การแสดงออกบนมหามรรคาที่ลี้ลับเกินจะหยั่งเช่นนี้เป็นโอกาสที่หาได้ยาก สมดั่งคำว่าพันปีก็ยากจะพานพบอย่างแท้จริง ต่อให้จะเกิดความเข้าใจตระหนักรู้ได้แค่เสี้ยวเดียวก็เท่ากับว่าได้ก้าวเดินก้าวหนึ่งออกไปบนเส้นทางที่ผู้อื่นบุกเบิกมาได้สำเร็จ เมื่อมีก้าวแรกก็เท่ากับว่ามีทิศทางของมหามรรคาแล้ว
ดังนั้นเฉินผิงอันถึงได้ใช้กระบี่ยาวเย่โหยวมาหยั่งเชิงความจริงเท็จ
แล้วนับประสาอะไรกับที่ฟ้าดินด้านนอกมีกายธรรมร่างทองที่เท้าเหยียบอยู่บนป๋ายอวี้จิงจำลอง ขณะเดียวกันก็ควบคุมธงเซียนกระบี่และตราประทับเวทห้าอสนี นอกจากนี้ก็ยังมีนักพรตชุดเขียวที่คล้ายคลึงกับจิตหยินออกเดินทางไกลซึ่งคอยรับมือกับเวทน้ำที่ดรุณีน้อยบนลำคลองร่ายใช้อย่างไม่จบไม่สิ้น
ต่างก็ไม่ได้อยู่ว่าง
ลู่เฉินถาม “ด้านนอกยังประลองเวทคาถากันอยู่หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “หยวนซงกำลังฟันป๋ายอวี้จิงแล้ว”
ทุกครั้งที่หยวนซงปล่อยกระบี่ออกมาก็คือการนำหินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยกของตัวเอง
ป๋ายอวี้จิงยิ่งใหญ่เกินไปมากจริงๆ การไหลรินของมหามรรคาบางอย่างที่หลบซ่อนอยู่ในซอกลึก ต่อให้เฉินผิงอันจะเป็นเจ้าของผู้ที่หล่อหลอมมันก็ยังไม่อาจสำรวจตรวจสอบได้อย่างครบถ้วน บวกกับที่สายของเวทคาถาลัทธิเต๋านั้น เขาเองก็ไม่ได้เข้าใจมากนัก หลายๆ เรื่องแค่รู้ว่ามันคืออะไร แต่กลับไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น ก็เหมือนนักแกะสลักที่เป็นมนุษย์ธรรมดาล่างภูเขาที่สามารถแกะสลักตราประทับงดงามชิ้นหนึ่งได้ แต่แท้จริงแล้วกลับไม่กล้าบอกว่าตัวเองเข้าใจเนื้อแท้ที่อยู่ในหินหยกได้อย่างถ่องแท้
ดังนั้นแค่มั่นใจว่าสมบัติหนักตระกูลเซียนชิ้นนั้นจะไม่ถูกหยวนซงฟันจนย่อยยับก็พอแล้ว
ยิ่งหยวนซงสามารถใช้เวทกระบี่มารื้อถอนป๋ายอวี้จิงจำลองได้มากเท่าไร เฉินผิงอันก็ยิ่งสามารถนิ่งเฉยมองดูดายอยู่ข้างๆ ได้มากเท่านั้น
ความน่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือ วัตถุที่บรรพจารย์บุกเบิกภูเขาตำหนักอวี้ฝูใช้สร้างเลียนแบบคือป๋ายอวี้จิงเก่าของเมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว
ลู่เฉินนวดคลึงปลายคาง “แบบนี้ก็น่าประหลาดแล้ว”
หากหยวนซงยืนนิ่งไม่ขยับก็จะสามารถช่วยให้ภูเขาทัวเยว่ประคับประคองตัวอยู่ได้นานยิ่งกว่าเดิม
ไม่อย่างนั้นหากร่ายวิชาอภินิหาร ปล่อยเวทคาถาไปไม่หยุดยั้งก็มีแต่จะทำให้เฉินผิงอันได้ออกกระบี่ใส่ภูเขาทัวเยว่น้อยลงหลายสิบทีหรือถึงขั้นหลายร้อยที
เฉินผิงอันกล่าว “ปีศาจใหญ่หยวนซงย่อมหวังว่าจะได้เข่นฆ่าอย่างสาแก่ใจสักครั้ง อย่างเช่นใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวมาถามกระบี่กับผู้อื่น ส่วนคนผู้นั้นจะใช่ข้าหรือไม่ ไม่ได้สำคัญเลย ขอแค่ขอบเขตของอีกฝ่ายมากพอ เช่นว่าหากเปลี่ยนไปเป็นเซียนกระบี่ผู้อาวุโสฉี ไม่แน่ว่าเวลานี้ก็อาจจะเริ่มผลัดกันฟันกระบี่แล้ว”
อีกเดี๋ยวเมื่อตนออกไปจากที่นี่จะต้องทำให้ผู้ฝึกกระบี่หยวนซงสมความปรารถนาแน่
อยู่ดีๆ ลู่เฉินก็เอ่ยขึ้นว่า “สรุปแล้วเจ้าหมอนั่นกินปีศาจใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างที่มีพละกำลังเทียบเท่าราชาบนบัลลังก์ไปมากน้อยแค่ไหนกันแน่?”
เฉินผิงอันครุ่นคิด “เยอะมาก”
แล้วพูดย้ำอีกรอบ “เยอะมากๆ!”
หนึ่งในทางหนีทีไล่ของโจวมี่ก็คือคาดการณ์ได้แม่นยำว่าป๋ายเจ๋อจะต้องหวนกลับบ้านเกิด และยินยอมพร้อมใจจะสนับสนุนช่วยเหลือผู้ครองใต้หล้าในนามอย่างผู้ฝึกกระบี่เฝ่ยหราน ร่วมแรงกันคุมเชิงกับไพศาล
ต้องรู้ว่าจิตหยินของมหาสมุทรความรู้โจวมี่นั้นอยู่ที่ลู่ฝ่าเหยียนผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ที่ถูกเขากลืนกินมหามรรคา ส่วนจิตหยางกายนอกกายก็คือปีศาจใหญ่ป๋ายอิ๋งราชาบนบัลลังก์กระดูก นอกจากนี้ยังกินราชาบนบัลลังก์เก่าอย่างพวกเชี่ยอวิ้น หวงหลวน เหย้าเจี่ย ฯลฯ ไปรวดเดียวพร้อมกันด้วย
นี่ยังเป็นแค่ผลลัพธ์ที่โจวมี่เอามาวางไว้บนหน้าโต๊ะให้เห็นกันจะๆ เท่านั้น
หากไม่เป็นเพราะคาดการณ์ได้แม่นยำว่าป๋ายเจ๋อจะหวนกลับมายังเปลี่ยวร้าง คาดว่าด้วยกระเพาะของโจวมี่แล้วคงยังต้องแอบกินขอบเขตบินทะยานไปอย่างลับๆ มากกว่านี้
เรื่องแบบนี้ เกรงว่านอกจากโจวมี่แล้ว หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกตนใหญ่คนใดก็ตาม ต่อให้จะเป็นขอบเขตสิบสี่เหมือนกัน แต่ก็คงไม่มีใครทำได้อยู่ดี
ลู่เฉินทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “หากว่ากันในบางระดับแล้ว ไอ้หมอนี่ก็สามารถถือว่าเป็น…คนที่ตื่นเพียงคนเดียวได้จริงๆ”
ฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี ทั้งสามอย่างนี้จะขาดอย่างใดไปไม่ได้ อันดับแรกคือต้องได้รับการยอมรับโดยปริยายจากบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ก่อน ต่อมาคือต้องให้ขอบเขตของโจวมี่เองสูงมากพอ มีศักยภาพพอที่จะสังหารผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ได้
ข้อสุดท้าย แล้วก็เป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุด ยังคงเป็นการที่โจวมี่สามารถอาศัยความรู้สูงส่งเทียมฟ้าของตัวเองมาคลี่คลายภัยแฝงที่เกิดจากการปะทะกันบนมหามรรคาเหล่านั้นได้ โจวมี่ยังต้องแน่ใจว่าการกระทำของตนจะไม่เป็นการเนรคุณต่อสวรรค์ ไม่ถูกมหามรรคาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างรังเกียจทอดทิ้ง กลับกลายเป็นว่าทำลายศักยภาพของตัวเองลง…
มิฉะนั้นเหตุใดบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ถึงไม่ทำเรื่องนี้ด้วยตัวเองเล่า? เขาสามารถอาศัยสิ่งนี้มาก้าวออกไปครึ่งก้าวสุดท้าย มหามรรคาก็จะสมบูรณ์ไร้ช่องโหว่ กลายเป็นขอบเขตสิบห้าได้อย่างแท้จริง
ใช่ว่าไม่อยาก แต่เป็นเพราะทำไม่ได้
มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าโจวมี่ที่เดินขึ้นฟ้าไปแล้วจะยังมีวิธีการบางอย่างที่สามารถดึงเอาศักยภาพของบุคคล ‘ซี่โครงไก่’ ที่เขาพาไปยังสรวงสวรรค์ใหม่เหล่านั้นออกมา แล้วค่อยทำลายอีกฝ่ายทิ้งอย่างสิ้นซาก เพื่อให้ป๋ายเจ๋อได้ชดเชยความเสียหายบนมหามรรคาจากการปลุกพวกปีศาจใหญ่ที่จำศีลให้ฟื้นตื่น
ยกตัวอย่างเช่น…ชื่อจริงล้วนตกเป็นของป๋ายเจ๋อ?
ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันที่ผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่ง วิธีการที่เหนี่ยนซินคนเย็บผ้าช่วยให้เฉินผิงอันแบกรับชื่อจริงของเผ่าปีศาจ
ก็จะกลายมาเป็นการวางหมากที่สำคัญซึ่งไร้เหตุผลตาหนึ่ง
ขัดขวางป๋ายเจ๋อ ช่วงชิงชื่อจริง
พูดให้ถูกก็คือเป็นอิ่นกวานหนุ่มที่ยังอยู่บนโลกมนุษย์ขัดขวางโจวมี่องค์เทพที่ตัวอยู่นอกฟ้า
เส้นทางสะพานไม้เส้นหนึ่งคล้ายมีคนมาขวางทาง ตัดขาดการไหลรินของสายน้ำ ไม่ใช่ข้าแล้วจะยังมีใครทำได้อีก?
ลู่เฉินรู้สึกนับถือยิ่งนัก “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ลำคลองเย่ลั่ว ป๋ายเจ๋อไม่ได้ลงมือกับเจ้า ช่างเป็นมาดของยอดฝีมือที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันเอ่ย “หากเปลี่ยนจุดยืนกัน ข้าก็ไม่มีทางลงมือเหมือนกัน ขนาดข้ายังทำได้ อาจารย์ป๋ายก็ยิ่งต้องทำได้ ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร”
ลู่เฉินอึ้งงันไร้คำพูดไปพักใหญ่ เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าวาสนากับผู้อาวุโสของใต้เท้าอิ่นกวานได้มาจากไหน
ฝึกปรือจนเข้าขั้นชำนาญ ยอดเยี่ยมที่สุด อีกทั้งที่สำคัญที่สุดคือจริงใจอย่างมาก
ลู่เฉินลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนถามว่า “เฉินผิงอัน แท้จริงแล้วเจ้าไม่ได้ถนัดซ้าย ใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบัง “ตอนเป็นเด็กมีครั้งหนึ่งขึ้นเขาแล้วสะดุดล้ม มือขวาถูกกรีดเป็นแผล บาดแผลลึกถึงเส้นเอ็นและกระดูกต้องรักษานานร้อยวัน ไม่อาจใช้มือข้างนั้นทำงานได้เลยต้องใช้มือซ้ายทำงานยาวนานมากช่วงหนึ่ง ภายหลังเกิดเป็นความเคยชิน อีกทั้งการขึ้นรูปเครื่องปั้นก็พิถีพิถันในเรื่องมือสองข้างที่ต้องสมดุลกัน จึงพูดไม่ได้ว่าข้าถนัดซ้ายหรือถนัดขวา”
ทัศนียภาพที่งดงาม สมุนไพรที่มีราคา ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายเสมอ
ลู่เฉินอับจนคำพูดไปอย่างสิ้นเชิง “เจ้าเกินไปหน่อยแล้วจริงๆ นะ…”
มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าการปล่อยหมัดและออกกระบี่ด้วยมือขวาของเฉินผิงอัน เขาไม่เคยออกแรงเต็มที่อย่างแท้จริงมาก่อน ต่อให้เคยทำมาก่อน แต่อยู่ในสายตาของคนนอกแล้วก็ต้องอำพรางได้ดีเยี่ยมมาโดยตลอด
ดังนั้นการ ‘ถนัดซ้าย’ ที่เฉินผิงอันอำพรางมาได้อย่างยอดเยี่ยม แท้จริงแล้วก็คือเวทอำพรางตาอีกชั้นหนึ่ง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ได้ส่งผลกระทบกับใครสักหน่อย”
หวนนึกถึงปีนั้น เด็กหนุ่มรองเท้าแตะของตรอกหนีผิง ตอนนั้นที่เดินผ่านแผงดูดวงของตน มองแล้วช่างเป็นเด็กใสซื่อบริสุทธิ์ยิ่งนัก ยามพูดคุยกับคนอื่นก็ไม่เคยเอ่ยถ้อยคำแปลกแปร่งระคายหูแม้แต่ครึ่งคำ
แต่เวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ เรื่องหลงใหลในทรัพย์สินก็ยังคงเดิม
อันที่จริงหากสืบเสาะให้ลึกลงไป ลู่เฉินกลับไม่รู้สึกประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงของเฉินผิงอัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!