สรุปเนื้อหา บทที่ 856.3 มองลงต่ำ – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 856.3 มองลงต่ำ ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
เฒ่าตาบอดเอ่ยว่า “สถานที่ที่นกไม่มาขี้ ไม่มีอะไรน่าดูหรอก”
บนม่านฟ้ามีทางช้างเผือกทอดยาว
ผู้เฒ่าที่เรือนกายผ่ายผอมดุจท่อนฟืน สวมชุดยาวสีม่วง บนชุดปักเป็นภาพปากว้าหยินหยางสองสีขาวดำ
ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่เป็นประกายวาววับ เพียงแต่ว่าด้านในคล้ายจะรวบรวมเอาภาพบรรยากาศอันงดงามตระการตาของทางช้างเผือกทั้งเส้นบนนภากาศเอาไว้ ทว่าเมื่อเทียบกับตอนที่อยู่ในขั้นสูงสุดแล้วยังด้อยกว่ามากนัก
มีแขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่ง มีความคิดที่จะใช้วิธีฝึกเป็นเซียน รวบรวมปณิธานความมุ่งมั่นให้กลายเป็นความจริง ดุจเซียนนั่งแพไม้ไผ่ ดวงดาวเคลื่อนคล้อยเปลี่ยนตำแหน่ง เดินทางไกลข้ามธาราสวรรค์
เรื่องราวทั้งหลายที่อยู่บนฟ้านับแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบัน ล้วนหนีไม่พ้นภาพปรากฎการณ์ของดวงดาว
คนหนุ่มมองฝูลู่อวี๋เสวียนแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมย “ขอแสดงความยินดีด้วย”
อวี๋เสวียนลูบหนวดยิ้ม “ช่วยป๋ายเหย่ อีกนิดเดียวก็เกือบจะช่วยให้เสียเรื่องซะแล้ว หลังจบเรื่องรู้สึกละอายใจจนไม่กล้าไปพบเจอหน้าเขา คิดไม่ถึงว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์จะสั่งให้มาฝึกตนที่นี่ ได้ครอบครองโชคชะตาฟ้าเพียงลำพัง ก็ยิ่งละอายใจมากกว่าเดิม”
แม้จะพูดอย่างนี้ก็จริง แต่ตอนประชุมศาลบุ๋น ยามที่ผู้เฒ่าพูดคุยกับเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์และฮว่อหลงเจินเหรินกลับไม่มีความละอายเลยแม้แต่น้อย
อวี๋เสวียนหยิบเหล้าภูเขาชิงเสินกาหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ชูขึ้นสูง “เอาสักกาไหม?”
คนหนุ่มส่ายหน้า
อวี๋เสวียนจึงกรอกเหล้าเข้าปากตัวเอง ถามอย่างใคร่รู้ว่า “เจ้าที่เป็นผู้อาวุโสซึ่งมีคุณธรรมมีชื่อเสียงสูงส่ง ไยต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของถ้ำสวรรค์หลีจูด้วยเล่า?”
พูดถึงเรื่องเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตที่เผาออกมาจากเตาเผามังกร
และผู้บรรลุมรรคาที่รูปโฉมอ่อนเยาว์ผู้นี้ก็เคยเป็นนายแห่งเซียนดิน และยิ่งได้รับการขนานนามที่ไพเราะว่าบรรพบุรุษแห่งหมื่นคาถา
หนึ่งในสถานที่ฝึกตนของคนผู้นี้มีชื่อว่าภูเขาเหลาซาน ว่ากันว่าตั้งอยู่ใจกลางมหาสมุทรใหญ่ ทวยเทพมาขยับก็ไม่เคลื่อนไหว เซียนเจินมิอาจปีนป่าย อยู่ห่างไกลจากโลกมนุษย์
บนภูเขามีป้ายศิลา หอ ห้วย
บนป้ายศิลาแกะสลักคำว่า ‘สะบั้นความโง่เขลาและดึงดันออกจากจักรวาลที่สงบสุข’ ด้านล่างหอหลอมมารมีลำห้วยลึกอยู่เส้นหนึ่ง ชื่อว่าลำห้วยคลำเงิน
และน้ำที่อยู่ในห้วยลึกแห่งนั้นก็คือวิธีเดียวที่ใช้สร้างเงินก่อนหน้าเงินเทพเซียนสามชนิดอย่างเงินเกล็ดหิมะ เงินร้อนน้อยและเงินฝนธัญพืชซึ่งใช้กันทั่วหลายใต้หล้า หรือก็คือรูปแบบเดิมของเงินเหรียญทองแดงแก่นทองในยุคหลัง
วัตถุประสงค์ที่ทำเช่นนี้ เดิมทีก็เพื่อแบ่งแยกและทำลายความเป็นเทพให้ได้อย่างสมบูรณ์ เพียงแต่ว่าภายหลังเกิดช่องโหว่ที่ไม่เล็ก อาศัยการผลัดเปลี่ยน รวบรวมและรับคืนอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาพันกว่าปี ถึงได้เปลี่ยนมาใช้เงินเทพเซียนสามชนิดอย่างในทุกวันนี้ได้สำเร็จ
คนหนุ่มเอ่ยว่า “ชิงถงเทียนจวินเป็นสหายรักของข้า เขามีเรื่องขอร้อง อะไรที่ข้าช่วยได้ก็ต้องช่วย”
อวี๋เสวียนดื่มเหล้า ไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเก่าแก่นานนมพวกนี้
ในบรรดาลูกศิษย์ของอาจารย์ซานซานจิ่วโหวท่านนี้ก็มีชิงจวินที่มีสำนักตั้งอยู่ที่ภูเขาฟางจู้ ฐานะของสามภูเขาในอดีตยังสูงกว่าห้าบรรพตของไพศาลที่รวมถึงภูเขาสุ้ยซานในทุกวันนี้อีกด้วย
การทดลองในปีนั้นของหลี่เซิ่ง กุญแจสำคัญข้อหนึ่งนั้นอยู่ที่การตั้งใจเชิญอาจารย์ท่านนี้ออกจากภูเขา มาร่วมกำหนดมารยาทกฎเกณฑ์ด้วยกัน
และยังมีลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่ออีกสองคน คือนักพรตหวังหมินและผู้ฝึกกระบี่หลูเยว่ที่อยู่ในยุคเดียวกับป๋ายเหย่ คนทั้งสองที่อยู่บนภูเขาและล่างภูเขาของโลกมนุษย์ต่างก็ชื่อเสียงไม่โดดเด่น เรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขาเพียงแค่ถูกพูดถึงบนยอดเขาของไพศาลเท่านั้น
คนหนึ่งได้รับคำสั่งให้ออกทะเลไปเยี่ยมเยือนเซียน ส่วนหลูเยว่นั้น ลุกผงาดและร่วงดับประหนึ่งดาวตกที่พุ่งฉิวผ่านท้องนภา
‘คนหนุ่ม’ ผู้นี้ ในอดีตเคยอยู่อาศัยในถ้ำสวรรค์หลีจูช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ถนนฝูลวี่? ถนนฝูลู่ (ยันต์)
ส่วนผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นลูกศิษย์ซึ่งไม่ได้รับการบันทึกชื่อคนนั้นก็มีชาติกำเนิดจากสกุลหลูบนถนนฝูลวี่
ส่วนดอกท้อทั้งหลายที่อยู่ในตรอกเถาเย่ ก็เป็นเขาที่ปลูกกับมือตัวเอง แน่นอนว่าเป็นแค่การกระทำที่ทำไปตามโอกาสเท่านั้น
การสร้างเหรียญทองแดงแก่นทองของราชวงศ์ต้าหลีก็เป็นเขาที่มอบแม่พิมพ์ไปให้
หลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูหล่นร่วงลงสู่พื้น สกุลหลูถนนฝูลวี่ที่เคยมีความสัมพันธ์โยงใยกับราชวงศ์สกุลหลูก็เคยแอบมอบหน้าหนังสือจากตำราโบราณให้กับฮองเฮาต้าหลีในเวลานั้นไปสองสามแผ่น
แผ่นหนึ่งในนั้นบันทึกยันต์ไว้บทหนึ่ง มองดูเหมือนระดับขั้นไม่สูง ผลประโยชน์ไม่มาก
ปีนั้นตอนที่หนันจานอยู่ในตรอกหนีผิงก็เคยเอามาปรับใช้หลังจากที่ได้เรียนรู้มา นางร่ายเวททะลุกำแพงบทนั้นด้วยตัวเอง เดินหนึ่งก้าวจากห้องของซ่งจี๋ซินเข้าไปในบ้านบรรพบุรุษของเฉินผิงอัน
‘ฟ้าดินเชื่อมโยง ภูเขาและผนังเชื่อมติด อ่อนนุ่มเหมือนดอกซิ่งฮวา บางเหมือนหน้ากระดาษ นิ้วข้าคือกระบี่ เปิดประตูว่องไว จงมารับคำสั่งของอาจารย์ซานซานจิ่วโหว ณ บัดนี้’
เพียงแต่ว่าแม้แต่ฮองเฮาหนันจาน หรือควรจะเรียกว่าลู่เจี้ยงไทเฮาเหนียงเนียงในภายหลัง ปีนั้นก็ยังไม่เคยได้ยินนามต้องห้ามของซานซานจิ่วโหวมาก่อน นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรู้รากฐานมหามรรคาของเขาเลย
น่าเสียดายที่พอหนันจานกลับมาถึงเมืองหลวงก็ยังไม่อาจสืบหาความจริงได้ เป็นเหตุให้หลายปีมานี้นางไม่เคยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก่อน ไม่อย่างนั้นหากยันต์ชิ้นนี้ไปตกอยู่ในมือของคนที่ดูของเป็น ลำพังแค่กระดาษหน้านั้นก็กลายมาเป็นสมบัติพิทักษ์ภูเขาได้แล้ว
ฝูลู่เอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ผู้อาวุโสช่างเป็นเทพผู้สมบูรณ์แบบโดยแท้ ข้ามธารดวงดาวข้ามตะวันจันทรา เดินทางไปนอกสามภูเขาสี่มหาสมุทรห้าบรรพต ความเป็นความตายไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตน”
คนหนุ่มส่ายหน้าเอ่ย “เมื่อหมื่นปีก่อน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังเป็นเจ้าของฟ้าดินแห่งนี้ ข้ามธารดวงดาวนั้นง่าย แต่ข้ามตะวันจันทราก็อย่าดีกว่า รนหาที่ตายอย่างนั้นหรือ?”
ฝูลู่หันหน้าไปมองยังทิศไกล “เจ้าสองคนนั้น เวลานี้กำลังจับตามองมาที่พวกเราสองคนหรือไม่?”
คนหนุ่มกลับไม่ได้มองตามเส้นสายตาของฝูลู่อวี๋เสวียนไป กลับกันยังหันไปมองภูเขาสายน้ำบนพื้นดินของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแทน “ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่คิดจะย้ายภูเขา”
สะพานโค้งสีทองแห่งหนึ่ง
ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนบนยอดเขาขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งมาอยู่ที่นี่ก็ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของมัน
โจวมี่เดินขึ้นฟ้า ได้ยึดครองตำแหน่งประธานของซากปรักสรวงสวรรค์บรรพกาลอย่างสมเหตุสมผล
เทพอัคคีกลับคืนสู่ตำแหน่ง ฐานะเท่าเทียมกัน ทั้งสองฝ่ายไม่มีแบ่งสูงต่ำ สามารถนั่งทัดเทียมกันได้
หลีเจินคือผู้สวมเสื้อเกราะคนใหม่ที่มารับหน้าที่
ในอดีตมีผู้ฝึกกระบี่สามคนจับมือกันพกกระบี่มาฟาดฟันใส่ภูเขาทัวเยว่ ‘ฝูผิง’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเฉินชิงตูเล่มนั้นแตกสลายอย่างสิ้นเชิงอยู่ที่ภูเขาทัวเยว่ และภายหลังถึงได้ทำการผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหลงจวินมีชื่อว่าสุสานเซียนต้าซวี
ส่วนร่างเดิมของหลีเจินนั้นก็คือผู้ฝึกกระบี่กวานจ้าว กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขามีชื่อว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลา
อวี่ซื่อเทพวารีคนใหม่ที่ได้เลื่อนขั้น เป็นเจ้านายของเฟยเฟยปีศาจใหญ่บนบัลลังก์
เทพวารีหลี่หลิ่วถูกหร่วนซิ่วดึงความเป็นเทพบนมหามรรคาส่วนใหญ่ออกมาแล้วโยนไปให้กับอวี่ซื่อ
ตอนที่เดินขึ้นฟ้า โจวมี่ได้พกพื้นที่มงคลติดกายมาด้วยหลายแห่ง ส่วนถ้ำสวรรค์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างนั้น มาอยู่ที่แห่งนี้ก็ไม่มีความหมาย มีแต่จะกลายมาเป็นภาระเท่านั้น
สิ่งมีชีวิตทั้งหลายของพื้นที่มงคล เป็นทั้งต้นกำเนิดควันธูปของโลกมนุษย์ แล้วก็เป็นที่มาในการเลือกคนเสริมส่วนที่ขาดให้กับตำแหน่งเทพทั้งหลาย
เดิมทีผู้ฝึกกระบี่เฝ่ยหรานเหมาะสมกับการคาดการณ์ล่วงหน้าของโจวมี่มากที่สุด เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการมาแทนที่ผู้ครองกระบี่ ตำแหน่งเทพต่ำกว่าห้าเทพชั้นสูงสุดของสรวงสวรรค์เก่า แต่กลับสูงกว่าสิบสองเทพชั้นสูง
เพราะถึงอย่างไรผู้ครองกระบี่ท่านนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่บนโลก
แต่กระบี่เซียนไท่ป๋ายที่ป๋ายเหย่มอบไปให้ผู้อื่นก็ได้เลือกเฉินผิงอัน หลิวไฉ จ้าวเหยา สุดท้ายก็คือเฝ่ยหรานที่เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนหนึ่ง!
ช่างเป็นการวางหมากอย่างไร้เหตุผลที่แม้กระทั่งเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวก็ไม่มีทางวางหมากเช่นนี้
ย่อมไม่ใช่การจัดการของศาลบุ๋นอย่างแน่นอน นี่ก็คือการสยบกำราบบนมหามรรคาอย่างไร้รูปลักษณ์แบบหนึ่งที่ใต้หล้าไพศาลมีต่อเจี่ยเซิงแห่งไพศาล
โจวมี่จึงได้แต่ถอยไปเลือกในอันดับรอง ทิ้งเฝ่ยหรานไว้ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เลื่อนให้อีกฝ่ายกลายเป็นผู้ครองใต้หล้า
ความเป็นคนถูกบดขยี้จนเหลือเล็กเท่าเมล็ดฝุ่น จำต้องเผยดวงตาสีทองคู่นั้นออกมา ร่างทองของเขาใหญ่เหมือนดวงดาว
จวินทานเองก็มีสภาพไม่ต่างกันเท่าใด แต่การสยบกำราบบนมหามรรคาส่วนนั้นคล้ายจะไม่ได้หนักหนาเท่าที่อวี่ซื่อได้รับในเวลานี้
หลีเจินถือว่าดีหน่อย ยังคงรักษาร่างมนุษย์ร่างเดิมเอาไว้ได้
หลีเจินพูดกลั้วหัวเราะหน้าทะเล้น “อวี่ซื่อเอ๋ย นี่ก็คือโอกาสที่พันปียากจะพานพบเชียวนะ รีบเอ่ยท้าทายแม่นางหร่วนของพวกเราสักสองสามประโยคสิ ไม่แน่ว่าหากถูกฆ่าตาย จะดีจะชั่วก็ยังได้หลุดพ้นชั่วครู่ชั่วยาม จากนั้นค่อยถูกโจวหมี่จับมาประกอบขึ้นใหม่”
เทพเจ้า ถูกเรียกขานว่าผู้มิหลับใหล
โจวมี่ให้พวกเขารักษาความเป็นคนส่วนหนึ่งไว้คล้ายตั้งใจคล้ายไม่เจตนา ก็เหมือนกับว่าคนนอนเก่งคนหนึ่งในโลกมนุษย์ได้กลายมาเป็นคนที่เป็นโรคนอนไม่หลับ
แต่ขอแค่ทำลายความเป็นคนที่หลงเหลืออยู่ไปให้หมด ถูกความเป็นเทพกลืนกินจนสะอาดเอี่ยม ก็ไม่ต้องมีความเจ็บปวดทุกข์ทรมานในส่วนนี้แล้ว
คำว่าเทพเจ้านั้น ก็เหมือนกับกระดานหมากอันหนึ่ง ทุกๆ ช่องว่างบนกระดานล้วนวางอารมณ์ชนิดหนึ่งเอาไว้ หยิบขึ้นมาอย่างแม่นยำ วางกลับลงไปอย่างแม่นยำ
ตำแหน่งเทพยิ่งสูงก็เหมือนว่ากระดานหมากยิ่งขยายใหญ่ ได้ครอบครองช่องว่างมากกว่าเดิม
ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าการขึ้นลง การทับซ้อนหรือการผสานรวมของทุกๆ อารมณ์ที่ไม่ว่าจะเป็นแบบเดี่ยวหรือหลากหลาย ก็ล้วนไม่ใช่ว่าจะไร้เป้าหมายไร้ทิศทาง มิอาจทำได้ดังใจปรารถนา เพราะต้องเป็นระเบียบมีขั้นตอน เป้าหมายต้องชัดเจนตลอดไป
อีกทั้งจำนวนรวมของทั้งเม็ดหมากสีขาวและเม็ดหมากสีดำก็มักจะเป็นจำนวนที่แน่นอนอย่างครึ่งต่อครึ่งเสมอ
หากจะบอกว่าความเป็นคนคือกรงขังตามธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เทพเจ้ามอบให้กับเผ่ามนุษย์
ถ้าอย่างนั้นความอิสระเสรีที่จริงแท้แน่นอนและบริสุทธิ์ก็คือกรงขังที่ใหญ่ยิ่งกว่า
อีกทั้งนี่เป็นแค่ความคิดของเผ่ามนุษย์เท่านั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้ตัว หรือควรจะพูดให้ถูกต้องก็คือเทพเจ้าไม่มีทางคิดเช่นนี้ตลอดกาล
สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือเทพเจ้าก็ดูเหมือนว่าอิสระล้วนเป็นกรงขังแห่งหนึ่ง
‘คนมิใช่อริยะปราชญ์ที่จะไม่เคยทำความผิดพลาด รู้ผิดแล้วแก้ไขคือความประเสริฐอย่างใหญ่หลวง’
ต้องเคยทำผิด และยังสามารถแก้ไขความผิด และนี่ก็คืออิสระอีกอย่างหนึ่ง
ไม่มีถ้อยคำไพเราะงดงามใดๆ ที่สามารถปลอบใจคนได้เท่าคำนี้อีกแล้ว
สตรีผู้หนึ่งที่ไม่ได้มัดผมหางม้าอีกต่อไปยืนอยู่บนราวรั้วแถบใจกลางของสะพานหินโค้งสีทอง
นางโบกมือหนึ่งที กระชากอวี่ซื่อเทพวารีที่อยู่ในร่างทองอันยิ่งใหญ่โอฬารให้ร่วงลงไปในดวงตะวันดวงหนึ่ง แล้วใช้เปลวเพลิงเผาผลาญอีกฝ่าย
อวี่ซื่อผู้ฝึกตนใหญ่ที่เท่าเทียมได้กับขอบเขตสิบสี่ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนางกลับไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืนแม้แต่น้อย
โจวมี่พลันปรากฏตัว แต่กลับไม่ได้ขัดขวางการกระทำที่กำเริบเสิบสานของนาง ถึงอย่างไรความเป็นเทพของเทพวารีก็ยังคงอยู่ตรงนี้ ไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย อย่างมากกลับไปเขาก็แค่ประกอบรวมขึ้นมาใหม่เท่านั้น
โจวมี่ฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว หลุบตาลงต่ำมองไกลๆ ไปยังใต้หล้าทั้งหลาย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ใครเล่าจะคิดได้ว่า ข้ากับหนึ่งนั้นจะเคยคลาดกันไปในระยะประชิดบนหัวกำแพงเมือง”
น่าเสียดายที่ไม่อาจกลายเป็นหนึ่งนั้นได้ ความสามารถในการมองเห็นของโจวมี่ตอนนี้ มีอยู่หลายสถานที่ที่ยังมิอาจสัมผัสได้ถึง
ทว่านางที่ยืนอยู่บนรั้วกลับไม่มีพันธนาการจากมหามรรคาส่วนนี้ เพราะจุดที่แสงอาทิตย์ส่องไปถึงล้วนเป็นดินแดนของนาง
นางไม่เอ่ยอะไรสักคำ
ดวงตาสีทองหนึ่งคู่ เส้นผมยาวสีทอง และชุดคลุมอาคมสีทอง
แต่โจวมี่กลับรู้ว่า หลังจากเดินขึ้นฟ้าแล้ว นางมองไปทั่วทุกหนแห่งในโลกมนุษย์ มีเพียงไม่ได้มองไปที่คนผู้นั้นคนเดียวเท่านั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!