ครั้งนั้นติดตามหอบินทะยาน ‘บินทะยาน’ ไป คนที่ได้รับประโยชน์สูงสุดคือสวี่หุนแห่งนครลมเย็นที่สวมเสื้อเกราะโหวจื่อ แม้จะแค่ฝ่าทะลุขอบเขตขั้นเดียว แต่กลับได้เลื่อนจากก่อกำเนิดเป็นหยกดิบ
ทว่าคนที่น่าเสียดายมากที่สุดก็คือหลิวป้าเฉียวที่เดินขึ้นสู่ทะเลเมฆ ได้มองเห็นประตูใหญ่พร้อมกับสวี่หุน
อันที่จริงขาดอีกนิดเดียวเขาก็จะมีโอกาสได้เลื่อนขอบเขตติดต่อกันสองขั้น สร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ ทว่าทั้งๆ ที่หลิวป้าเฉียวได้ก้าวออกไปก้าวใหญ่แล้ว ไม่รู้ทำไมถึงได้ถอยกลับมาก้าวเล็กๆ อีกหนึ่งก้าว
หลิวป้าเฉียวสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย ทอดถอนใจอย่างอดไม่อยู่
หลังจากที่ศิษย์พี่เดินทางไกลไปยังเปลี่ยวร้าง สวนลมฟ้าก็มีผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดอย่างเขาแค่คนเดียวแล้ว
หลิวป้าเฉียวไม่ถนัดที่จะจัดการดูแลกิจธุระทั้งหลาย งานทุกอย่างจึงยกให้พวกลูกศิษย์และศิษย์หลานไปดูแล ซ่งเต้ากวง ไจ้เสียง สิงโหย่วเหิง หนันกงซิงเยี่ยน ผู้ฝึกกระบี่สี่คนนี้ต่างก็อายุน้อยมาก โอสถทองสองคนอายุไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ อีกคนหนึ่งเป็นประตูมังกร และอีกคนที่เป็นชมมหาสมุทรก็ย่อมอายุน้อยยิ่งกว่า
หากไม่ผิดไปจากที่คาด ตัวเลือกเจ้าสำนักของสวนลมฟ้าคนถัดไปก็จะต้องเลือกมาจากคนรุ่นเยาว์สี่คนนี้
ส่วนหลิวป้าเฉียวที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิด เขาทั้งไร้ใจแล้วก็ไร้กำลัง
บางครั้งหลิวป้าเฉียวก็นึกอยากจะเอาขอบเขตของตนยกให้กับเจ้าเด็กสิงโหย่วเหิงนั่นนัก
ขอแค่ทำได้ หลิวป้าเฉียวจะทำโดยไม่ขมวดคิ้วแม้แต่ครั้งเดียว
แน่นอนว่าอย่าเห็นว่าเวลาปกติสิงโหย่วเหิงเอ้อระเหยลอยชาย แท้จริงแล้วเขาเองก็เหมือนกับศิษย์พี่ที่เย่อหยิ่งโอหังอย่างมาก ไม่มีทางรับไว้แน่นอน
ส่วนพวกตาแก่ทั้งหลายของสวนลมฟ้าที่นิสัยดุร้าย พูดจาไม่น่าฟัง กลับไม่มีความคิดเห็นกับเรื่องนี้ แค่ตั้งใจฝึกกระบี่อย่างเดียวเท่านั้น ช่วงชิงอำนาจไขว่คว้าผลประโยชน์? นับตั้งแต่ที่สวนลมฟ้าก่อตั้งมาก็ไม่มีคำกล่าวเช่นนี้มาก่อน
หากพวกผู้เฒ่าเจอกับหลิวป้าเฉียวโดยบังเอิญก็จะด่าอย่างไม่ไว้หน้า ไม่เลอะเลือนเลยแม้แต่น้อย หากไม่ทันระวัง แม้แต่หลี่ถวนจิ่งอดีตเจ้าสำนักก็ยังเดือดร้อนโดนด่าไปด้วย
ก็แค่ว่าพวกเขาเอาชนะหลิวป้าเฉียวไม่ได้ หรือไม่ควรจะบอกว่าไล่ตามหลิวป้าเฉียวที่ขี่กระบี่หนีไม่ทัน ไม่อย่างนั้นก็คงถอดพื้นรองเท้าเอาไปวางไว้บนหน้าหลิวป้าเฉียวแล้ว
ถึงอย่างไรทุกครั้งที่ผู้อาวุโสเหล่านี้ฝึกกระบี่ได้ไม่ราบรื่นก็จะต้องไปหาหลิวป้าเฉียวที่ขัดหูขัดตา ในเมื่อขัดหูขัดตา ไม่ไปด่าเขาถึงบ้านสักสองสามประโยคจะไม่เสียเปล่าแย่หรอกหรือ
ในฐานะหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของแจกันสมบัติทวีป ลำดับรายชื่อของหลิวป้าเฉียวกลับถดถอยลงมาเรื่อยๆ ไม่หยุด ตอนแรกก็เป็นเซี่ยหลิงแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียนที่ตามมาทัน ภายหลังก็ถูกอาจารย์ลุงของหม่าขู่เสวียน อวี๋สืออู้ผู้ฝึกตนสำนักการทหารเบียดให้ไปอยู่ข้างหลัง
‘ป้าเฉียวอ่า จะให้ข้าเรียกเจ้าว่านายท่านใหญ่หลิวก็ได้นะ คนรุ่นเยาว์สิบคน คนรุ่นเยาว์สิบคน มีแค่สิบคนนะ ไม่ใช่ร้อยคน’
‘อาจารย์ลุงพูดผิดแล้ว ข้ายังสามารถถอยไปอยู่ตัวสำรองสิบคนได้อีกนะ’
ผู้เฒ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี ‘ตั้งใจฝึกกระบี่หน่อยได้ไหม? ก็แค่ก่อกำเนิดที่ต้องเลื่อนเป็นหยกดิบไม่ใช่หรือ เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว หากเปลี่ยนให้อาจารย์ลุงอย่างข้าที่เป็นก่อกำเนิด…’
หลิวป้าเฉียวรีบประจบเอาใจอาจารย์ลุงขอบเขตโอสถทองผู้นั้นทันที ‘เป็นก่อกำเนิดอะไร หากอาจารย์ลุงเป็นขอบเขตหยกดิบยังอยุติธรรมกับท่านเลย’
‘เจ้าตะพาบน้อย รีบยื่นหน้ามาเสียดีๆ อาจารย์ลุงคันมือแย่แล้ว’
หลิวป้าเฉียวตอบตกลงกับศิษย์พี่ไว้แล้วว่าจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนภายในร้อยปี
หากศิษย์พี่ไม่สามารถกลับมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ หลิวป้าเฉียวยังต้องพยายามเลื่อนขั้นให้เป็นขอบเขตเซียนเหริน หากทำสำเร็จก็ถือว่าเขามีคำอธิบายที่พอฟังขึ้นให้กับสวนลมฟ้าแล้ว
หลิวป้าเฉียวสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที หันหน้าไปมองทิศไกล
ซูเจี้ยได้สถานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ภูเขาตะวันเที่ยงกลับคืนมาแล้ว
ได้ยินว่าดูเหมือนนางจะไปอยู่บนภูเขาเดียวดายเล็ก แต่ก็ไปที่ยอดเขาจูอวี๋ด้วย
นอกจากฝึกกระบี่แล้ว หลิวป้าเฉียวก็มักจะแอบลงจากภูเขาไปเป็นระยะ ไปยังร้านหนังสือที่อยู่ในเมืองของแคว้นเล็กใต้อาณัติราชวงศ์จูอิ๋งเก่าร้านนั้น คนที่ขายหนังสือเคยเป็นหญิงสาวที่รูปโฉมธรรมดาคนหนึ่ง นางในเวลานั้นชื่อว่าเหอเจี๋ย
หลังจากนางจากไป หลิวป้าเฉียวก็ซื้อร้านหนังสือเอาไว้ แล้วเก็บทุกอย่างไว้ดังเดิมไม่ไปแตะต้อง
ต่อให้ทุกครั้งจะเพียงแค่ไปมองร้านที่ประตูถูกปิดเอาไว้ ไม่ได้เปิดประตูเดินเข้าไปข้างใน หลิวป้าเฉียวก็ยังสบายใจขึ้นได้หลายส่วน
ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ เรื่องของการฝึกกระบี่ ดูเหมือนว่าเมื่อก่อนจะทำไปเพื่อไม่ให้อาจารย์ผิดหวัง ภายหลังเพื่อไม่ให้ศิษย์พี่ดูแคลนมากเกินไป ทุกวันนี้ก็เพื่อสวนลมฟ้า แล้วหลังจากนี้ล่ะ?
หลิวป้าเฉียวไม่รู้
ดูเหมือนว่าจะมีเพียงชอบสตรีผู้นั้นเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นตราบจนวันสุดท้าย
น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือศีรษะของหลิวป้าเฉียว “นี่ เซียนกระบี่ใหญ่หลิว คิดถึงใครอยู่หรือ?”
หลิวป้าเฉียวโน้มตัวไปด้านหน้า เงยหน้าขึ้น เห็นบุรุษชุดเขียวคนหนึ่งนั่งอยู่ริมชายคา ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้า น่าเตะยิ่งนัก
“โอ้ นี่มันเซียนกระบี่ใหญ่เฉินไม่ใช่หรือ โชคดีที่ได้พบ โชคดีที่ได้พบ”
หลิวป้าเฉียวรีบโบกมือทักทาย “ระวังหน่อยนะ นิสัยของผู้ฝึกกระบี่สวนลมฟ้าของพวกเราไม่ค่อยดี คนนอกบุกเข้ามาในที่แห่งนี้โดยพลการ ระวังจะถูกล้อมฟันกระบี่ใส่เล่า”
กับเฉินผิงอันไม่จำเป็นต้องวางตัวห่างเหินอะไร
แล้วนับประสาอะไรกับที่สวนลมฟ้าเองก็ไม่มีพิธีรีตองยิบย่อยในการต้อนรับแขกอยู่แล้ว
ถึงอย่างไรตลอดทั้งปีก็มีแขกอยู่แค่ไม่กี่คน เพราะสหายของผู้ฝึกกระบี่สวนลมฟ้ามีไม่มาก ถึงอย่างไรคนที่ดูแคลนไม่เห็นอยู่ในสายตาก็มีมากกว่า
เฉินผิงอันกระโดดเบาๆ ลงมาจากหลังคา เดินก้าวหนึ่งก็ขึ้นมาอยู่บนราวระเบียง โยนเหล้ากาหนึ่งให้กับหลิวป้าเฉียว คนทั้งสองนั่งลงบนราวรั้วพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
หลิวป้าเฉียวแหงนหน้ากระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ ยกชายแขนเสื้อเช็ดปาก ยิ้มเอ่ยว่า “อันที่จริงห่างจากคราวก่อนที่พบกันก็แค่ไม่กี่ปีเท่านั้น เวลายี่สิบสามสิบปีบนภูเขาจะนับเป็นอะไรได้ แต่ทำไมถึงได้รู้สึกว่าพวกเราสองคนไม่ได้เจอกันมานานมากแล้วเลยล่ะ”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยสัพยอก “เกือบจะจำเจ้าไม่ได้แล้วเชียว ทำไม ตอนนี้พวกเทพธิดาของแจกันสมบัติทวีปต่างก็ชื่นชอบบุรุษปล่อยตัวกันแล้วหรือ?”
หลิวป้าเฉียวยิ้มหน้าทะเล้น “ลมใบไม้ร่วงพัดเอวบางของหลิวหลาง (หลางเป็นคำเรียกแทนบุรุษ) ยากจะเลี้ยงเนื้ออ้วนฤดูใบไม้ร่วง (หลังจากเข้าฤดูใบไม้ร่วง ชาวบ้านจะต้องใช้วิธีการตุ๋นเนื้อเพื่อชดเชย ‘เนื้ออ้วน’ ของบนร่างที่หายไปตอนฤดูร้อนกลับมา) กลับมาได้อีกอย่างไรเล่า”
หลิวป้าเฉียวนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จึงกดเสียงต่ำเอ่ยว่า “เจ้าต้องระวังไว้หน่อยจริงๆ นะ ที่แห่งนี้ของพวกเรามีแม่นางน้อยคนหนึ่งชื่อหนันกงซิงเยี่ยน รูปโฉมงามสะคราญ ทว่านิสัยกลับฉุนเฉียวดุร้ายไปสักหน่อย คราวก่อนชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ ดวงตาสองข้างของแม่นางน้อยเป็นประกาย ทุกวันนี้นางจะต้องมีคำพูดที่พูดติดปากอยู่ทุกวัน นั่นคือ ‘ใต้หล้านี้ถึงกับมีบุรุษที่หล่อเหลาสง่างามถึงเพียงนี้ด้วยหรือ?!’ เซียนกระบี่เฉิน ต้องถามเจ้าแล้วว่ากลัวหรือไม่?”
เฉินผิงอันไม่สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด เขาเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าศิษย์พี่ของเจ้าจะไปที่เปลี่ยวร้างแล้ว ทุกวันนี้อยู่ที่ท่าเรือรื่อจุ้ย ถูกชะตากับเหวยอิ๋งแห่งสำนักกุยหยกมาก”
ได้ยินว่าหวงเหอหยุดอยู่ที่ซากปรักกำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงไม่นาน พูดคุยกับเว่ยจิ้นผู้ฝึกกระบี่บ้านเดียวกันสองสามประโยคก็ไปที่รื่อจุ้ยทันที แต่พอหวงเหอไปถึงท่าเรือก็บอกกับผู้ฝึกตนที่เฝ้าท่าเรืออย่างชัดเจนว่า เขาจะใช้สถานะของผู้ฝึกตนอิสระมาออกกระบี่เพียงลำพัง แต่ภายหลังดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนใจแล้ว รับหน้าที่เป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่ไม่ได้บันทึกชื่อของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีกองหนึ่งเป็นการชั่วคราว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!