ลู่เฉินจุ๊ปากพูด “ซินขู่ (ลำบาก) ชื่อประหลาด นิสัยก็ประหลาด ไอ้หมอนี่ก็คือ…ตัวประหลาดจริงๆ”
“จะยกตัวอย่างให้ฟังแล้วกัน หากเขาไม่ได้ฝึกวรยุทธตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ขึ้นเขาฝึกตนแทน เขาจะต้องเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้แน่นอน ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ตอนนี้เขายินดีจะสละวิถีวรยุทธทิ้งไป หันไปฝึกตนเป็นเทพเซียนก็ยังจะต้องได้เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่อย่างแน่นอน”
“ขนาดป๋ายโอ่วที่ถือว่าเป็นคนที่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง เคยถามหมัดกับหลินเจียงเซียนสองครั้งแล้ว แต่กลับคอยจงใจหลบเลี่ยงซินขู่ ไม่มีความคิดจะถามหมัดด้วยแม้แต่น้อย”
เฉินผิงอันจดจำไว้ในใจเงียบๆ
โดยเฉพาะซินขู่ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งที่สามารถทำให้ลู่เฉินมองเขาสูงได้ถึงเพียงนี้
นี่คือสามอันดับแรกของผู้ฝึกยุทธในใต้หล้า ไม่ใช่รายชื่อผู้ฝึกยุทธที่ผ่านการประเมินจากหนึ่งทวีป
ก็เหมือนในซากปรักจวนเซียนของอุตรกุรุทวีปปีนั้น นักพรตซุนที่เดินทางไกลไปเยือนไพศาล ร่างจริงอยู่ที่อารามเสวียนตูใหญ่ แต่เมื่อนักพรตเฒ่าพูดถึงไหวอินหนึ่งในสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกลับไม่ปกปิดความเย้ยหยันของตัวเองไว้แม้แต่น้อย แขนขาเล็กบาง กลัวด้วยซ้ำว่าหากไม่ระวัง ไม่กะน้ำหนักให้ดีจะตีจนอีกฝ่ายแขนขาหักเอาได้
เฉินผิงอันอดไม่ไหวถามว่า “เหตุใดใต้หล้าถึงมีผู้ฝึกตนที่เพียงแค่เริ่มขึ้นเขาก็กล้าพูดว่าจะต้องเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้แน่นอน”
เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว บางทีอาจเป็นข้อยกเว้น
ต่อให้เป็นอู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู หากว่ากันในความหมายที่เข้มงวดแล้วก็อาจจะถือว่าเป็นได้แค่ครึ่งตัวเท่านั้น
ลู่เฉินถอนหายใจ “ก็นั่นน่ะสิ แต่เรื่องราวก็มักจะแปลกประหลาดเช่นนี้เสมอ”
ยกนิ้วขึ้นมาสามนิ้วแล้วลู่เฉินก็เอ่ยอย่างอ่อนใจว่า “ผินเต้าเคยแอบไปที่ยอดเขารุ่นเยว่สามครั้ง จะมองตะแคงมองตรงๆ หรือมองบนมองล่าง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังมองไม่ออกว่าซินขู่ผู้นั้นมีคุณสมบัติของขอบเขตสิบสี่ ไม่ว่าจะอนุมานอย่างไร อย่างมากสุดซินขู่ก็ต้องเป็นได้แค่ขอบเขตบินทะยานถึงจะถูก แต่ช่วยไม่ได้ เรื่องนี้เป็นอาจารย์ข้าที่พูดเองกับปาก”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่ว่าที่ใดล้วนมีเรื่องประหลาดและคนประหลาดอยู่เสมอ”
ลู่เฉินประกบฝ่ามือสองข้างเข้าด้วยกัน ชายแขนเสื้อของชุดคลุมเต๋าที่กว้างใหญ่คลุมทับฝ่ามือเอาไว้ เขาก้าวเดินไปอย่างเนิบช้า “หากจะบอกว่าความประทับใจใหญ่ที่สุดที่ป๋ายอวี้จิงมอบให้กับคนอื่นก็คือค่อนข้างเงียบสงบ ต่างคนต่างฝึกตน ยุ่งอยู่แต่กับการฝึกตน จิตใจแน่วแน่ไม่วอกแวก”
“ราวกับว่าใต้ฝ่าเท้าของทุกคนล้วนมีเส้นทางเดินขึ้นฟ้าอยู่เส้นหนึ่ง ขั้นบันไดมีให้เห็นอย่างชัดเจน เดินได้มั่นคง ทุกก้าวที่เหยียบลงบนบันไดหนึ่งขั้นก็จะต้องมองเห็นบันไดอีกหลายขั้นที่อยู่สูงกว่าเสมอ คำว่าเดินขึ้นสู่ที่สูง แค่ยกเท้าก็ได้แล้ว”
ลู่เฉินพลันหันหน้ากลับมา ยิ้มเอ่ยแนะนำว่า “วันหน้าเมื่อเจ้าไปถึงใต้หล้ามืดสลัว ถึงอย่างไรก็คงไม่รีบร้อนไปเป็นแขกที่ป๋ายอวี้จิง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไปหยุดอยู่ที่เขตบางแห่งสักหลายๆ ปีก่อน ยกตัวอย่างเช่นตามหาสือฟางฉงหลิน (ระบบการดูแลวัดอย่างหนึ่ง ส่วนมากจะหมายถึงวัดของนิกายเซ็น (ฌาน) เป็นหลัก สือฟางหมายถึงสิบทิศ ฉงหลินหมายถึงผืนป่าที่มีต้นไม้หนาแน่น เปรียบเปรยถึงสถานที่ที่รวบรวมคนมีความสามารถไว้ด้วยกัน) สักแห่งหนึ่ง แล้วลองทำหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแล คอยควบคุมสามตูห้าจู่สิบแปดโถว ไม่ต้องหาสถานที่ที่ใหญ่มากนักก็น่าสนใจได้มากเหมือนกัน”
“ข้าเคยใช้เวลาถึงสามร้อยปีเต็มเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศ สุดท้ายกว่าจะทำหน้าที่ในสี่สิบอารามเต๋าน้อยใหญ่ได้ครบก็ไม่ง่ายเลย ต้องคอยดูแลกิจธุระยิบย่อย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องจัดการหมดจริงๆ ส่วนตำแหน่งถีเคอ (นักพรตที่ทำหน้าที่เล่นดนตรีและสวดมนต์ในปะรำพิธี ต้องเป็นคนที่มีน้ำเสียงดังกังวาน คุ้นเคยกับขั้นตอนของพิธีกรรม สามารถท่องบทสวดได้) จู่ฮั่น (ทำหน้าที่เขียนบทความ วาดภาพ ฯลฯ) และเย่สวิน (ทำหน้าที่ลาดตระเวน ควบคุมดูแลและตรวจสอบในยามค่ำคืน) ล้วนน่าสนใจอย่างมาก แต่ถ้าเป็นชิงโถว (คนทำความสะอาดห้องน้ำ) จะค่อนข้างน่าอนาถแล้ว ทว่าถึงแม้งานจะต่ำต้อยแต่กลับได้ค่าน้ำร้อนน้ำชาเยอะ แล้วยังไม่มีใครมาแย่งทำด้วย มีอิสระอย่างมาก แต่พูดไปพูดมาก็ยังคงเป็นฮ่าวฝาง (ชื่อเรียกอีกอย่างของคนเฝ้าประตู) ที่น่าสนใจที่สุด คอยต้อนรับขับสู้ผู้คน ดูว่าคนแบบไหนเหมาะกับอะไรก็ปฏิบัติตัวไปอย่างนั้น”
เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
ลู่เฉินพลันถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าควรทำอย่างไรถึงจะไร้ความต้องการไร้ปรารถนาได้อย่างแท้จริง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยคิดถึงปัญหาข้อนี้มาก่อน”
ลู่เฉินกล่าว “ก่อนจะเจอความปรารถนาถัดไปหลังจากความปรารถนาทุกอย่างล้วนได้รับการเติมเต็มหมดแล้ว?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เคยว่า “ฟังแล้วเหมือนจะมีเหตุผลอยู่มาก”
ลู่เฉินขบคิดอยู่พักหนึ่ง “ไม่สู้รอให้เจ้ากับไปถึงแจกันสมบัติทวีปก่อนแล้วค่อยคืนขอบเขตให้ข้าดีไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก”
ลู่เฉินทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้จริงๆ”
ลู่เฉินจึงไม่ยืนกรานอีก
พริบตานั้นข้างกายคนทั้งสองก็เกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมระลอกหนึ่ง ถึงขั้นที่ว่าแม้กระทั่งขอบเขตสิบสี่ทั้ง ‘สองคน’ ก็ยังสัมผัสถึงล่วงหน้าไม่ได้ สตรีชุดขาวคนหนึ่งพลันเดินออกมา
ด้านหลังสตรีชุดขาวมีผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่หดหัวห่อไหล่เดินตามมาด้วย
ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงอันก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาปรากฏตัวที่นี่
ก็คือปีศาจใหญ่บรรพกาลที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนนั้น
นางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอบเขตต้องถดถอยแน่นอน ดังนั้นช่วงนี้ภูเขาลั่วพั่วอาจจะต้องการนักรบพลีชีพที่พอจะต่อสู้ได้สักคนหนึ่ง”
ลู่เฉินยื่นมือมาปิดบังใบหน้า
พอจะต่อสู้ได้…นักรบพลีชีพ…
นางยิ้มเอ่ย “จำไว้ว่ารีบไปหลอมกระบี่ที่นอกฟ้าให้เร็วหน่อย ข้ากลับก่อนล่ะ”
ระหว่างที่พูดนางก็กลายร่างเป็นแสงกระบี่เส้นหนึ่งที่พุ่งออกไปนอกฟ้า
เฉินผิงอันได้แต่เงยหน้าขึ้นแล้วพยักหน้ารับเบาๆ
ปีศาจบรรพกาลตนนั้นรักษารอยยิ้มน้อยๆ ไว้บนใบหน้า เป็นรอยยิ้มที่ดูแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด
เฉินผิงอันเองก็อดกลั้นอยู่นาน ถึงได้โพล่งประโยคหนึ่งออกไป “อันที่จริงข้าเองก็กระอักกระอ่วนเหมือนกัน ถือว่าหายกันแล้ว”
ปีศาจใหญ่บรรพกาลที่กว่าจะฟื้นตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลอันยาวนานได้ไม่ใช่เรื่องง่ายถึงได้ผ่อนลมหายใจโล่งอก มันหันหน้าไปมองนักพรตหนุ่มแล้วถามด้วยภาษาทางการของไพศาลที่สำเนียงถูกต้องอย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง “เจ้าเป็นใคร?”
ลู่เฉินยิ้มหน้าทะเล้น “ก็แค่บุคคลตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เป็นลูกสมุนที่ติดตามอยู่ข้างกายใต้เท้าอิ่นกวาน ไม่มีค่าพอให้พูดถึง”
ดวงจันทร์ดวงใหญ่ที่อยู่บนฟ้ากำลังจะขยับเข้าใกล้ประตูใหญ่บานนั้นแล้ว
ลู่เฉินเงยหน้าขึ้น พึมพำว่า “ท้องฟ้ากว้างใหญ่หมื่นปี สายลมดวงจันทร์หนึ่งวัน”
เฉินผิงอันทอดสายตามองไกลไปยังม่านฟ้า
ค่ำคืนอันยาวนานเงียบสงบ มีประโยชน์มากมาย กายและวาจาล้วนสะอาดบริสุทธิ์ ไม่สัมผัสสิ่งสกปรกชั่วร้าย
ในอนาคตรอให้วันใดมีเวลาว่างจริงๆ ก็จะนำกระบี่ยาวเย่โหยวที่สะพายไว้ด้านหลังเล่มนี้ไปแขวนไว้ในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ ให้เป็นของแทนตัวเจ้าสำนักของภูเขาลั่วพั่วคนถัดไป
เฉินผิงอันปลดกวานดอกบัวบนศีรษะลงมา ยื่นส่งให้ลู่เฉิน เอ่ยว่า “เจ้าลัทธิลู่ ท่านสามารถนำขอบเขตกลับคืนไปได้แล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!