เฉินผิงอันมาที่อาณาเขตทางเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นอกจากเส้นทางสายหนึ่งที่ศาลบุ๋นบุกเบิกขึ้นใหม่แล้ว ทางสายอื่นๆ ที่เหลือล้วนราบเป็นหน้ากลอง ทอดสายตามองไปไกลก็ไม่เหลือสิ่งใดสักอย่าง
ลู่เฉินเผยกาย เดินเล่นเคียงบ่ากับเฉินผิงอันไปบนเส้นทางที่ไม่มีคำว่าทัศนียภาพใดๆ ให้พูดถึง
นครแห่งหนึ่งที่ผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ ร้านเหล้าตั้งเรียงราย และจวนเซียนกระบี่นอกเมืองที่กระจัดกระจายไปตามจุดต่างๆ ล้วนไม่หลงเหลืออยู่แล้ว
หอเซียนปลูกต้นอวี๋เคยมีเซียนกระบี่หญิงคนหนึ่งที่ชอบปลูกดอกไม้ ไหว้วานให้หอหลิงจือภูเขาห้อยหัวทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อต้นอวี๋โบราณมาจากฝูเหยาทวีป ย้ายมาปลูกในเมืองเล็ก คงเป็นเพราะน้ำและดินไม่ถูกกัน จึงมิอาจทนรับปราณกระบี่ที่มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งได้ แห้งเหี่ยวโรยรามานานหลายปี คิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ ปีหนึ่งก็พลันมีบุปผาเบ่งบาน สูงเหนือหลังคาบ้าน งดงามจนมิอาจบรรยาย
เพียงแต่รอกระทั่งเซียนกระบี่ขู่เซี่ยแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้หวนกลับคืนมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครั้ง ทั้งสตรีและดอกไม้ต่างก็ไม่อยู่แล้ว
คลังเจี่ยจ้างที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยอาศัยคุณความชอบในการสู้รบแลกเปลี่ยนมา เรือนว่านเฮ้อที่ลี่ไฉ่เช่าไว้ ทุกครั้งที่เจอกับแสงจันทร์ก็จะมีเสียงต้นสนดังซู่ๆ ดุจเสียงคลื่น รวมไปถึงหอถิงอวิ๋นที่นางจ่ายเงินซื้อมาไว้ ตลอดทั้งหอเรือนถึงกับแกะสลักมาจากหยกก้อนใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่ง
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง ขยุ้มดินเล็กน้อยมาขยี้
ลู่เฉินได้มอบกวานดอกบัวกลับคืนไปให้อิ่นกวานหนุ่มอีกครั้ง
การแกะสลักตัวอักษรบนหัวกำแพงเมืองได้เผาผลาญจิงชี่เสินไปอย่างมหาศาล ตอนนี้จึงยังไม่เหมาะจะคืนมรรคกถาให้กับเขา ยังต้องรออีกครู่หนึ่ง
ถึงอย่างไรลู่เฉินก็ไม่รีบร้อนกลับไปยังใต้หล้ามืดสลัว ไปแล้วก็ต้องถูกศิษย์พี่อวี๋รังเกียจ โชคดีที่อาจารย์ได้บอกไว้แล้วว่าไม่ต้องให้เขาไปสังหารพวกเทวบุตรมารนอกโลกที่ฆ่าอย่างไรก็ไม่หมดสิ้นที่ฟ้านอกฟ้า ต้องคอยจ้องตากันไปมา ไม่อย่างนั้นลู่เฉินก็คงต้องหาข้ออ้างเหมาะๆ สักข้อเที่ยวเล่นอยู่ในไพศาลอีกสักสามสี่ปี ก็เหมือนกับอิ่นกวานหนุ่มข้างกายผู้นี้ คนเดินไปถึงที่ไหน ที่นั่นก็เป็นร้านผ้าห่อบุญ ถ้าอย่างนั้นแผงของผินเต้าวางไว้ตรงไหนจะไม่อาจดูดวงได้บ้างเล่า?
ลู่เฉินเห็นว่าเฉินผิงอันยังไม่คิดจะลุกขึ้นยืนจึงนั่งลงไปบนพื้น หยิบเอาหินแตกขนาดเท่าฝ่ามือก้อนหนึ่งที่เก็บมาจากมุมกำแพงออกมาจากชายแขนเสื้อ
เดินทางมาท่องเที่ยวไพศาลครั้งนี้ หากอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ใช่เฉินผิงอัน เจ้าลัทธิลู่ก็คงจะหามุมมืดมุมหนึ่งของหัวกำแพงเมืองแกะสลักตัวอักษรขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวันว่า ‘ลู่เฉินเคยมาเที่ยวเยือนที่นี่’ แล้วก็เผ่นหนีไป
ลู่เฉินยกมือขึ้น “ไม่ถือสากระมัง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
ลู่เฉินหยิบมีดตัดกระดาษไผ่เหลืองเล่มหนึ่งออกมา เอามาทำเป็นมีดแกะสลัก สุดท้ายลู่เฉินก็แกะสลักตราประทับเปล่าลักษณะเรียวยาวออกมาชิ้นหนึ่ง แล้วจึงใช้นิ้วมือปาดลงไปตรงมุม เป่าลมลงไปให้เศษหินปลิวกระจาย
เฉินผิงอันถาม “ที่ฟ้านอกฟ้า เทวบุตรมารนอกโลกจัดการได้ยากขนาดนั้นเลยหรือ?”
ถึงขั้นที่มรรคาจารย์เต๋าต้องสร้างป๋ายอวี้จิงที่ ‘สูงตระหง่านเสียดฟ้า’ ขึ้นมาเพื่อใช้ต้านทานการรุกรานอย่างไร้ขอบเขตสิ้นสุดที่เทวบุตรมารนอกโลกมีต่อใต้หล้ามืดสลัว
ลู่เฉินพยักหน้า สองนิ้วคีบมีดตัดกระดาษ กำลังแกะสลักริมขอบของตราประทับ เนื้อหาคร่าวๆ เป็นบันทึกเกี่ยวกับการเดินทางมาเยือนเปลี่ยวร้างระหว่างตนกับอิ่นกวานหนุ่ม สิ่งที่ได้พบเห็นมาตลอดทาง พอได้ยินคำถามนี้ ลู่เฉินก็เผยสีหน้ากลัดกลุ้ม “ยาก ยากมากจริงๆ ผินเต้าไปแล้วก็ต้องเหนื่อยเปล่าอยู่ดี ก่อไฟหุงข้าวทำกับข้าว เป็นเรื่องที่เปลืองแรงเปล่า ดังนั้นเต้ากวานของป๋ายอวี้จิงล้วนมองมันเป็นงานเหนื่อยยากมาโดยตลอด เพราะมีแต่จะผลาญตบะ ไม่มีประโยชน์ใดๆ ให้พูดถึง ผู้ฝึกตนที่ขอบเขตต่ำกว่าบินทะยาน รับมือกับเทวบุตรมารนอกโลกที่แปรเปลี่ยนได้สารพัดรูปแบบก็คือการหอบฟืนไปดับไฟ จิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกตนไม่มั่นคงมากพอ ขอแค่มีช่องโหว่หรือจุดด่างพร้อยสักเล็กน้อยก็จะกลายเป็นเหยื่อบนมหามรรคาของเทวบุตรมาร ไม่ต่างจากการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง ในประวัติศาสตร์ของใต้หล้ามืดสลัวมีบินทะยานอายุมากจำนวนไม่น้อยที่ให้ตายอย่างไรก็ฝ่าคอขวดไปไม่ได้ คิดอยากจะแอบไปเสี่ยงดวงที่ฟ้านอกฟ้า ไม่มีหนึ่งในหมื่นอะไรทั้งนั้น ทุกคนล้วนกายดับมรรคาสลายเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น หากไม่ตายอยู่ที่ฟ้านอกฟ้า ถูกเทวบุตรมารนอกโลกจับมาเล่นอยู่ในกำมืออย่างสนุกสนาน ก็ต้องตายใต้คมกระบี่ของศิษย์พี่อวี๋”
“ศิษย์พี่อวี๋เคยมีสหายสนิทที่เจอกันล่างภูเขาสามคน ทั้งสี่คนขึ้นเขาฝึกตนในเวลาไล่เลี่ยกัน ต่างก็เป็นผู้ฝึกตนที่คุณสมบัติดีเยี่ยม พอได้เจอกันก็ถูกชะตากันมาก สุดท้ายคนทั้งสี่จึงเป็นสหายรักที่ร่วมทุกข์มาด้วยกัน ภายในเวลาพันปีก็เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานด้วยกัน มีเพียงศิษย์พี่อวี๋ที่เข้าไปอยู่ในป๋ายอวี้จิง ขอบเขตบินทะยานอีกสามคนที่เหลือ คนหนึ่งคือปรมาจารย์ใหญ่สายยันต์ และยังมีคู่รักอีกคู่หนึ่ง คนหนึ่งเป็นอาจารย์ค่ายกล คนหนึ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่ เจ้าพอจะจินตนาการได้หรือไม่ว่าในช่วงเวลานั้น พวกศิษย์พี่อวี๋จะมีปณิธานฮึกเหิมเพียงใด?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เดินไปด้วยกันบนมหามรรคา เดินกร่างไปทั่วหล้าก็ยังไร้ศัตรูทัดทาน”
หลิวเสี้ยนหยาง จางซานเฟิง จงขุย หลิวจิ่งหลง…
เฉินผิงอันก็เคยจินตนาการถึงภาพที่ตนและเหล่าสหายออกท่องเที่ยวไปทั่วหล้า เจอน้ำข้ามน้ำ เจอภูเขาปีนภูเขา เจอกับเรื่องที่ไม่เป็นธรรมก็หยุดเท้า ให้โลกมนุษย์มีเรื่องที่ทำให้คนไม่เป็นสุขน้อยลงไปเรื่องหนึ่ง
“อืม ฉายาผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงของศิษย์พี่อวี๋ก็เริ่มแพร่ออกมาตอนช่วงเวลานั้นนั่นแหละ ฉายประกายคมกริบ บุกไปที่ใดที่นั่นก็ราบเป็นหน้ากลอง ในฐานะลูกศิษย์คนที่สองของมรรคาจารย์เต๋า อยู่ท่ามกลางเจ้านคร เจ้าหอ เทียนจวินและเซียนกวานมากมายของป๋ายอวี้จิง คือคนคนเดียวที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับกล้าพูดว่าตัวเองคือผู้บรรลุมรรคาที่สามารถเอาชนะผู้ฝึกกระบี่ได้อย่างมั่นคง ทุกครั้งที่ศิษย์พี่อวี๋ออกไปแล้วหวนกลับมาที่ป๋ายอวี้จิงอีกครั้งก็จะต้องพกเรื่องเล่าเป็นกระบุงโกยกลับมาที่ห้านครสิบสองหอเรือนด้วย”
ก็เหมือนอย่างอาเหลียงแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ อิ่นกวานหนุ่ม รวมไปถึงหนิงเหยาแห่งนครบินทะยานใต้หล้าห้าสีในยุคหลัง
“เวลานานวันเข้า คนก็ลือกันไปทั้งเมือง กลายเป็นว่า ‘ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง’ เป็นฉายาที่ศิษย์พี่อวี๋แต่งตั้งให้กับตัวเอง ศิษย์พี่เองก็คร้านจะอธิบายอะไร คาดว่าคงยิ่งรู้สึกว่าตำแหน่ง ‘ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง’ ไม่ช้าก็เร็วต้องเป็นของในกระเป๋าของเขาอยู่แล้ว ก็แค่ว่าถูกคนเรียกกันเร็วกว่าที่คิดไว้ไม่กี่พันปีเท่านั้น จะนับเป็นอะไรได้”
“น่าเสียดายที่มีสองคนในกลุ่ม คนหนึ่งตายไปที่ฟ้านอกฟ้า ตอนนั้นศิษย์พี่อวี๋ไม่ได้ขัดขวาง มิอาจตัดใจปล่อยกระบี่ใส่สหายรักได้ จึงจงใจปล่อยผ่านไป ด้วยเหตุนี้ยังถูกพวกขุนนางประวัติศาสตร์ของป๋ายอวี้จิงกล่าวโทษ ร้องเรียนไปถึงถ้ำสวรรค์เล็กเหลียนฮวาของท่านอาจารย์ ส่วนอีกคนหนึ่งตายใต้คมกระบี่ของศิษย์พี่อวี๋ เหลือแค่คนเดียว แล้วก็เพราะว่าคนรักตายด้วยน้ำมือของศิษย์พี่อวี๋ นางจึงกลายเป็นศัตรูคู่แค้นกับศิษย์พี่อวี๋ไปอย่างสิ้นเชิง เป็นเหตุให้ทุกๆ หลายร้อยปี เรื่องแรกที่นางทำหลังออกจากด่านในทุกครั้งก็ถือถามกระบี่ต่อป๋ายอวี้จิง ทำอะไรโดยใช้อารมณ์ ทั้งที่รู้ดีว่าสู้ไม่ได้แต่ก็ยังจะสู้”
“เวทกระบี่และมรรคกถาทั้งหมดบนโลกใบนี้ได้แค่สยบเทวบุตรมารเท่านั้น รักษาที่ปลายเหตุไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ จึงไม่อาจขจัดภัยร้ายนี้จากต้นตอได้ ศิษย์พี่สองคนของผินเต้า และยังมีศิษย์น้องของนักพรตซุน ทั้งสามคนนี้ต่างก็เลือกเส้นทางกันคนละเส้น ล้วนเคยพยายามหาวิธีที่เหนื่อยครั้งเดียวสบายไปได้ตลอด”
“ยกตัวอย่างสองเรื่องที่ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรแล้วกัน เจ้าสามารถมองเทวบุตรมารนอกโลกทั้งหมดเป็นการรวมตัวกันของเวทคาถาบางอย่าง หรือมองเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบห้าคนหนึ่งที่สามารถ ‘สลายมรรคา’ ‘ผสานมรรคา’ ได้ตามใจชอบ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!