สองมือของชุยตงซานทำมุทราร่ายคาถา ท่องพึมพำอยู่ในใจ ตำราเต๋าที่อยู่บนโต๊ะพลันหายวับไป นาทีถัดมาอาณาเขตตลอดทั้งภูเขาลั่วพั่วก็เต็มล้นไปด้วยปราณม่วง
เว่ยป้อย่อพื้นที่เดินทางจากภูเขาพีอวิ๋นมาที่โต๊ะตัวนี้ของภูเขาลั่วพั่วทันที จิตใจเว่ยป้อสั่นสะท้าน ร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต กวาดตามองไปรอบด้าน จุดที่สายตามองไปเห็นก็ราวกับว่าตัวเองอยู่ในทะเลเมฆไอม่วงแห่งหนึ่ง ขณะเดียวกันยังถึงกับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของการสยบกำราบบนมหามรรคา ทำให้ซานจวินใหญ่ของขุนเขาเหนือปรับตัวไม่ทัน อีกทั้งยิ่งนานแรงกดดันนี้ก็ยิ่งหนักอึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ เว่ยป้อยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “หรือว่าวันหน้าข้าจะได้แต่ปรากฎตัวอยู่ริมขอบของอาณาเขตภูเขาลั่วพั่ว ได้แต่เดินมาถึงตรงนี้เท่านั้น?”
ซานจวินแห่งขุนเขาใหญ่ เดินทางในถิ่นของบ้านตัวเองไม่สะดวก จำเป็นต้องเดินเท้าเอาเท่านั้น หากเล่าลือออกไปเกรงว่าเมื่อเทียบกับเรื่องตลกที่จัดงานเลี้ยงท่องราตรีแล้วคงจะทำให้คนหัวร่อจนฟันร่วงได้มากยิ่งกว่า
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร ข้าจะสร้างประตูภูเขาบานหนึ่งไว้ทั้งที่บนและล่างภูเขา รับรองว่าเว่ยซานจวินเดินทางไปมาได้สะดวกแน่นอน”
สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำต่างถิ่นกับผู้ฝึกตนที่ขอบเขตยิ่งสูงมากเท่าไรก็จะยิ่งปรับตัวไม่ได้มากเท่านั้น ผู้ฝึกลมปราณจำพวกเซียนดิน ต่อให้สัมผัสได้ก็ไม่ถึงขั้นแม้แต่จะก้าวเดินก็ยังยากลำบากเฉกเช่นเว่ยป้อ อีกทั้งตำราเต๋าฉบับนี้ไม่มีทางอยู่ในลักษณะที่คลี่กางออกตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นกลิ่นอายเต๋าที่สลายหายไปจะต้องมากกว่าปราณวิญญาณฟ้าดินและโชคชะตาแห่งขุนเขาสายน้ำที่มารวมตัวกันและเสริมชดเชยด้วยตัวเองอย่างแน่นอน จะกลายเป็นว่ารายรับไม่พอกับรายจ่าย
เว่ยป้อไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องนี้ หลังจากนั่งลงแล้วก็ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เมื่อครู่นี้เจ้าอารามผู้เฒ่าต่งไห่เพิ่งจะนั่งอยู่ตรงตำแหน่งของพี่เว่ยนี่เอง”
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อสีขาวหิมะ ยิ้มเอ่ยว่า “ส่วนเรื่องวงในคงไม่พูดมากแล้ว ไม่รู้จะดีกว่า ลัทธิพุทธกล่าวไว้ว่าระหว่างการพิจารณาคือเมฆขาวหมื่นลี้”
เว่ยป้อลุกขึ้นเปลี่ยนที่นั่งเงียบๆ
บนยอดเขาภูเขาพีอวิ๋น เจ้าอารามผู้เฒ่าหรี่ตาลง เห็นว่าซานจวินแซ่เว่ยผู้นั้นนับว่ายังรู้กาลเทศะจึงจากไปอย่างเงียบเชียบ
ชุยตงซานเอ่ยว่า “ในเมื่อฟ้าจะเปลี่ยนสีแล้ว พวกเราก็ควรเตรียมการล่วงหน้า วางแผนไว้แต่เนิ่นๆ กันเถอะ”
ถึงอย่างไรเว่ยป้อก็ไม่ใช่คนนอก ขอแค่ไม่เกี่ยวพันกับโชคชะตาบนมหามรรคาที่เป็นมายาล่องลอยเหล่านั้น ก็ไม่มีอะไรที่พูดคุยกันไม่ได้
จูเหลี่ยนพยักหน้าเอ่ย “จิตใจคิดร้ายต่อคนอื่นไม่ควรมี จิตใจป้องกันคนอื่นไม่ควรคาด”
ก่อนหน้านี้คนที่เฉินผิงอันปะทะด้วยคือเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ภายหลังศึกบนเรือราตรีก็รับมือกับขอบเขตสิบสี่อย่างอู๋ซวงเจี้ยง
ตอนนี้มาลองคิดดูแล้วก็ถือเป็นเรื่องที่สมควรทำอย่างยิ่งแล้ว
ไกลหน่อยก็เป็นโจวจื่อ
เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่หลิวไฉ
ใกล้หน่อยก็คือป๋ายฉางเซียนกระบี่ใหญ่แห่งอุตรกุรุทวีปที่ทุกสิ่งที่ทำมาล้วนเสียเปล่า
กองกำลังเบื้องหลังที่มีหันอวี้ซู่เป็นหนึ่งในนั้น
ยุทธภพอันตราย เมฆมรสุมประหลาดเกิดขึ้นได้เสมอ ใจคนยากจะคาดเดา ส่วนใหญ่คบหาสหายก็มักกลายเป็นการสร้างศัตรู
ชุยตงซานกล่าว “ทุกวันนี้สิ่งเดียวที่ขาด ก็มีแค่ขอบเขตของอาจารย์แล้ว”
วัตถุในการโจมตีที่มีพลังพิฆาตมากที่สุดของภูเขาลั่วพั่วอยู่บนยอดเขา
เทพภูเขาซ่งอวี้จางได้ถูกราชสำนักต้าหลีโยกย้ายให้ไปรับตำแหน่งเท่าเดิมที่ภูเขาฉีตุน เปิดภูเขาสร้างศาลขึ้นมาใหม่ ในซากปรักศาลเทพภูเขาที่ยังเหลืออยู่บนยอดเขาของภูเขาลั่วพั่วไม่ได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออก ยังคงสภาพเดิมเอาไว้ เพียงแค่ปลดแผ่นป้ายลงมา ก่อนหน้านี้ชุยตงซานได้จัดวางตราผนึกบ่อสายฟ้าสีทองวงหนึ่งไว้รอบราวรั้วหยกขาว ด้านในตั้งบูชาม้วนภาพเซียนกระบี่ที่นำมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ซึ่งแรกเริ่มสุดนั้นอยู่ที่หอจิ้งเจี้ยนของภูเขาห้อยหัว ภายหลังเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสได้นำมามอบให้เฉินผิงอัน
ตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เหล่าเซียนกระบี่ที่อยู่ในรูปลักษณ์ของวิญญาณวีรบุรุษอยู่เคียงข้างอิ่นกวานมานานหลายปี ร่วมกันต่อต้านศัตรู ร่วมกันปกปักษ์รักษากำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลืออยู่
นอกจากนี้ภูเขาลั่วพั่วยังมีค่ายกลกระบี่อีกชุดหนึ่งที่ถอดเอามาจากภูเขาไท่ผิงของใบถงทวีป เพียงแต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังสร้างไม่เสร็จ ในอนาคตสามารถนำมาช่วยประคับประคองกันได้
จูเหลี่ยนกล่าว “ด้วยนิสัยของคุณชาย ม้วนภาพค่ายกลกระบี่ม้วนนั้นต้องเอาไปคืนให้กับนครบินทะยานแน่”
ชุยตงซานคลี่ยิ้ม “วางใจเถอะ ด้วยนิสัยของอาจารย์แม่ต้องไม่มีทางเก็บไปแน่ แล้วนับประสาอะไรกับที่หากดูกันในระยะยาวแล้ว ม้วนภาพอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว สำหรับนครบินทะยานแล้วก็ถือเป็นการค้าคุ้มค่าที่ได้กำไรเหนาะๆ ไม่มีขาดทุน”
หมี่ลี่น้อยพยักหน้าเอ่ย “วางใจแล้ววางใจอีก เพราะถึงอย่างไรไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เจ้าขุนเขาคนดีของพวกเราก็ล้วนเชื่อฟังฮูหยินเจ้าขุนเขาทั้งสิ้น”
จูเหลี่ยนส่ายหน้ายิ้มๆ “ผิดแล้ว ขอแค่เจอกับเรื่องใหญ่ที่แท้จริง แม่นางหนิงก็ยังต้องฟังคุณชาย”
หมี่ลี่น้อยครุ่นคิด “ดูเหมือนว่าจะใช่นะ”
ชุยตงซานยิ้มบางๆ “ต่อให้ไม่มีภาพค่ายกลเซียนกระบี่ภาพนั้น แจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราไม่เป็นฝ่ายไปหาเรื่องใคร คนอื่นก็ควรต้องจุดธูปขอบคุณพระเจ้าแล้ว”
หยิบพัดพับหยกเล่มหนึ่งออกมา ชุยตงซานโบกพัดลมเบาๆ ด้านหนึ่งของพัดเขียนว่าใช้คุณธรรมสยบใจคน อีกด้านหนึ่งเขียนว่าไม่ยอมสยบก็ตีให้ตาย
เว่ยป้อกล่าว “เรื่องที่ภูเขาลั่วพั่วไม่รับลูกศิษย์ ข้าช่วยป่าวประกาศออกไปให้แล้ว แต่ดูท่าแล้วจะไม่ได้ผลสักเท่าไร ผลลัพธ์ที่ได้ธรรมดาอย่างมาก วันหน้ามีแต่จะมีคนมากกว่าเดิมเดินทางมาที่นี่”
ชุยตงซานช่วยโบกลมให้กับหมี่ลี่น้อย ยิ้มเอ่ยว่า “เป็นเรื่องปกติ ชมบุปผาในม่านหมอก ไม่ว่าใครก็ล้วนสงสัยใคร่รู้ สุดท้ายจะขึ้นเขาได้หรือไม่ ยังต้องดูที่โชควาสนาด้วย เมล็ดแตงของหมี่ลี่น้อยไม่ว่าใครก็แทะได้หรือ? ไม่ใช่สักหน่อย”
หมี่ลี่น้อยนั่งอยู่บนม้านั่งยาว แกว่งขาเล็กๆ สองครั้ง ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า นางขยับกระเป๋าสะพายที่ทำจากผ้าฝ้ายให้เข้าที่ หัวเราะฮ่าๆ อารมณ์ดี
เว่ยป้อยิ้มถาม “หมี่ลี่น้อย คิดได้แล้วหรือยัง สรุปว่าจะเอาอะไรเป็นของขวัญตอบแทนดี?”
พู่กันไผ่เขียวด้ามที่หมี่ลี่น้อยมอบให้ สำหรับเว่ยป้อแล้วมีความหมายไม่ธรรมดา ต่อให้เอาอาวุธเซียนมาให้ เขาก็ไม่ยอมแลก
ก่อนหน้านี้เฉินหลิงจวินคุ้มกันหมี่ลี่น้อยเดินทางไปเยือนภูเขาพีอวิ๋นมารอบหนึ่ง ทุกวันนี้ก็ยังไปเตร็ดเตร่ที่ป่าไผ่อยู่เป็นระยะ ทั้งที่เป็นฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง แต่ดันพูดว่าจะไปดูว่ามีหน่อไม้ให้ขุดหรือไม่
หมี่ลี่น้อยส่ายหน้า “ไม่ต้องๆ เกรงใจกันไปไย เว่ยซานจวินทำตัวห่างเหินเกินไปแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!