ซานจวินปี้อู๋พลันพูดไม่ออก
มั่นใจว่าหนิงเหยาเดินทางจากไปแล้ว ปี้อู๋ก็เดินหนึ่งก้าวหดย่อขุนเขาสายน้ำ มุ่งหน้าไปยังเรือนที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง ผีภูเขาสองตนที่มีรูปร่างเป็นดรุณีน้อยสวมชุดกระโปรงแบ่งออกเป็นสีเหลืองไข่ห่านกับสีเขียวอ่อน ยอบกายคารวะซานจวิน เปิดประตูให้เขา ปี้อู๋เดินก้าวข้ามธรณีประตูออกไป บนโต๊ะวางม้วนภาพม้วนหนึ่งเอาไว้ หลังจากคลี่กางออกก็เห็นเพียงว่าบุคคลที่ถูกวาดไว้บนม้วนภาพนั้น ก็คืออิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่
บุรุษสวมชุดคลุมอาคมสีแดงสด ยืนอยู่ริมหน้าผาของหัวกำแพง ใบหน้าพร่าเลือน สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ใต้รักแร้หนีบดาบแคบ หลุบตาลงต่ำมองลงมายังพื้นดิน
นครอวี้ป่านที่เป็นของราชวงศ์อวิ๋นเหวินก่อตั้งแคว้นมาหนึ่งพันสองร้อยกว่าปีแล้ว เพียงแต่ว่าแซ่สกุลของฮ่องเต้ถูกเปลี่ยนไปอยู่หลายครั้ง แต่ชื่อรัชสมัยกลับไม่เปลี่ยน ใครนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สำหรับที่แห่งนี้กลับไม่มีความพิถีพิถันอะไรขนาดนั้น
อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไม่ว่าราชวงศ์ล่างภูเขาแห่งใดที่ชะตาแคว้นยาวนานเกินพันปี เมื่อเทียบกับสำนักบนภูเขาที่มีอายุเท่ากันแล้ว ก็ไม่ควรไปมีเรื่องด้วยมากยิ่งกว่า
สถานที่สำคัญอย่างเมืองหลวงของราชวงศ์ประเภทนี้ ไม่ต่างจากศาลบรรพจารย์ของบนภูเขาเลย
ทว่าเวลานี้ในหอเรือนที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของวังหลวง ในระเบียงใต้ชายคาของชั้นบนสุดกลับมีคนต่างถิ่นคนหนึ่งบุกเข้ามา
บุรุษสวมชุดคลุมเต๋าผ้าโปร่งสีเขียว มือหนึ่งกำเป็นหมัด มือหนึ่งไพล่หลัง ราวกับกำลังเดินเล่นอยู่ในลานบ้านตัวเอง
เวลานี้เขาหยุดเดิน เงยหน้าขึ้น ใต้ชายคาแขวนพวงกระดิ่งไว้เต็มไปหมด ในกระดิ่งทุกชิ้นห้อยกระบี่สั้นขนาดจิ๋วสองเล่มที่อยู่ใกล้กันมาก เพียงมีลมพัดโชยผ่านมาก็จะกระทบกันเกิดเป็นเสียงดัง
อิงจากบันทึกของคฤหาสน์หลบร้อน ฮ่องเต้ในเมืองพระองค์นั้น เนื่องจากปิดด่านนานหลายปีจึงพลาดสงครามใหญ่ครั้งนั้นไป และต้องจ่ายเงินฝนธัญพืชก้อนใหญ่ให้กับภูเขาทัวเยว่
อีกทั้งราชวงศ์อวิ๋นเหวินยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับอดีตปีศาจใหญ่บนบัลลังก์สองตนอย่างหวงหลวนและเจ้าอารามดอกบัว ไม่อย่างนั้นด้วยขอบเขตเซียนเหรินก็คงไม่มีทางรักษาราชวงศ์อวิ๋นเหวินไว้ได้จริงๆ
โชคดีที่ทุกวันนี้ต่อให้หวงหลวนและเจ้าอารามดอกบัวต่างก็ตายกันไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าฮ่องเต้พระองค์นี้ก็เพิ่งจะฝ่าทะลุขอบเขต กลายเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนใหม่พอดี
บุรุษร่างกำยำที่สวมชุดคลุมมังกรมาโผล่อยู่ในระเบียง เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “แขกผู้สูงศักดิ์มาเยือนถึงบ้าน เสียมารยาทที่ไม่ได้ไปรับแต่ไกล ทว่าไฉนสหายท่านนี้ถึงไม่บอกกล่าวกันก่อนสักคำ? ข้าจะได้จัดงานเลี้ยงสุรารอต้อนรับ ช่วยรับลมชำระฝุ่น (เปรียบเปรยว่าจัดงานเลี้ยงต้อนรับ) ให้กับสหาย”
ข้างกายเขายังมีองค์รักษ์หญิงเรือนกายบอบบางอีกคนหนึ่งติดตามมาด้วย นางทาแก้มด้วยผงสีทอง พกดาบไว้ตรงเอว ถึงกับเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่แท้จริงคนหนึ่ง
คิ้วสองข้างของนางเชื่อมติดกันโดยธรรมชาติ ใบหูเล็กยาว เป็นใบหน้าของคนฟ้าอย่างที่กล่าวถึงในตำราโบราณ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าไม่ต้องคิดอยากรับรองแขกอะไรหรอก ไม่มีอะไรยุ่งยากเลยสักนิด แค่ต้องเอาค่ายกลกระบี่ชุดนั้นมาให้ข้ายืมก็พอแล้ว เหนื่อยเพียงยกมือเท่านั้น” (เปรียบเปรยว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องเหนื่อยยากอะไร)
ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์อวิ๋นเหวินท่านนี้มีนามแฝงว่าเย่พู่ ฉายามีสองอย่าง ก่อนหน้านี้คือโพ่เหอ หลังเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานแล้วก็ตั้งฉายาที่ฟังดูเผด็จการยิ่งกว่าเก่าให้กับตัวเอง เรียกตัวเองว่าตู้ปู๋
ส่วนผู้ฝึกยุทธหญิงที่อยู่ข้างกายเย่พู่นั้น มีชื่อว่าป๋ายเริ่น คือสตรีผู้หลงใหลในวรยุทธที่ขึ้นชื่อคนหนึ่ง ทุกวันนี้อายุร้อยกว่าปี มีศาสตร์คงความเยาว์วัย ตอนที่นางอายุห้าสิบกว่าปีก็เลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางแล้ว
นครอวี้ป่านได้เปิดค่ายกลป้องกันเมืองหลวงชั้นหนึ่งแล้ว เลียนแบบพื้นที่แก้วใส เมืองหลวงจึงคล้ายตกเข้าไปอยู่ในลำธารแห่งกาลเวลาที่หยุดชะงัก ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่ประกายเจ็ดสี ผู้ฝึกตนทุกคนที่อยู่ในเมืองต่างก็เลือกอยู่ที่เดิม ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม หนึ่งเพราะหากเป็นผู้ฝึกตนที่ต่ำกว่าห้าขอบเขตบน ขนาดเซียนดินยังก้าวเดินได้ไม่ง่าย อีกอย่างก็คือนี่มีลางว่าศัตรูตัวฉกาจได้มาอยู่เบื้องหน้าแล้ว ใครเล่าจะกล้าก่อเรื่องในเวลานี้
เย่พู่ย่อมจำอีกฝ่ายได้ เพียงแต่ลางสังหรณ์บอกกับเขาว่าแสร้งทำเป็นไม่รู้ บางทีอาจจะดียิ่งกว่า
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบของหัวกำแพงเมืองคนหนึ่งถึงกลายมาเป็นผู้บรรลุมรรคาที่ขอบเขตเริ่มต้นคือบินทะยานได้ เย่พู่ไม่สงสัยใคร่รู้ ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนี้ บนเส้นทางของการฝึกตน ทุกขั้นตอนล้วนเป็นเพียงความว่างเปล่า สนใจแต่ผลลัพธ์เท่านั้น สิ่งที่แสวงหาในการฝึกตนก็หนีไม่พ้นหลักการเหตุผลที่เรียบง่ายอย่างถึงที่สุด ตัวเองมีชีวิตอย่างไร มีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น หากเกิดความขัดแย้งกับคนอื่นขึ้นมา หรือไม่ก็รังเกียจว่าคนข้างทางขวางหูขวางตา คนอื่นตายอย่างไร ตายได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น
เย่พู่ได้ยินคำพูดหยอกล้อที่ชวนหัวของอีกฝ่ายก็เอ่ยว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานช่างสมคำเล่าลือเสียจริง เข้าใจพูดคุยยิ่งนัก ถึงขั้นมีอารมณ์ขันยิ่งกว่าที่ข้าเคยได้ยินมาเสียอีก”
สตรีกระตุกมุมปาก ยื่นมือไปจับด้ามดาบตรงเอว
ผู้ฝึกยุทธหญิงคนนี้ดวงตาฉายประกายเจิดจ้า จ้องบุรุษที่เปลี่ยนมาแต่งกายเป็นนักพรตลัทธิเต๋าเขม็ง จำได้สิ ทำไมนางจะจำไม่ได้ ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างทุกวันนี้ ภาพเหมือนของเจ้าหมอนี่ ไม่แน่ว่าบนภูเขาสิบลูก อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีครึ่งหนึ่งที่มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ภูเขาทัวเยว่เจรจากับศาลบุ๋นแผ่นดินกลางไม่สำเร็จ อิ่นกวานที่อายุน้อยแต่กลับชื่อเสียงเลื่องระบือผู้นี้ก็ยิ่งโด่งดังมากกว่าเดิม ตัวคนอยู่ที่ไพศาล แต่กลับมีหน้ามีตาอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปพร้อมๆ กัน เป็นเหตุให้ราวกับว่าหากผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งไม่รู้ชื่อ ‘เฉินผิงอัน’ ก็เท่ากับว่าไม่ได้ฝึกตน
หนึ่งร้อยปีก่อน ชาติสุนัขบางคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ชื่อเสียงโด่งดังอยู่ที่สำนักตระกูลเซียนเหนือกึ่งกลางภูเขาของเปลี่ยวร้างขึ้นไปเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีอิ่นกวานคนสุดท้ายโผล่ออกมาเสียได้
เฉินผิงอันมองไปยังผู้ฝึกยุทธหญิงคนนั้น “อยากจะลองดูหรือ?”
ในกวานที่สวมอยู่บนศีรษะของเฉินผิงอัน ในลานประกอบพิธีกรรมดอกบัวที่แม้แต่เย่พู่ก็ยังไม่อาจไปสืบเสาะตรวจสอบได้ ลู่เฉินฝึกหมัดเดินนิ่งพลางเหล่ตามองสตรีที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนนั้น แล้วจุ๊ปากเอ่ย “กระเหี้ยนกระหือรือเต็มที กระเหี้ยนกระหือรือเต็มทีแล้วจริงๆ”
เย่พู่ออกเสียงขัดขวางสตรีข้างกาย “ป๋ายเริ่น อย่าเสียมารยาท”
ป๋ายเริ่นกลับยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าสามารถลองดูได้ เงื่อนไขก็คืออิ่นกวานยินดีใช้แค่สถานะของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวในการออกหมัด”
“ตกลง”
ระหว่างที่เฉินผิงอันพูดก็ก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว สองนิ้วประกบกัน มองดูเหมือนแตะที่หน้าผากของป๋ายเริ่นเบาๆ ทว่าร่างของผู้ฝึกยุทธหญิงกลับกระเด็นออกไป ไม่เพียงแต่กระแทกชนราวรั้วที่อยู่ด้านหลังจนพังยับ นางยังกระเด็นเป็นเส้นตรงลอยออกไปจากนครอวี้ป่าน
เย่พู่ที่ยังคิดไม่ตก ความคิดในหัวแล่นเร็วจี๋ หลังจากชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียอย่างรวดเร็วแล้วก็เลือกที่จะไม่ลงมือ
ตลอดทั้งเมืองหลวง เดิมทีอยู่ในดินแดนแก้วใสที่หยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว กระตุกผมเส้นเดียวต้องสะเทือนทั้งร่าง พอป๋ายเริ่นกระแทกชนไปเช่นนั้นก็เกิดรอยร้าวเส้นหนึ่งทันที ต่อมาบริเวณโดยรอบรอยร้าวก็ปริแตกขยายออกไปอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายนครอวี้ป่านก็คล้ายว่ามีฝนเทกระหน่ำที่ส่องประกายแสงสว่างพร่างพราวตกลงมากะทันหัน
ค่ายกลที่แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินยังไม่อาจใช้หนึ่งกระบี่ผ่าได้ กลับแหลกสลายเพียงแค่แตะนิ้วเดียวง่ายๆ เช่นนี้
วิชาหมัด? ไม่เหมือน
จุดที่น่ากลัวที่สุดยังคงเป็นผู้ฝึกกระบี่หนุ่มตรงหน้าผู้นี้ คล้ายว่าจะไม่ได้จงใจร่ายเวทกระบี่ออกมาเลย
ในที่สุดเย่พู่ก็เริ่มสงสัยแล้วว่าเฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ยังใช่หมาเฝ้าประตูของกำแพงเมืองปราณกระบี่ตัวนั้นอีกหรือไม่
เฉินผิงอันยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เย่พู่ หากให้ข้าไปเอากระบี่ในหอด้วยตัวเอง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ถือว่ายืมแล้ว นั่นเรียกว่าแย่ง”
เย่พู่ยิ้มเจื่อน “ต่างกันด้วยหรือ?”
“ข้าจะนับถึงสิบ หลังจากนี้เกินครึ่งนครอวี้ป่านก็น่าจะไม่เหลือซากอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันผายฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา แสดงท่าทีชัดเจนว่าให้เย่พู่รีบทำเวลา “เจ้าควรจะรู้สึกโชคดีที่นครอวี้ป่านไม่ใช่นครเซียนจาน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เหลืออยู่แล้ว”
นครเซียนจาน ถูกเรียกขานว่าเป็นนครสูงอันดับหนึ่งของเปลี่ยวร้าง
นครนี้ตั้งอยู่ใกล้กับภาพมายาภูเขาแห่งสุดท้ายของยันต์สามภูเขาพอดี
เย่พู่ถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจ ฮ่องเต้ของราชวงศ์อวิ๋นเหวินคนนี้ ไม่เสียแรงที่เป็นคนมีนิสัยเห่อเหิมทะเยอทะยานเป็นอันดับหนึ่ง ถึงกับเป็นฝ่ายเปิดตราผนึก โคจรเวทลับ ถอนตราผนึกขุนเขาสายน้ำสิบแปดชั้นออกด้วยตัวเอง จากนั้นกวักมือ บังคับที่วางพู่กันปะการังแดงชิ้นหนึ่งที่เดิมทีลอยตัวอยู่กลางอากาศ กระบี่บินแต่ละเล่มที่รวมตัวกันเป็นค่ายกลกระบี่เหมือนพู่กันที่ถูกวางไว้ด้านบนนั้น
เย่พู่ผลักออกไปเบาๆ ผลักที่วางพู่กันปะการังแดงให้กับนักพรตประหลาดที่แปลงโฉมเป็นอิ่นกวาน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หวังว่า ‘สหายเฉิน’ จะสามารถออกไปจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้อย่างปลอดภัย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!