บนยอดเขาของสำนักที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กลับมีผู้ฝึกกระบี่เผ่ามนุษย์สองคนยืนอยู่
ไม่ถึงครึ่งก้านธูป นครป่ายฮวาที่มีโครงกระดูกเรียงรายดุจผืนป่าก็กลายเป็นปฏิทินเหลืองหน้าหนึ่งไปแล้ว เมื่อเวลาผันผ่านก็จะกลายเป็นปฏิทินเหลืองเก่าแก่ที่ไม่มีใครถามถึง
ภายใต้คำสั่งของฉีถิงจี้ เทพเกราะทองเรือนกายสูงพันจั้งสี่ตนตั้งตระหง่านอยู่สี่ทิศของฟ้าดินริมชายแดนนครป่ายฮวา สร้างเป็นค่ายกลที่เหมือนตาข่าย ป้องกันไม่ให้พวกปลาหลุดลอดหว่างแหตัวใหญ่ทั้งหลายฉวยโอกาสที่สถานการณ์วุ่นวายเผ่นหนีไป
นอกจากนี้ก็ยังมีภาพปรากฎการณ์ประหลาดอีกหลากหลายชนิด ฟ้าคำรามอยู่ในเมฆขาว ดวงจันทร์เกิดริ้วคลื่นมรกต สายฟ้าสีทองนับร้อยนับพันเส้นที่พลังอำนาจยิ่งใหญ่น่าครั่นคร้ามร่วงตกลงมายังโลกมนุษย์ ประดุจเทพกรมสายฟ้าที่ฟาดแส้โบยใส่พื้นดินอย่างกำเริบเสิบสาน ภูเขาสายน้ำปริแตก พื้นดินพลิกตลบ พลิกหาเผ่าปีศาจที่หลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำในช่องทางลับออกมาทีละตน และยังมีเจียวสีหมึกหลายสิบตัวที่เลื้อยอยู่กลางอากาศ กลืนกินเผ่าปีศาจทั้งหลายที่ทะยานลมหลบหนี เคี้ยวกร้วมๆ คำใหญ่ เสียงดังปานประทัดระเบิดต่อเนื่องเป็นระลอก
อย่าลืมล่ะว่าผู้ฝึกกระบี่ก็คือผู้ฝึกลมปราณเช่นเดียวกัน นอกจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตแล้วก็ยังมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่มีความประหลาดพิสดารอีกนับร้อยนับพันที่ผ่านการหลอมใหญ่และหลอมกลางมาแล้ว
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวิธีการที่ฉีถิงจี้ร่ายใช้อย่างง่ายๆ ตามอารมณ์ ไม่พูดถึงสถานะผู้ฝึกกระบี่และกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ก็สามารถมองฉีถิงจี้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานที่พลังพิฆาตมหาศาลคนหนึ่งได้เลย
ไม่ว่าจะเอาไปวางในไว้ใต้หล้าแห่งใด ผู้ฝึกตนได้ครอบครองวิธีการและเวทคาถาระดับนี้ก็สามารถถือเป็นผู้มีพรสวรรค์นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้แล้ว ทว่าอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ฉีถิงจี้กลับถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมองว่าจิตไม่นิ่ง เวทคาถาฉูดฉาด ดีแต่รูปลักษณ์ใช้งานจริงไม่ได้ ห่างไกลจากคำว่าบริสุทธิ์มากขึ้นทุกที…สรุปก็คือไม่มีประโยคดีๆ สักคำ
นี่ยังเป็นตอนที่เฉินชิงตูอารมณ์ไม่เลวอีกด้วย ถึงได้เอ่ยสั่งสอนเขาสองสามประโยคอย่างที่หาได้ยาก เวลาส่วนใหญ่แล้ว เฉินชิงตูคร้านจะพูดแม้แต่คำเดียว ยิ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตสูงเท่าไร เขาก็ยิ่งไม่ชอบพูดคุยด้วยมากเท่านั้น กลับเป็นเด็กๆ บางคนที่จับกลุ่มกันมาเล่นสนุกบนหัวกำแพงเมือง หากผ่านกระท่อมหลังนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะยังได้พูดคุยกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสสองสามคำ
เคยมีเด็กคนหนึ่งเล่นว่าวแล้วสายว่าวขาดไปหล่นลงบนหลังคากระท่อม ไหนเลยจะกล้าเปิดปากเอ่ยขอจากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ยิ่งไม่กล้าปีนขึ้นไปบนกระท่อม จึงได้แต่กลับบ้านไปอย่างหม่นหมอง คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะไปถึงประตูหน้าบ้านก็สังเกตเห็นว่าพ่อแม่ยืนรออยู่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดี ในมือของบิดามีว่าวกระดาษที่คล้ายมีขาวิ่งกลับบ้านได้เองตัวนั้นอยู่ด้วย เด็กชายถามถึงได้รู้ว่าที่แท้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสโยนกลับมาให้ง่ายๆ ในช่วงเวลาที่เป็นเด็กชายถึงเป็นเด็กหนุ่ม เรื่องเล็กๆ เรื่องนี้กลับกลายเป็นหัวข้อพูดคุยที่ใหญ่ที่สุด ภายหลังรอให้เด็กชายคนนี้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ คนหนุ่มไม่ทันกลายเป็นคนแก่ก็เหมือนว่าวที่สายป่านขาด ชีวิตก็คือเรื่องเล็ก ถูกโยนทิ้งไปบนสนามรบง่ายๆ
ก่อนหน้านี้ลู่จือหยิบเอากระบี่ยาวที่ถูกชะตาที่สุดสองเล่มออกมาจากในกล่องกระบี่ ชิวสุ่ย จ๋าวเชี่ยว นางถือกระบี่สองมือ บวกกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘เป้าผู่’ (เป็นคำศัพท์ของทางลัทธิเต๋า หมายถึงโอบกอดความบริสุทธิ์เรียบง่าย) สังหารผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบไปตนหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นผู้คุมกฎของศาลบรรพจารย์นครป่ายฮวา ก่อนหน้านี้ระหว่างที่เข่นฆ่า ลู่จือแค่สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนเซียนดินจำนวนเพียงหยิบมือที่มิอาจรับการฟาดฟันได้ ส่วนพวกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงไป จำไม่ได้แล้ว แล้วก็ไม่จำเป็นต้องจำด้วย
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ถูกกระบี่ยาวชิวสุ่ย (น้ำฤดูใบไม้ร่วง) สังหาร ในช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตที่สะสมปราณวิญญาณเอาไว้พลันเหมือนน้ำที่ท่วมทำนบ น้ำพลันท่วมกลบทับช่องโพรงลมปราณ ไร้เหตุผลสิ้นดี หากถูกจ๋าวเชี่ยว (ทะลุทะลวงช่องโพรงทั้งเจ็ด) ทำร้าย ขุนเขาสายน้ำในฟ้าดินของร่างกายเผ่าปีศาจก็จะเจอหายนะ จ๋าวเชี่ยวมีปณิธานกระบี่บริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งติดมาด้วยตั้งแต่กำเนิด เมื่อร่วมมือกับปราณกระบี่อันยิ่งใหญ่ไพศาลของลู่จือก็คล้ายกับมีซินแสด้านฮวงจุ้ยคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญการตามหารังมังกรเป็นคนนำทาง ปราณกระบี่ประดุจกองทัพอาชาเหล็กเจาะทะลวงขบวนรบ เกือกม้าย่ำทะลวงผ่าน รากภูเขาแต่ละเส้นปริแตกพังภินท์
ลู่จือเก็บกระบี่บิน ‘เป้าผู่’ กลับมา ส่วนเป่ยโต้วที่เป็นกระบี่บินอีกเล่มหนึ่งนั้น กำลังใช้ยันต์ชำระกระบี่มาหลอมกระบี่
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘เป้าผู่’ ได้ครอบครองวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตสองอย่าง อย่างหนึ่งในนั้นคือกระบี่บินสามารถกักเงาของผู้ฝึกตนเอาไว้ได้ พริบตาเดียวก็ทำร้ายไปถึงจิตหยิน ภาพสะท้อนของจิตหยินก็เหมือนถูกกระบี่บินปักตรึงไว้บนผ้าสีดำผืนหนึ่งในตำแหน่งเดิม ผู้ฝึกตนขยับตัวเปลี่ยนตำแหน่งก็เหมือนฉีกกระชากจิตหยินของตัวเอง ขณะเดียวกันขอแค่ผู้ฝึกตนไม่ยอมสละจิตหยินทิ้งไป ตัดสินใจได้ไม่เฉียบขาดมากพอ ก็จะต้องเผชิญหน้ากับวิชาอภินิหารของกระบี่บินชนิดที่สองที่สามารถเรียกได้ว่า ‘บรรลุแก่นแท้อันลี้ลับ สืบเสาะสาวเส้นไหม’ สามารถใช้จิตแห่งกระบี่ที่บริสุทธิ์มาสร้างจิตหยางกายนอกกายได้อีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะเป็นจิตหยินหรือจิตหยางก็ล้วนเกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาของผู้ฝึกตนคนหนึ่ง วิชาอภินิหารกระบี่บินเหมือนการโอบกอด ตามติดดั่งเงาอยู่บนสนามรบ
เป็นเหตุให้บนสนามรบของสำนักหนึ่งก่อนหน้านี้ ลู่จือบิดหมุนข้อมือ กระบี่ยาวชิวสุ่ยสะบัดควงแสงกระบี่พร่างพราว แสงกระบี่สีขาวหิมะสว่างเจิดจ้าเหมือนคลื่นน้ำสารทฤดู ส่องสะท้อนสี่ทิศ เงาสะท้อนของผู้ฝึกตนปรากฏขึ้นทันใด
ฉีถิงจี้เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสให้เจ้าไปหลอมกระบี่ที่ป๋ายอวี้จิง ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ไม่เพียงแต่ ‘เป่ยโต้ว’ กระบี่บินเล่มที่สองที่มหามรรคาสอดคล้องกับป๋ายอวี้จิง ข้าเดาว่ากระบี่บิน ‘เป้าผู่’ มีโอกาสที่จะได้ครอบครองวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตอย่างที่สาม นอกจากนี้เจ้าเองก็ไม่ค่อยเหมือนกับข้าและเฉินซี เรื่องการบุกเบิกถ้ำสถิต พวกเราคงได้แต่หยุดอยู่ที่ก้าวนี้แล้ว ยากมากที่จะพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น แต่ฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ของเจ้ากลับไม่เหมือนกัน ยังมีความเป็นไปได้อีกมากมายยิ่งนัก”
ลู่จือรับฟังด้วยอาการใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แน่นอนว่าไม่ใช่ว่านางแยกแยะดีชั่วไม่ออก แต่เป็นเพราะไม่มีความสนใจเลยจริงๆ
นางนิสัยเฉยเมย ทั้งเป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แล้วก็เป็นอิทธิพลจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มที่หล่อหลอมในภายหลัง ทำให้จิตใจของนางเฉยชาไร้ความปรารถนาอย่างผิดสามัญ
เวลานี้ความคิดของลู่จือยังคงอยู่กับกระบี่ที่เก็บซ่อนไว้ในกล่องกระบี่ กระบี่อาคมลัทธิเต๋าอีกหกเล่มที่เหลือซึ่งมีโหยวฝู เค่ออี้เป็นหนึ่งในนั้น แต่ละเล่มต่างก็มีเวทลับชั้นสูงบางอย่างติดตัวมาเช่นเดียวกัน ลู่จือรู้สึกว่าหากมีชีวิตรอดกลับไปจะไปหาเฉินผิงอันเป็นการส่วนตัวเพื่อปรึกษาเขาสักรอบหนึ่ง
ในอนาคตเมื่อเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงไปทวงหนี้ที่สำนักกระบี่หลงเซี่ยงก็จัดการได้ง่ายแล้ว คืนกระบี่? กระบี่ที่อิ่นกวานยืมมาจากเจ้า มาหาข้าลู่จือทำไม?
ฉีถิงจี้เห็นว่าลู่จือแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาก็ไม่ได้โน้มน้าวต่ออีก เพราะถึงอย่างไรก็เป็นสตรีคนหนึ่งที่แม้แต่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็ยังเกลี้ยกล่อมไม่ได้
ฟ้าดินเล็กเรือนกายมนุษย์ของลู่จือคล้ายกับว่าทั้งๆ ที่กินอาณาเขตพันลี้ แต่กลับมีห้องอยู่แค่ไม่กี่ห้อง บอกว่านางมีเงินก็มีเงินจริงๆ เหมือนคนที่ได้ครอบครองนาดีหมื่นไร่ แต่หากจะบอกว่านางไม่มีเงินก็ไม่ผิดเหมือนกัน พูดถึงใบไม้ผลิเพาะพันธ์ใบไม้ร่วงเก็บเกี่ยวที่ได้มาอย่างแท้จริง กลับมีแค่หนึ่งไร่สามวา (เปรียบเปรยว่าขอบเขตอิทธิพลหรืออาณาเขตของตัวเองที่มีน้อยนิด) อย่างน่าสงสารเท่านั้น
เพราะนอกจากลู่จือจะมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม ก็มีแค่วัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ผ่านการหลอมใหญ่สองสามชิ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะสำหรับผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนคนใดก็ตาม นี่ถือเป็นจำนวนที่เรียกได้ว่าแร้นแค้นอย่างยิ่ง
ของทั้งสามชิ้นล้วนถูกลู่จือนำมาใช้ประคับประคองการฝึกตน ช่วยให้ดูดดึงปราณวิญญาณฟ้าดินมาได้เร็วกว่าเดิม รวมไปถึงช่วยบำรุงสามจิตเจ็ดวิญญาณ วัตถุที่ใช้ในการโจมตีของนางก็มีแค่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มนั้นเท่านั้น
ผู้ฝึกตน แม้ว่าทั่วทั้งเรือนกายจะเหมือนฟ้าดินเล็ก อาณาเขตของขุนเขาสายน้ำกลับกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตสิ้นสุด สิ่งที่เป็นของ ‘ตัวเอง’ อย่างแท้จริง ก็คือการนำปราณวิญญาณฟ้าดินที่ดึงดูดมามาเป็นต้นกำเนิดสายน้ำ ราดรดลงไปบนขุนเขาสายน้ำที่อยู่บนผืนแผ่นดิน คำว่าการฝึกตน ก็เหมือนการหว่านไถผืนนา บุกเบิกที่ดินก่อตั้งจวนเป็นของตัวเอง ปลูกเรียงรายติดกันเป็นแถบจนกลายเป็นนครขนาดใหญ่ยักษ์ เมื่อมีนครมากแล้วก็จะกลายเป็นหนึ่งแคว้น ผู้ฝึกตนเหมือนจักรพรรดิของหนึ่งแคว้น สุดท้าย ‘การพิสูจน์มรรคา’ ก็คล้ายการได้เป็นผู้ครอบครองใต้หล้าของฟ้าดินร่างกายมนุษย์
เพียงแต่ว่าสำหรับผู้ฝึกลมปราณแต่ละคนแล้ว การบุกเบิกถ้ำสถิต การสร้างห้องโอสถไว้ในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ ผู้ฝึกตนจะมีขีดจำกัดอยู่ที่คุณสมบัติ ต่างคนต่างมีคอขวดขวางกั้นอยู่ อย่างมากที่สุดก็คือพอขอบเขตสูงแล้ว ไม่ขาดเงินเทพเซียนและวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินแล้วก็จะเริ่มผลัดเปลี่ยน แทนที่วัตถุแห่งชะตาชีวิตเดิมที่เคยมีอยู่โดยไม่สนความเสียหาย ดังนั้นขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดทุกคนจึงจำต้องเริ่มไล่ไขว่คว้าขอบเขตสิบสี่ที่เป็นมายาล่องลอยมา
ผู้ฝึกตนใหญ่อย่างฉีถิงจี้ เงินเทพเซียน ปราณวิญญาณและสมบัติอาคมล้วนถือว่าแค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครอง น่าเสียดายก็แต่วัตถุจับต้องได้จริงทุกอย่างบนฟ้าดิน ได้กลายเป็นของนอกกายอย่างสมชื่อไปแล้ว หากละโมบโลภมากจะกลายมาเป็นภาระ มีเพิ่มมาเพียงส่วนเดียวก็จะกลายเป็นว่าอะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี
ฉีถิงจี้ยิ้มกล่าว “ยังไม่ถึงครึ่งก้านธูป หากไม่เป็นเพราะรีบไปเยือนภูเขาลูกถัดไปก็ยังคุยเล่นกันได้อีกหลายประโยค”
ในมือของเขามีชุดคลุมอาคมสีเขียวเข้มที่ขาดวิ่นไม่มีชิ้นดีเพิ่มมาตัวหนึ่ง เป็นของตกทอดของเจ้าสำนักเซียนเหรินคนนั้น มีชื่อว่าชิงถง เป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง ก็แค่ว่าหากคิดจะซ่อมต้องใช้เงินอีกเล็กน้อย ลู่จือออกกระบี่อำมหิตเกินไปจริงๆ
ชุดคลุมอาคมชิงถงตัวนี้ ทางฝั่งของคฤหาสน์หลบร้อนน่าจะมีบันทึกไว้ เพราะในประวัติศาสตร์ ผู้ฝึกตนของนครป่ายฮวาที่ไปเยือนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีไม่น้อย ขอบเขตเซียนเหรินที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักหนึ่ง วันนี้กลับเผ่นหนีเร็วที่สุด แต่กระนั้นก็ยังถูกฉีถิงจี้ขัดขวางทางไป บังคับให้อีกฝ่าย ‘สละร่างใต้คมอาวุธ’ บนเส้นทาง แต่อีกฝ่ายได้ร่ายวิชาหลบหนีแห่งชะตาชีวิตบทหนึ่ง ทว่าจิตหยินกลับถูกสังหาร จะรักษาขอบเขตหยกดิบไว้ได้หรือไม่ก็บอกได้ยากแล้ว
นอกจากนี้ยังมีโอสถปีศาจของเผ่าปีศาจอีกหลายเม็ด ขอบเขตหยกดิบหนึ่งเม็ด เซียนดินหลายเม็ด ล้วนถูกฉีถิงจี้กวาดออกมาจากบนศพทั้งหลาย ถือประคองไว้เหนือฝ่ามือ ปล่อยให้พวกมันหมุนวนไปช้าๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!