นอกจากนี้ศึกที่ภูเขาทัวเยว่ ลำพังเพียงแค่ปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินก็มีถึงสามตนแล้ว ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบและขอบเขตเซียนดินแน่นอนว่าต้องมีมากยิ่งกว่า
แต่เผ่าปีศาจเซียนเหรินตนหนึ่งในนั้นได้ถูกผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งเอาชีวิตมาแลก
ลู่เฉินตัดภาพม้าวิ่งแห่งกาลเวลามาส่วนหนึ่ง ‘รูปและเสียง’ ของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจเหล่านั้นล้วนถูกเจ้าลัทธิลู่นำมาทำเป็นภาพเหมือนหลายภาพ
แต่ลู่เฉินก็ดีรู้ถึงแผนการของเฉินผิงอัน จึงเฉลี่ยคุณความชอบทางการสู้รบทั้งหมดนอกเหนือจากปีศาจใหญ่หยวนซงให้กับสำนักกระบี่หลงเซี่ยงของฉีถิงจี้และนครบินทะยานของหนิงเหยา
ผลงานทางการสู้รบที่เรียกได้ว่าสร้างความตะลึงพรึงเพริดให้กับผู้คนเหล่านี้ ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางจะต้องจดลงบันทึกเอกสารเอาไว้อย่างละเอียด
เฉินผิงอันไปหากลุ่มของหม่าขู่เสวียนและอวี๋สืออู้ก่อน
อวี๋สืออู้กุมหมัดยิ้มเอ่ย “คารวะเจ้าขุนเขาเฉิน”
นอกจากอวี๋สืออู้แล้ว คนอื่นๆ ล้วนไม่มีความเคลื่อนไหว
ลูกศิษย์คนแรกและสาวใช้ของหม่าขู่เสวียนนั้นไม่กล้าเปิดปากพูด
ส่วนลูกศิษย์คนสุดท้ายของหม่าขู่เสวียนนั้นเป็นเพราะยังไม่แน่ใจในสถานะของ ‘นักพรต’ ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะอวี๋สืออู้กลับคืน
ก็เหมือนอย่างที่หม่าขู่เสวียนว่าไว้ เฉินผิงอันเกิดความกริ่งเกรงต่อคนผู้นี้เมื่อตอนที่พบกันครั้งแรกที่ศาลของลำน้ำใหญ่จริงๆ
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่พกมีดผ่าฟืนไว้ตรงเอวพลันก้าวออกมาหนึ่งก้าว ถามว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน ภูเขาลั่วพั่วของพวกท่านยังรับลูกศิษย์อีกหรือไม่?”
ผลคือถูกหม่าขู่เสวียนเตะก้นจนเขาหน้าทิ่ม เด็กหนุ่มเองก็ไม่ถือสา เอาฝ่ามือข้างหนึ่งปัดพื้นเบาๆ พลิกตัวกลับมาเหยียบพื้นอีกครั้ง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนี้ยังไม่รับลูกศิษย์”
เด็กหนุ่มยังคงไม่ถอดใจ ถามว่า “ช่วยเก็บตำแหน่งไว้ให้ข้าก่อนสักตำแหน่งได้ไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
หม่าขู่เสวียนกดหัวของลูกศิษย์คนสุดท้าย หัวเราะร่าเอ่ยว่า “คนคนหนึ่งมักจะไม่ค่อยสนใจเงาของตัวเองเท่าใดนัก ต่อให้เหยียบลงบนเงาก็ยังไม่สนใจ คนบนภูเขามักอยู่อย่างเดียวดาย ถือเป็นเรื่องเล็กที่ไม่เจ็บไม่คัน”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วน้อยๆ ดูเหมือนจะเดาไม่ออกว่าหม่าขู่เสวียนต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ จึงไม่ต่อบทสนทนา เพียงแค่หันหน้าไปถามอวี๋สืออู้ “ต่อจากนี้พวกเจ้าจะไปที่ไหน?”
อวี๋สืออู้ยิ้มกล่าว “คิดว่าจะไปดูที่นครสูงซึ่งจวี้จื่อแห่งสำนักโม่เป็นผู้สร้างเสียหน่อย”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ไปหาเว่ยจิ้นและเฉาจวิ้น
เว่ยจิ้นใช้เสียงในใจเล่าเรื่องของผู้อาวุโสจงหยวนให้ฟัง
เฉินผิงอันมีสีหน้าเคร่งขรึม พยักหน้าเอ่ย “โชคดีที่ปณิธานกระบี่หลายกลุ่มนั้นถูกท่านคว้ามาไว้ในมือได้ ไม่อย่างนั้นจะเป็นปัญหายุ่งยากมาก ยุ่งยากอย่างมาก!”
เว่ยจิ้นถาม “เปลี่ยนใจกลางคัน ไม่ไปที่สนามรบแห่งนั้นแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “คอยอ้อมเส้นทางอยู่ตลอด สุดท้ายไปเยือนภูเขาทัวเยว่มารอบหนึ่ง”
เว่ยจิ้นชี้ไปที่ดวงจันทร์ใหญ่บนท้องฟ้า ยิ้มถาม “สุดท้ายก็เลยสร้างเรื่องอึกทึกครึกโครมถึงเพียงนี้?”
เฉินผิงอันยิ้มรับ
เฉาจวิ้นถามโพล่งขึ้นมาว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน ช่วยบอกกันสักคำ หากข้ามาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เร็วกว่านี้ สรุปแล้วจะเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเหตุใดเฉาจวิ้นถึงได้ถามเรื่องนี้ คิดดูแล้ว ก็ยังให้คำตอบที่จริงใจ “นิสัยฉุนเฉียวขี้หงุดหงิดเกินไป เข้าไปอยู่ไม่ได้หรอก”
ไม่ใช่ว่าสติปัญญาของเฉาจวิ้นไม่มากพอ แต่เป็นเพราะสนามรบที่คฤหาสน์หลบร้อนเป็นผู้บัญชาการณ์ตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น การจัดขบวนรบการวางกลยุทธ์ในแต่ละครั้ง มีจุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียว นั่นคือแสวงหาคุณความชอบทางการสู้รบที่ใหญ่ที่สุดโดยใช้ความเสียหายทางการสู้รบที่เล็กน้อยที่สุดมาแลก สามารถถ่วงเวลาการทำสงครามได้นานยิ่งขึ้น พยายามถ่วงเวลาเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ยื้อได้หนึ่งวันก็คือหนึ่งวัน หากเปลี่ยนมาเป็นสนามรบที่พลังการต่อสู้สูสีกัน ด้วยนิสัยที่ชอบเสี่ยงอันตรายของเฉาจวิ้นแล้ว เกินครึ่งต้องได้สร้างผลงานอย่างแน่นอน แต่เมื่อเทียบกับพวกหลินจวินปี้ เสวียนเซินแล้ว เฉาจวิ้นต้องยังด้อยกว่าอยู่ไม่น้อย
หลังจากที่เฉินผิงอันหวนกลับบ้านเกิดก็ได้ตั้งใจทำความเข้าใจกับนิสัยและลักษณะการนำทัพของเมล็ดพันธ์แม่ทัพอย่างหลิวสวินเหม่ยและคนร่วมบ้านเกิดอย่างเฉาจวิ้นโดยการสอบถามเอาจากเว่ยเซี่ยน เนื่องจากเว่ยเซี่ยนและเฉาจวิ้นที่อยู่ในกองทัพของต้าหลีต่างก็เคยติดตามอยู่ข้างกายหลิวสวินเหม่ย แม้ว่าคนทั้งสองต่างก็สวมยศผู้ฝึกตนติดตามกองทัพ ทว่าในความเป็นจริงแล้วพวกเขาต่างก็เคยได้เป็นผู้นำของกองทัพม้ากองหนึ่ง ซึ่งก็ถือว่าหลิวสวินเหม่ยใช้คนโดยไร้ข้อกังขา เกี่ยวกับสหายร่วมงานอย่างเฉาจวิ้น เว่ยเซี่ยนได้ใช้คำกล่าวว่าเชี่ยวชาญเรื่องขาในกระโปรง ความหมายคร่าวๆ ก็คือมีทั้งข้อดีและข้อเสีย หากพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือทำสงครามอย่างสุ่มเสี่ยง แต่หากพูดให้ไม่น่าฟังก็คือใช้วิธีการชั่วร้ายเลวทราม เพื่อคุณความชอบทางการสู้รบแล้วก็ยอมทุ่มทุกอย่าง แน่นอนว่าเฉาจวิ้นเองก็พาตัวไปอยู่ทัพหน้าเช่นกัน
เฉาจวิ้นถาม “ตอนอยู่ที่ภูเขาทัวเยว่ได้จัดการกับปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานหรือไม่?”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเฉาจวิ้นที่พยายามหาเรื่องชวนคุย แค่หยิบเหล้าออกมาสองกา ยื่นส่งให้เว่ยจิ้นหนึ่งกา
เฉาจวิ้นยื่นมือออกมา “เจ้าขุนเขาเฉินอย่าลำเอียงสิ”
เฉินผิงอันใช้ศอกถองฝ่ามือของเฉาจวิ้นกลับไป ถามเว่ยจิ้นว่า “เคยได้ยินชื่อฮุ่ยถิงผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจของสำนักหงเย่หรือไม่?”
เว่ยจิ้นพยักหน้า “แน่นอน แต่ดูเหมือนว่าระหว่างศึกใหญ่คราวก่อน เขาจะไม่ได้ปรากฏตัว ว่ากันว่ารักษาอาการบาดเจ็บจากขอบเขตที่ถดถอยอยู่ในสำนักบนภูเขา”
เฉินผิงอันยกนิ้วโป้งเช็ดมุมปาก ยิ้มเอ่ย “ครั้งนี้ข้าได้ถือโอกาสสังหารเขาไปพร้อมกันด้วย”
เว่ยจิ้นเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก ยกกาเหล้าขึ้นชนกับเฉินผิงอันเบาๆ
มีเพียงผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้นถึงจะรู้ว่าผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจคนนั้นสมควรตายมากเพียงใด
เว่ยจิ้นยิ้มถาม “ออกเดินทางไกลครั้งนี้ก็ ‘หยุดแต่พอสมควร’ อีกแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันหัวเราะ “ก็แค่พอถูไถ ถือโอกาสจูงแพะกลับมาด้วย พอจะมีผลเก็บเกี่ยวเล็กๆ น้อยๆ”
เว่ยจิ้นเอ่ยสัพยอก “หากเปลี่ยนข้าไปเป็นบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ จะต้องเสียใจภายหลังแน่ที่เคยเอ่ยประโยคนี้”
เฉินผิงอันพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว”
เฉาจวิ้นรู้สึกจนใจเล็กน้อย ไม่มีที่ให้เขาพูดแทรกเลยจริงๆ สำนักกระบี่หงเย่อะไรกัน แค่ชื่อยังไม่เคยได้ยินมาก่อน แล้ว ‘หยุดแต่พอสมควร’ ล่ะมาจากเรื่องเล่าอะไร? บรรพบุรุษใหญ่เปลี่ยวร้างพูดประโยคนี้กับเฉินผิงอันทำไม?
ตอนที่อยู่เมืองหลวงราชวงศ์อวิ๋นเหวิน เฉินผิงอันได้ค่ายกลกระบี่ชุดหนึ่งที่เป็นจุดศูนย์กลางของค่ายกลปกป้องนครมาจากมือของเย่พู่ฮ่องเต้ที่มีฉายาว่า ‘ตู๋ปู้’ ค่ายกลกระบี่ชุดนี้มีกระบี่บินขนาดจิ๋วสิบสองเล่ม เหมือนเอาวางไว้บนที่วางพู่กันปะการังแดง ดังนั้นหากจะพูดให้ถูกต้องก็ต้องบอกว่าเป็นอาวุธเซียนสองชิ้น
ตอนนั้นเย่พู่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ รู้สึกว่าสามารถเล่นงานเฉินผิงอันได้ เพียงแต่คิดคำนวณมาแล้วพันหมื่นตลบก็คำนวณไม่ถึงว่า ‘สหายเฉิน’ ที่สวมชุดคลุมเต๋าผ้าโปร่งสีเขียว สวมกวานดอกบัว แต่กลับโกหกบอกว่าตัวเองคืออิ่นกวานผู้นั้น ไม่เพียงแต่เป็นเฉินผิงอันตัวจริง อีกทั้งข้างกายยังมีเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงติดตามมาด้วย ถึงกับสามารถแก้ค่ายกลได้ กลายเป็นว่าเขาเอาซาลาเปาขว้างหัวหมา มีแต่ไปไม่มีกลับ
ก่อนหน้านี้ฟังลู่เฉินเล่าให้ฟังว่า ในบรรดาชื่อของลูกหลานในตระกูลของเจ้าหอหลินหลางหนึ่งในห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิง ส่วนใหญ่มักจะมีคำว่า ‘จือ’ ต่อท้าย หากเฉินผิงอันยินดีตัดใจมอบที่วางพู่กันปะการังแดงชิ้นนี้ออกไป ราคาสามารถเพิ่มขึ้นสูงจากราคาแท้จริงได้อีกหนึ่งเท่าตัว
ตัวอักษรจือต่อท้าย
ตระกูลเหยากองทัพชายแดนของราชวงศ์ต้าเฉวียน เหยาจิ้นจือ เหยาเซียนจือ เหยาหลิ่งจือ ล้วนมีอักษรคำว่า ‘จือ’
ส่วนหญิงชราของนครเซียนจาน ผีปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่มีฉายาว่าฉงโอว นางคือบรรพจารย์ของเสวียนผู่ อาจารย์ของอูถี ทว่าร่างจริงของนางกลับเป็นแค่ยุงตัวหนึ่ง
ตอนนั้นนางถูกบีบให้ต้องทิ้งแส้ปัดฝุ่นหางกวางที่ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัด มีระดับขั้นเป็นอาวุธเซียนชั้นสูงอย่างสมชื่อ ใช้ตัวอักษรเหนี่ยวจ้วนแกะสลักสองคำว่า ‘ฝูเฉิน’ นอกจากนี้คนที่กล้าตั้งชื่อแบบนี้ย่อมมิอาจดูแคลนได้ ยกตัวอย่างเช่นสำนักใบถงของใบถงทวีป ขุนเขาใหญ่ชิงซานแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
แส้ปัดฝุ่นชิ้นหนึ่ง ด้ามไม้ยาวเป็นสีม่วงอมแดง เส้นด้ายสีขาวหิมะสามพันหกร้อยกว่าเส้นไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุอะไร ห้อยห่วงสีทองอันเล็กไว้ด้านล่างแส้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!