก็มีเพียงเท่านั้น เห็นมากเท่าไรก็ลืมไปมากปานกัน
กลับเป็นเฉินซานชิวที่เขียนบันทึกการเดินทางเพิ่มมาเล่มหนึ่ง จดบันทึกขนบธรรมเนียมประเพณี ผู้คนและสิ่งที่พบเจอมาตลอดทางอย่างละเอียด
เส้าอวิ๋นเหยียนรู้ประวัติความเป็นมาของกระบี่สองเล่มนั้นว่าเป็นอาเหลียงที่ปีนั้นไป ‘ยืม’ มาจากป๋ายอวี้จิงจำลองของต้าหลี จึงเอ่ยสัพยอกว่า “พวกเจ้าสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดีขนาดนี้กับอิ่นกวาน ถึงกับยังพลาดงานฉลองการเลื่อนขั้นเป็นสำนักของภูเขาลั่วพั่วไป ไม่ควรเลยจริงๆ ทำไม กังวลว่าสกุลซ่งต้าหลีจะทวงกระบี่ยาวสองเล่มนี้คืนไปจากพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
แจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งโชคชะตากระบี่ของราชวงศ์ต้าหลี อันที่จริงอาศัยสิ่งนี้ทำให้ได้รับโชคชะตาเพิ่มมาส่วนหนึ่งอย่างที่มองไม่เห็น
บวกกับการดำรงอยู่ของเฉินผิงอันและเว่ยจิ้นก็คล้ายกับผืนนาไร้ปุ๋ยที่เดิมทีไม่เหมาะแก่การหว่านไถแห่งหนึ่งที่มีเมล็ดพันธ์วิถีกระบี่ก่อกำเนิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนโชคชะตาวิถีกระบี่อันน้อยนิดของราชวงศ์จูอิ๋งเก่านั้น เมื่อเทียบกับกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว ไม่นับเป็นอะไรได้เลยจริงๆ
เตี๋ยจ้างกระตุกมุมปาก “คืนกระบี่? คืนกระบี่อะไร เป็นอาเหลียงที่มอบให้พวกเรา ราชสำนักต้าหลีมีปัญญาก็ไปงัดข้อกับอาเหลียงเองสิ”
เฉินซานชิวยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร กับเฉินผิงอันไม่ต้องเกรงใจ อย่างมากวันหน้าหากภูเขาลั่วพั่วมีงานฉลองของสำนักเบื้องล่าง ข้ากับเตี๋ยจ้างจะต้องมอบของขวัญให้คนละสองชิ้นอย่างแน่นอน”
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!