บนภูเขานอกภูเขา สองฝ่ายคุมเชิงกัน ต่างคนต่างร่ายวิชาอภินิหาร
คนผู้หนึ่งมาเยี่ยมเยือนถึงบ้าน อีกผู้หนึ่งรับรองแขกมอบของขวัญกลับคืน
ทางฝั่งของเฉินผิงอัน นักพรตชุดเขียวที่เดินออกมาจากกระท่อมไม้มาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังภูเขาทัวเยว่ ยืนอยู่บนยอดเขาของขุนเขาห้าสี ประหนึ่งเทพองค์หนึ่งที่ค้ำฟ้ายันดิน ในมือถือตราประทับอักษรน้ำซึ่งซุกซ่อนโชคชะตาน้ำของลำคลองเย่ลั่วเอาไว้สี่ส่วน ตรงเอวห้อยคาถาขอฝนที่มีประกายแสงเรืองรองเอาไว้หนึ่งบท
ด้านหลังกายธรรมนักพรตร่างสูงหมื่นจั้ง กายธรรมร่างทองที่อยู่ในรูปลักษณ์ของทวยเทพ สองแขนรัดพันด้วยมังกรเพลิง เท้าเหยียบอยู่บนป๋ายอวี้จิงจำลอง คือการจำแลงของสมบัติพิทักษ์ภูเขาของตำหนักอวี้ฝูในอดีต ธงเซียนกระบี่ที่ปักอยู่ในนครเสินเซียว ตราประทับห้าอัสนีถูกองค์เทพยกสูง บินทะยานไปลอยอยู่ตรงจุดที่สูงที่สุดของฟ้าดินเล็กนกในกรง เทพทั้งสามสิบหกองค์หลังจากที่ถูกเฉินผิงอันแต้มนัยน์ตาแล้ว พร้อมทั้งวิญญาณวีรบุรุษเซียนกระบี่ที่สวมชุดขาวเรือนกายล่องลอยสิบแปดคน ต่างก็พากันล่องลอยไปทั่วสี่ทิศในอาณาเขตของขุนเขาสายน้ำหกพันลี้ เปิดฉากสังหารผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่อยู่โดยรอบอาณาเขตของภูเขาทัวเยว่อย่างกำเริบเสิบสาน
หลังจากที่เทพสามสิบหกองค์พุ่งออกมาจากตราประทับอาคม ด้านหลังต่างก็มีนางอัปสรเหมือนในภาพวาดฝาผนังติดตามมาด้วย ล่องลอยดุจเซียน คิ้วของเหล่าเทพธิดาเรียวยาว ใบหน้าอิ่มเอิบ งามพิสุทธิ์หมดจด
บนศีรษะของพวกนางสวมมงกุฎ บนไหล่สวมผ้าคลุมหลากสี ตรงหน้าอกสวมสร้อยหยกและพลอย ต้นแขนสวมกำไล ด้านหลังมีเส้นยาวลักษณะคล้ายเปลวเพลิงถูกลากยาวตามมา เมฆหลากสีบินล้อมวน โปรยดอกไม้ปลิวปรายเต็มห้วงอากาศอันเวิ้งว้าง
ราวกับหิ่งห้อยกลุ่มใหญ่ที่พลันบินออกมาจากม่านราตรี ประกายแสงแวววาวพร่างพรายอย่างถึงที่สุด
ภาพที่ผู้ฝึกตนของนครเซียนจานสร้างขึ้นจากการพากันเผ่นหนีก่อนหน้านี้ เมื่อเทียบกับภาพนี้แล้วไม่มีค่าพอให้พูดถึงจริงๆ
ลู่เฉินนั่งยองอยู่ในลานประกอบพิธีกรรมดอกบัว เบื้องหน้ามีโต๊ะวาดภาพตัวเล็กวางอยู่ ด้านหนึ่งวาดภาพม้าวิ่งแห่งกาลเวลา ด้านหนึ่งก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “เป็นลางที่ดี เป็นบุญตาให้อิ่มตาเสียจริง”
เทพธิดานางอัปสรที่เป็นราวกับจิตวิญญาณยุคโบราณพวกนี้ ไม่เคยถูกวาดลงไปบนสี่ด้านของตราประทับอาคมมาก่อน ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน เป็นการเกิดขึ้นมาตามวงจรแห่งวิถีฟ้า
คือท่วงทำนองของวิถีฟ้าที่ยังหลงเหลืออยู่หลังหอบินทะยานแตกสลาย หมื่นปีไม่จางหาย คล้ายคลึงกับปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ที่ล้อมวนอยู่รอบกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่จากไปไหน หลังจากที่เฉินผิงอันแต้มนัยน์ตา เสริมมหามรรคาส่วนหนึ่งให้ครบถ้วน ถึงได้คล้ายกับเป็นคำสั่งให้พวกนางออกมา ก็เหมือนกับว่าได้ช่วงชิงพื้นที่แห่งหนึ่งในโลกมนุษย์ใหม่เอี่ยมในอีกหมื่นปีให้หลังมาให้กับพวกนาง
ยุคบรรพกาล ฟ้าดินมีหอบินทะยานอยู่สองแห่ง ที่ถ้ำสวรรค์หลีจู หยางเหล่าโถวเป็นผู้รับผิดชอบคอยนำพาบุรุษผู้เป็นเซียนดินให้เดินขึ้นสวรรค์กลายเป็นเทพ ส่วนหอบินทะยานที่ภูเขาทัวเยว่ แน่นอนว่ารับตัวสตรีเซียนดินที่ผลัดรกเปลี่ยนกระดูก ได้เลื่อนขั้นเป็นเทพ
ทางฝั่งของปีศาจใหญ่หยวนซง ร่างจริงถือหอกยาวสีทองที่หลอมมาจากโครงกระดูกของเทพเอาไว้ เวลานี้จิตหยินที่ออกจากช่องโพรงเดินทางไกล ข้างกายมีผู้ติดตามลักษณะคล้ายหุ่นเชิดอย่างดรุณีน้อยบนลำคลอง นางคล่องแคล่วเฉลียวฉลาด นางหันหลังให้กับเจ้านายและเฉินผิงอัน แม่น้ำยาวสีเขียวมรกตที่ซัดหลุนๆ เส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากชายแขนเสื้อของนาง ไหลกรูไปยังนักพรตชุดเขียว ใช้เวทน้ำปะทะกับเวทน้ำ
จิตหยางกายนอกกายของหยวนซงยืนถือค้อนยักษ์โชคชะตาเปลวเพลิงเล่มหนึ่งอยู่บนภูเขาที่สูงเป็นอันดับสองของภูเขาทัวเยว่ ด้านหน้าปรากฏเป็นกลองใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเปลี่ยวร้าง ใช้ค้อนตีกลอง ทุกครั้งที่เกิดเสียงดัง นครของป๋ายอวี้จิงจำลองซึ่งเป็นที่อยู่ของเทพร่างทองด้านหลังเฉินผิงอันก็คล้ายถูกฉีกกระชากดินแดนในห้วงจักรวาลไปแถบใหญ่ เกิดเป็นน้ำวนสีชาดลูกแล้วลูกเล่า ปราณวิญญาณฟ้าดินจำนวนนับไม่ถ้วนถูกเสียงกลองทุบให้แหลกลาญ เป็นเหตุให้ธงเทพเซียนที่อยู่ในนครส่ายสะบัดอย่างรุนแรง ส่งเสียงดังพึ่บพั่บ
เทพร่างทองที่สองแขนมีมังกรเพลิงเลื้อยล้อมวนทิ้งกายลงในนครเสินเซียว ใช้มือหนึ่งจับธงให้แน่น ขณะเดียวกันก็บังคับตราประทับห้าอสนีที่ลอยสูงอยู่บนม่านฟ้าชิ้นนั้น ลำแสงสีทองนับร้อยนับพันเส้นแผ่ออกมาจากบนตราประทับอาคม พริบตานั้นก็มีสายฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนฟาดเปรี้ยงลงพื้น หล่นลงบนภูเขาทัวเยว่ ระหว่างแผ่นดินกับท้องฟ้าราวกับว่ามีสะพานเดินขึ้นสวรรค์ซึ่งมีบันไดหลายพันขั้นถูกสร้างขึ้นมา
ลู่เฉินเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “น่าเสียดายที่การประลองเวทครั้งนี้มีแค่ผินเต้าที่ชมศึกอยู่คนเดียว”
ระหว่างฟ้าดินมีความงดงามใหญ่หลวงที่มิอาจพรรณนา การถือกำเนิดและการมอดดับของสรรพสิ่งต่างก็ซุกซ่อนไว้ด้วยธรรมชาติบนมหามรรคาที่มิอาจใช้ถ้อยคำมาบรรยายได้
ลู่เฉินเหลือบมองกระบี่ยาวที่เฉินผิงอันถืออยู่ในมือซ้าย ไม่เสียแรงที่เป็นกระบี่เพียงหนึ่งเดียวที่สูงกว่ากระบี่เซียนสี่เล่มอย่างไท่ป๋าย ว่านฝ่า เต้าจ้างและเทียนเจิน
สูงเหนือนอกฟ้า สูงจนสูงกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ครั้งนี้เฉินผิงอันมาถามกระบี่กับภูเขาทัวเยว่ เท่ากับเขาคนเดียวพกกระบี่มาฟันเปิดภูเขาลั่วพั่วเพียงลำพังถึงสามพันกว่าครั้ง
เรื่องแบบนี้ หากแพร่ออกไปย่อมไม่มีใครเชื่อ
ก็เหมือนบอกว่าสวนกงเต๋อแห่งศาลบุ๋นแผ่นดินกลางถูกคนพลิกค้นสามพันครั้ง ป๋ายอวี้จิงถูกคนทุบทำลายสามพันครั้ง ใครจะเชื่อ?
ต่อให้เป็นโครงร่างที่ว่างเปล่าแค่ไหน ต่อให้จะไม่มีผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่นั่งพิทักษ์ ก็ยังคงเป็นภูเขาทัวเยว่ ยังคงเป็นศาลบุ๋นและป๋ายอวี้จิง
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดถึงไม่อาจใช้หนึ่งกระบี่สังหารหยวนซง ฟันภูเขาทัวเยว่ให้แหลกสลายได้อย่างสิ้นเชิง เพียงแค่เหมือนปีนั้นตอนเป็นเด็กหนุ่มที่ใช้กระบี่เปิดมหาบรรพตสุ้ยซานแห่งแผ่นดินกลาง หนึ่งเพราะปีศาจใหญ่หยวนซงที่เป็นบินทะยานขั้นสูงสุดผสานมรรคากับภูเขาลูกนี้ มีเวทคาถาแปลกประหลาด สามารถทำให้ภูเขาทัวเยว่กลับคืนสู่สภาพเดิมได้หนึ่งหมื่นครั้ง นอกจากนี้ก็เป็นเพราะเวทกระบี่ของเฉินผิงอันยังคงไม่…ไร้เทียมทานได้มากพอ
เป็นเหตุให้ทั้งไม่อาจทำเหมือนเมื่อหมื่นปีก่อนที่เฉินชิงตูใช้หนึ่งกระบี่ทำลายหอบินทะยานอยู่ที่นี่ แล้วก็ไม่อาจเทียบกับหมื่นปีให้หลังที่บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ใช้ฝ่ามือผ่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ออกเป็นสองท่อน
ไม่มีทางเป็นเพราะกระบี่ยาวเล่มนั้นไม่คมมากพอ
แน่นอนว่าเจ้าเด็กเฉินผิงอันผู้นี้ต้องมีใจเห็นแก่ตัว เท่ากับว่าเอาภูเขาทัวเยว่มาหลอมกระบี่ พยายามจะปล่อยกระบี่ออกไปให้ได้หลายพันครั้ง กระทั่งถึงหมื่นกว่าครั้ง เอาเวทกระบี่ ปณิธานกระบี่ คาถากระบี่ที่ปะปนซับซ้อนของทั้งร่างมาหลอมอยู่ในเตาเดียวกัน สุดท้ายพยายามที่จะผสานเป็น…วิถีกระบี่บางเส้นของตัวเอง
คาดว่านี่คงเป็นการซ้อมมือเพื่อถามกระบี่ต่อป๋ายอวี้จิงในอนาคตกระมัง
ลู่เฉินสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงจากแรงกระแทกในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ของเฉินผิงอันก็อดไม่ไหวใช้เสียงในใจถามว่า “ได้รับบาดเจ็บแล้ว? แถมยังไม่เบาด้วย?”
ต้องเป็นเพราะกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งที่ผสานมรรคาด้วยเกิดปัญหาแน่นอน
นี่ก็เป็นเรื่องปกติ หากไม่เป็นเช่นนี้ เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็ไม่มีทางเผยกาย
แต่ในเมื่อเฉินชิงตูออกกระบี่อยู่ที่นั่นแล้ว ลู่เฉินไม่คิดว่าจะยังมีเรื่องไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้นอีก
ผู้ฝึกตน เพียงแค่เผยกายก็ราวกับว่าสามารถทำให้ทั้งฝ่ายศัตรูและฝ่ายตัวเองรู้สึกว่าเรื่องไม่คาดฝันทุกอย่างล้วนต้องหลบเลี่ยงหลีกทางไป หมื่นปีที่ผ่านมานี้ มีอยู่ไม่มาก
มีน้อยจนนับนิ้วได้
ลู่เฉินยอมรับว่าตอนนี้ตัวเองยังทำไม่ได้ ศิษย์พี่อวี๋โต้วก็ทำไม่ได้เช่นเดียวกัน
ขอบเขตสิบสี่และขอบเขตสิบห้า ถูกมองเป็นสองขอบเขตที่หายสาบสูญไปแล้วเสมอมา จึงไม่มีชื่อเรียกอะไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!