หลายปีมานี้ออกท่องเที่ยวไปตามทวีปต่างๆ ของไพศาล นอกจากจะฝึกตนหลอมกระบี่แล้ว เรื่องของวัตถุนอกกายก็พอจะมีผลเก็บเกี่ยวอยู่บ้างเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่นระหว่างที่เตี๋ยจ้างอยู่ในหลิวเสียทวีปได้จับผลัดจับผลูหลงเข้าไปในดินแดนลับขุนเขาสายน้ำที่ตราผนึกหนาชั้นแห่งหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็เก็บสมบัติกันมาได้เล็กน้อย
ตกลงกับเตี๋ยจ้างไว้เรียบร้อยแล้วว่า วันหน้าหากใครได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนก็จะสร้างสำนักวิถีกระบี่เป็นของพวกเขาเองขึ้นในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
เตี๋ยจ้างเป็นเจ้าสำนัก ส่วนเขาจะเป็นบรรพจารย์ผู้คุมกฎที่บุกเบิกภูเขาเอง
นครบินทะยานของใต้หล้าห้าสี ไม่ต้องพูดมาก สิ่งที่ช่วงชิงมาต้องไม่ใช่หนึ่งช่วงเวลาหนึ่งสถานที่ แต่เป็นทุกสรรพสิ่งตลอดกาลของตลอดทั้งใต้หล้า
ใต้หล้าไพศาล ฉีถิงจี้สร้างสำนักกระบี่หลงเซี่ยงขึ้นมา ภูเขาลั่วพั่วของเฉินผิงอันก็เป็นสำนักอักษรจงแล้ว
ใต้หล้ามืดสลัว พูดถึงแค่ต่งฮว่าฝูและเยี่ยนจั๋วที่เป็นสหาย จะต้องไม่มีทางเป็นเต้ากวานอะไรตลอดทั้งชีวิตแน่นอน ในอนาคตต่างก็ต้องก่อสำนักตั้งพรรค คาดว่าก็คงจะเหมือนตนกับเตี๋ยจ้างที่สองคนร่วมมือกัน เจ้าอ้วนเยี่ยนที่ไม่เต็มใจจะหาเงิน ต่งถ่านดำที่ใช้เงินราวกับน้ำไหล ช่างเหมาะสมกันจริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่งฮว่าฝูที่นับแต่เล็กมาก็เป็นเด็กนิสัยประหลาด หากอิงตามคำกล่าวของต่งซานเกิงก็คือตระกูลต่งของข้ามีผู้มีพรสวรรค์ที่ร้ายกาจเพิ่มมาคนหนึ่งแล้ว เพราะอะไร? อายุน้อยๆ ก็รู้จักจูง (ใช้กับการจูงสัตว์เลี้ยงเดินเล่น) อาเหลียงแล้ว
ต่งฮว่าฝูสนิทสนมกับอาเหลียงมาตั้งแต่เล็กจริงๆ ไม่ทำตัวห่างเหินแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่ออกจากบ้านจะชอบไปหาอาเหลียง วิ่งไปตลอดทาง แล้วก็ถือโอกาสเลือกของไปตลอดทางด้วย สุดท้ายเมื่อย้อนกลับมาที่เดิม เนื่องจากข้างกายมีอาเหลียงที่พกถุงเงินมาเพิ่มคนหนึ่ง เด็กชายก็จะพูดประโยคว่า ‘อาเหลียง ขอเงินหน่อย’ ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ
ทะเลาะหรือต่อยตีกับคนวัยเดียวกันของถนนไท่เซี่ยงและถนนอวี้ฮู่ หากสู้ได้ก็ยังพอทำเนา แต่หากสู้ไม่ได้ก็จะทิ้งถ้อยคำอาฆาตเอาไว้ ‘ฝากไว้ก่อนเถอะ ข้าจะไปหาอาเหลียง ให้เขาฟันเจ้าให้ตาย’
เจอกับพวกผู้ใหญ่นิสัยไม่ได้ความที่ชอบเอาเรื่องที่ท่านแม่ของเขาชอบอาเหลียงมาพูดล้อ ก็จะชอบพูดว่า ‘มาอวดเก่งกับข้าทำไม ระวังข้าจะปล่อยอาเหลียงออกมาล่ะ’
ผังหยวนจี้แห่งคฤหาสน์หลบร้อน ดูเหมือนว่าจะไปอยู่ที่ดินแดนพุทธะสุขาวดี
ถ้าอย่างนั้นใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็น่าจะมีการแตกกิ่งก้านสาขาของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้บ้างแล้ว
สำนักทุกแห่งในใต้หล้าที่มีภูเขาบรรพบุรุษร่วมกัน ศาลบรรพจารย์แรกเริ่มสุดก็คงจะเป็นกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าแห่งนี้แล้ว
หนทางเบื้องหน้ายังคงมีขุนเขาสายน้ำกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แต่อนาคตต้องมีช่วงเวลาที่ดีรอคอยอยู่แน่นอน
คาดว่านี่ก็คงจะเป็นดั่งคำกล่าวของเฉินผิงอันที่บอกว่า ‘คนคนหนึ่งไม่ว่าจะเป็นใครก็ล้วนต้องมีความคาดหวังอยู่บ้าง’ กระมัง?
ทุกวันนี้เฉินซานชิวก็มีความคาดหวังอยู่บ้างเช่นกัน นอกจากจะก่อตั้งสำนักในใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว ในอนาคตยังจะไปพบบรรพบุรุษบ้านตนที่ใต้หล้าห้าสีด้วย
แน่นอนว่ายังมีแม่นางที่เขาปรารถนาแต่ไม่เคยได้มาครอบครองอย่างต่งปู้เต๋อ
เฮ้อชิวเซิงเปิดปากคุยกับเฉินซานชิว “คารวะเซียนกระบี่เฉิน”
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่สำนักกระบี่หลงเซี่ยง เฮ้อชิวเซิงก็เคยเจอกับเฉินซานชิวมาก่อน แต่ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน
เฉินซานชิวขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้าจำคนผิดแล้วกระมัง ข้าไม่ใช่เฉินผิงอันสักหน่อย”
เด็กหนุ่มทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
มองเซียนกระบี่ชุดขาวที่สีหน้าไม่สบอารมณ์ ในใจของเด็กหนุ่มก็กระวนกระวายเล็กน้อย
ในฐานะลูกหลานสกุลเฉินแห่งถนนไท่เซี่ยง บรรพบุรุษของบ้านเขาก็คือเฉินซีเซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่ได้แกะสลักตัวอักษรไว้บนหัวกำแพงเมืองเช่นเดียวกับท่านอาจารย์
อีกทั้งอาจารย์ยังเคยเล่าให้ฟังเป็นการส่วนตัวว่า เฉินซานชิวที่อยู่ต่อในใต้หล้าไพศาล อนาคตบนมหามรรคาของเขาจะต้องไม่ต่ำอย่างแน่นอน หากกลายมาเป็นลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อก็ไม่แน่ว่าอาจได้ครอบครองตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตตัวหนึ่ง
แต่การที่เฮ้อชิวเซิงอยากจะพูดคุยกับเฉินซานชิวสักสองสามคำ แท้จริงแล้วเด็กหนุ่มมีเหตุผลที่แปลกประหลาดอยู่ เพราะในชื่อของคนทั้งสองต่างก็มีคำว่าชิวนี่นะ
เฉินซานชิวพลันยิ้มเอ่ยว่า “จำไว้ว่า วันหน้าหากอยู่บนหัวกำแพงเมืองอย่าได้เรียกผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งว่าเซียนกระบี่เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นก็ง่ายที่จะถูกคนเอากระสอบป่านมาครอบหัวแล้วรุมซ้อม”
เฮ้อชิวเซิงอึ้งงันพูดไม่ออก
ดวงตาของอู๋ม่านเหยียนเป็นประกายระยิบระยับ เด็กสาวที่ปากเร็วจิตใจซื่อตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าเตี๋ยจ้าง พูดเสียงดังว่า “ดีใจมากที่ได้พบกับผู้อาวุโสเตี๋ยจ้างอีกครั้ง!”
เตี๋ยจ้างพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
อันที่จริงในอดีตตอนที่ได้พบกับแม่นางน้อยเป็นครั้งแรกในทักษินาตยทวีป หลังจากเจอกันเตี๋ยจ้างคิดเป็นร้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ คำพูดและการกระทำของแม่นางน้อยไม่เพียงแต่นอบน้อมมีมารยาท ในดวงตาที่เฉลียวฉลาดน่าเอ็นดูคู่นั้นก็คล้ายว่าจะเต็มไปด้วยความเลื่อมใสในตัวนางด้วย
เตี๋ยจ้างไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอู๋ม่านเหยียนผู้นี้มานับถือตนทำไม คงไม่ใช่ว่าเป็นเพราะแขนของนางน้อยกว่าคนปกติทั่วไปข้างหนึ่งหรอกกระมัง
อู๋ม่านเหยียนรู้สึกเคารพนับถือเตี๋ยจ้างจากใจจริงๆ เหตุผลก็เรียบง่ายอย่างยิ่ง สตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือเถ้าแก่ร้านเหล้าที่กิจการเจริญรุ่งเรือง
เถ้าแก่ใหญ่
ขนาดอิ่นกวานยังเป็นแค่เถ้าแก่รองเท่านั้น!
อาจารย์ลู่เคยบอกว่าเรื่องอย่างการทำการค้านี้ ปีนั้นอาจารย์เฉินที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ร้ายกาจยิ่งกว่าเป็นอิ่นกวานอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนเสียอีก
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อาจารย์เฉินเป็นขุนนางในตำแหน่งที่ไม่อาจสูงไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว นอกจากยังอยู่ในการควบคุมดูแลของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสในนามแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็มีเพียงพี่หญิงเตี๋ยจ้างตรงหน้าผู้นี้เท่านั้นที่สามารถทำให้อาจารย์เฉินมาเป็นผู้ช่วยนางได้
ห่างไปไม่ไกล ผู้ฝึกกระบี่ห้าคนจากสำนักใบถงจับมือกันพลิ้วกายลงบนหัวกำแพงเมือง หิมะใหญ่ก่อนหน้านี้ไปมาอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นก็เป็นแสงกระบี่ห้าเส้นที่ทิ้งเส้นยาวไว้กลางอากาศ ล้วนทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่าซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในวันนี้จะต้องเกิดเรื่องราวมหัศจรรย์ที่ผิดแผกไปจากสามัญอย่างแน่นอน
อวี๋ซินมีสถานะพิเศษ หลี่หวานย่งสะพายกระบี่โบราณ ‘ชือจ้วน’ คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอดีตเจ้าสำนักคนก่อน
ตู้เยี่ยน เนื่องจากเป็นลูกหลานสกุลตู้ ดังนั้นในบรรดาคนทั้งห้านี้เขาจึงเป็นคนที่ตกทุกข์ได้ยากที่สุด ในเวลาสั้นๆ เพียงแค่สิบกว่าปีก็ต้องเจอกับหายนะใหญ่หลวงอันหนักหนาสาหัส ทั้งเรื่องในตระกูล เรื่องในสำนักและเรื่องของทวีป ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนี้รู้สึกว่าได้กล้ำกลืนความอยุติธรรมของทั้งชีวิตมาจนเต็มอิ่มแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแห่งเป็นความระทมทุกข์ที่มีอยู่เต็มท้อง ส่วนฉินสุ้ยหู่ นับแต่เด็กมาก็มีพรสวรรค์ด้านวรรณกรรม ใช้ถ้อยคำได้อย่างไพเราะสละสลวย ชื่อเสียงเลื่องลืออยู่บนภูเขา ล่างภูเขาก็มีชื่อเสียงมากเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเชี่ยวชาญในการแต่งกาพย์กลอนยาว บรรยายเหตุการณ์ก่อนแล้วตามด้วยการแสดงความคิดเห็น เป็นลำดับขั้นตอน ห่างชิดเหมาะสม ไม่รีบไม่ช้า ปีนั้นจั่วโย่วเคยไป ‘เป็นแขก’ อยู่ที่สำนักใบถงช่วงหนึ่ง ขนาดเขาก็ยังพูดเองกับปากว่า ไม่คิดว่าจะมีเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่เข้าท่าเข้าทีอยู่ด้วย
หวังซือจื่อสีหน้านอบน้อมระมัดระวัง เขากุมหมัดเปิดปากถามเว่ยจิ้นก่อนว่า “ขอถามเซียนกระบี่เว่ย ภาพปรากฎการณ์ผิดปกตินี้มาจากไหนหรือ?”
หวังซือจื่อคือผู้ฝึกกระบี่เพียงหนึ่งเดียวในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ทั้งห้าของสำนักใบถงที่เคยมาฝึกประสบการณ์ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หวังซือจื่อไม่กล้าพูดถึงบ้านเกิดของตัวเองเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ประสบพบเจอมาหรือนิสัยใจคอของเขา ก็ค่อนข้างคล้ายคลึงกับอวี๋เยว่ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่ทุกวันนี้ได้เป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วแล้ว
แจกันสมบัติทวีป เนื่องจากมีอิ่นกวานหนุ่มและเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ ไม่เพียงแต่ไม่ถูกกำแพงเมืองปราณกระบี่ดูแคลน กลับกลายเป็นว่ายังมองพวกเขาสูงกว่าปกติ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!