ลู่เฉินม้วนชายแขนเสื้อ โบกมือสร้างตราผนึกฟ้าดินแห่งหนึ่งขึ้นมา ช่วยบดบังสภาพการณ์อันน่าอนาถที่ขอบเขตถดถอยให้เฉินผิงอัน ใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนว่า “ในเมื่อเจ้ามีแผนการอยู่ก่อนแล้ว เรื่องที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้า คิดมากไปก็บังคับควบคุมอะไรไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าเพิ่งไปสนใจเลย เก็บกวาดเรื่องที่อยู่ตรงหน้าให้เรียบร้อยก่อนจะดีกว่า กลับหัวกำแพงเมืองทันทีเถอะ”
กำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งคือสถานที่ที่เขาผสานมรรคา สามารถช่วยให้เฉินผิงอันสร้างความมั่นคงให้กับจิตแห่งมรรคาและขอบเขตได้
ขุนเขาสายน้ำในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ จิตแห่งมรรคาดวงหนึ่งประหนึ่งเรือน้อยหนึ่งลำที่ล่องลอยโยกคลอนไปตามคลื่นซัดสาด ถ้าอย่างนั้นกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งที่ผสานมรรคาด้วยก็คือหินถ่วงท้องเรือที่ยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้า
เฉินผิงอันพยักหน้า เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “รอสักเดี๋ยว”
ลู่เฉินถาม “ทำไมถึงไม่ปล่อยให้ขอบเขตถดถอยที่หัวกำแพงเมือง? อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจ็บปวดทรมานเช่นนี้”
เฉินผิงอันให้คำตอบที่ทำให้ลู่เฉินพูดไม่ออก “การถดถอยด้านขอบเขตของผู้ฝึกตน แม้ขุนเขาสายน้ำจะปริแตก แต่กลับเป็นประโยชน์ต่อวิถีวรยุทธ ตามวิธีที่ท่านอาหลี่ถ่ายทอดให้ สามารถทำให้ข้าเข้าใจเส้นสาย ‘ภูเขาสายน้ำ’ ที่เกิดจากการรวมตัวกันของเลือดเนื้อเส้นเอ็นและกระดูกได้มากกว่าเดิม ก็ถือเป็นวิธีการที่ใช้ขัดเกลาเรือนกายของผู้ฝึกยุทธอย่างหนึ่ง”
ลู่เฉินกระจ่างแจ้งในชั่วพริบตา
ในชั้นปราณโชติช่วงของผู้ฝึกยุทธมีความรู้ที่ยิ่งใหญ่มาก
ไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างมารอบหนึ่ง สำหรับเฉินผิงอันที่ขอบเขตถดถอยอย่างน่าสังเวชแล้ว แน่นอนว่าความทุกข์ยากที่ต้องเผชิญจะปล่อยให้เสียเปล่าไม่ได้
ตอนนี้ข้างกายคนทั้งสองยังมีตัวถ่วงอยู่อีกคนหนึ่ง มันเงียบงันอยู่ตลอดเวลา มองประเมินผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์สองคนนี้อย่างระมัดระวัง
คนหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่เผ่ามนุษย์ที่อายุน้อย อีกคนหนึ่งคือคนที่บอกว่าตัวเองเป็นลูกสมุนของฝ่ายแรก
คนหนึ่งขอบเขตถดถอย คนหนึ่งขอบเขตไต่ขึ้นสูง
นี่ทำให้มันประหลาดใจอย่างมาก ตบะขอบเขตสิบสี่เอาให้คนอื่นยืมได้ด้วยหรือ?
นี่ทำให้มันจิตใจสะท้านสะเทือนยิ่งกว่าได้เจอผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งเสียอีก
โลกมนุษย์ในอีกหมื่นปีให้หลัง มีความมหัศจรรย์หลากหลายจริงเสียด้วย
อาศัยม้วนภาพแห่งกาลเวลาที่คนผู้นั้นมอบให้มัน รวมไปถึงตำราอีกสองสามเล่มที่คล้ายคลึงกับ ‘จารึกภูเขาและทะเล’ มันจึงรู้ว่าคนตรงหน้าผู้นี้คือนักพรต (เต้าซื่อ)
ในยุคบรรพกาลห่างไกล ผู้ฝึกลมปราณในใต้หล้า ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือเผ่าปีศาจก็ล้วนเรียกรวมกันว่าเต้าเหรินทั้งหมด
คิดไม่ถึงว่าทุกวันนี้จะมีแบ่งเป็นเซิงเต้า (คำเรียกรวมภิกษุและนักพรตลัทธิเต๋า) ด้วย แต่ดูเหมือนจะถูกนักพรตยึดครองคำว่า ‘เต้า’ (หรือเต๋า มรรคา นักพรตภาษาจีนออกเสียงว่าเต้าซื่อ) ไปฝ่ายเดียว
กวานดอกบัวที่นักพรตหนุ่มสวมไว้บนศีรษะคือหนึ่งในสัญลักษณ์แทนตัวของนักพรตสามสายของป๋ายอวี้จิง
ลู่เฉินเองก็กำลังสังเกตปีศาจใหญ่บรรพกาลขอบเขตบินทะยานตนนี้อยู่เช่นกัน
เพราะอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว จึงกังวลอย่างมากว่าอีกฝ่ายจะไม่ถามถูกผิดก็ปล่อยกระบี่ใส่ตนแล้ว
ปีศาจใหญ่ในเวลานี้เปลี่ยนแปลงรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่ม มองดูเหมือนจะมีอายุประมาณยี่สิบปี สวมหมวกสีเหลืองรองเท้าสีเขียว สวมชุดผ้าป่านทั้งตัว
แต่มองไปแล้วบนร่างไม่มีกลิ่นอายดุร้ายเลยแม้แต่น้อย กลับกันยังเหมือนบัณฑิตไพศาลที่สะพายหีบหนังสือออกทัศนาจรมากกว่า แล้วยังเป็นบัณฑิตประเภทที่ว่าฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจนอีกด้วย
ปัญหาอยู่ที่ว่ามันเหมือนอะไรจะมีประโยชน์กะผายลมตรงไหน มันคือปีศาจใหญ่บรรพกาลที่พลังการต่อสู้สามารถทัดเทียมกับราชาบนบนบัลลังก์เก่าของเปลี่ยวร้างได้อย่างแท้จริงเชียวนะ
ลู่เฉินใช้เสียงในใจถาม “มันก็จะตามขึ้นไปบนหัวกำแพงเมืองด้วยหรือ? วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของเจ้าหมอนี่คล้ายจะเป็นการควบคุมจิตใจนะ พวกเราต้องระวังไว้หน่อย”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ให้มันตามมาก็พอ”
แน่นอนว่าเฉินผิงอันต้องไม่เชื่อใจมัน แต่เขาเชื่อใจนาง
บนเส้นทางการฝึกตน เขาเคยชินแล้วที่จะต้องคิดปัญหาที่เรียบง่ายไปในทางที่ยุ่งยากอยู่ทุกเวลานาที คิดซ้ำไปซ้ำมา คิดเยอะแล้วคิดเยอะอีก มองดูเหมือนเปลืองแรงโดยไม่ได้ผลประโยชน์อะไร แต่แท้จริงแล้วก็เพื่อว่าสักวันหนึ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ซับซ้อนที่ทุกอย่างขมวดรวมกันเหมือนกองเชือกยุ่งๆ กองหนึ่ง จะสามารถคลี่คลายให้ปัญหาที่ซับซ้อนกลายเป็นปัญหาที่ง่ายดาย นี่ก็เป็นเหมือนต้นไม้ที่ผลิดอกออกผลพร้อมกันอย่างหนึ่ง
ลู่เฉินยื่นมือไปจับแขนของเฉินผิงอัน หดย่อขุนเขาสายน้ำไปยังหัวกำแพงเมืองด้วยกัน
ไปถึงหัวกำแพงเมือง เฉินผิงอันเซไปเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงได้ เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวกำแพงเมือง สองมือวางทับซ้อนกันไว้บนหัวเข่า พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนักๆ หนึ่งที แม้ว่ากายและใจจะอ่อนระโหย ทว่าเลือดลมของผู้ฝึกยุทธกลับแกร่งกร้าว นี่ทำให้ปีศาจใหญ่ตนนั้นต้องมองเขาใหม่อีกครั้ง ระดับความแข็งแกร่งทนทานของร่างกายไม่แพ้ให้กับเผ่าปีศาจแล้ว เห็นว่าคนหนุ่มหงายฝ่ามือขึ้น หายใจเข้าออกเบาๆ โคจรวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุ ทวารทั้งเจ็ดบนใบหน้ามีไอหมอกลอยออกมาเหมือนงูขาวหลายตัว ระหว่างชายแขนเสื้อสองข้างก็ยิ่งเหมือนมีมังกรเขียวล้อมพันขดตัวอยู่
มันพยักหน้าเอ่ยชมเชย “เป็นภาพบรรยากาศที่ดี”
ไม่รู้ว่าทำไม ระหว่างที่เดินทางมาก็ได้เรียนรู้ภาษากลางของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและภาษาราชการต้าหลีของแจกันสมบัติทวีปจนเป็นแล้ว
ลู่เฉินเอ่ยเตือน “ทางที่ดีที่สุดควรเอาของนอกกายที่ไม่เคยผ่านการหลอมใหญ่ออกมาให้หมด”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ปลดกระบี่ยาวเย่โหยวที่สะพายอยู่ด้านหลังลงมา รวมถึงน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่เอามาทำเป็นกาเหล้าหลายปีด้วย
จากนั้นปลดดาบแคบสองเล่มที่จักรพรรดิและขุนนางมีความต่าง (เปรียบเปรยถึงสถานะที่แตกต่าง มิอาจทัดเทียมกันได้) อย่าง ‘ลงทัณฑ์’ และ ‘พิฆาต’ ลงมา
แส้ปัดฝุ่นชิ้นหนึ่ง ค่ายกลกระบี่หนึ่งชุด ที่วางพู่กันปะการัง สมบัติหนักสามชิ้นที่ระดับขั้นเป็นอาวุธเซียน
ทำเอาผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจขอบเขตบินทะยานที่มองดูอยู่หนังตากระตุก
ไม่ใช่อาวุธเทพบรรพกาลก็เป็นอาวุธเซียนที่สร้างขึ้นในยุคหลัง
ลู่เฉินเหมือนแม่บ้านที่จ้ำจี้จ้ำไชคนหนึ่ง ถามต่อว่า “จะจัดการกับเจ้าคนที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาตรงหน้าผู้นี้อย่างไร?”
เฉินผิงอันสามารถวางใจทำตัวเป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งร้านได้ แต่ลู่เฉินกลับไม่วางใจที่ข้างกายมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดคนหนึ่งยืนบื้ออยู่ หากมีแค่ตนที่อยู่ตรงนี้ ต่อให้ทะเลาะต่อยตีกันต่อหน้าก็ไม่ใช่ปัญหา แต่หากต้องปกป้องมรรคาให้กับเฉินผิงอัน ลู่เฉินก็กลุ้มใจจริงๆ
เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันไม่มีความคิดที่จะโยนภาระทิ้ง เขาไม่รีบร้อนปล่อยจิตใจจมจ่อมไปภายในร่างกาย หันหน้ามาถามว่า “ได้ตั้งนามแฝงไว้ให้ตัวเองหรือไม่?”
ปีศาจใหญ่ตนนั้นคุกเข่าลงทันที เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่เคย”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ให้ข้อเสนอแนะว่า “ไม่สู้ใช้ฉายาว่าสี่จู๋ สี่จากคำว่ามงคล จู๋จากคำว่าเปลวเทียน สหายคิดว่าเป็นอย่างไร?”
ปีศาจใหญ่พยักหน้า “เป็นชื่อที่ดี”
ดูเหมือนมันจะรู้สึกว่าแสดงความจริงใจได้ไม่มากพอ จึงเอ่ยเพิ่มมาอีกคำ “โชคดีอย่างมาก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แต่ว่าที่บ้านเกิดของข้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือคนธรรมดาทั่วไป หากคิดจะลงหลักปักฐานก็ต้องมีสำมะโนครัวด้วย เจ้าสามารถตั้งนามแฝงให้ตัวเองได้อีกชื่อหนึ่ง”
ร่างจริงของปีศาจใหญ่ตนนี้เป็นแค่แมงมุมตัวหนึ่งเท่านั้น
และชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งของแมงมุมก็คือชินเค่อ สี่จื่อ
ดังนั้นที่เมืองเล็กบ้านเกิดของเฉินผิงอันจึงมีคำพูดเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาปากต่อปาก ‘แมงมุมรวมร้อยเรื่องน่ายินดี’ พวกคนเฒ่าคนแก่ต่างก็เห็นการชักใยของแมงมุมเป็นนิมิตหมายของเรื่องมงคล หากในบ้านมีใยแมงมุม ไม่ว่าจะมีแมงมุมอยู่หรือไม่ โดยทั่วไปแล้วเจ้าของบ้านก็มักจะไม่ปัดกวาดเช็ดถู มีเพียงช่วงปีใหม่เท่านั้นที่ผู้เฒ่าจะใช้ไม้กวาดม้วนมันขึ้นไปเบาๆ แล้วค่อยให้พวกเด็กๆ ในบ้านรับไม้กวาดไป พาออกไปนอกบ้าน ระหว่างทางเด็กที่กอดไม้กวาดไว้ในอ้อมอกยังต้องเอ่ยประโยคทำนองว่า ‘ขอบคุณมงคลเก่า ขอเพิ่มมงคลใหม่’ ซึ่งมีความหมายโดยนัยคือบอกลาสิ่งเก่าต้อนรับสิ่งใหม่
รอกระทั่งเฉินผิงอันออกจากบ้านเกิดเดินทางไกลก็สังเกตเห็นอีกว่าใต้หล้าไพศาลยังมีเทศกาลซีซี สตรีจะสวมเสื้อผ้าใหม่เอี่ยม เอาพวกผลไม้ขนมกินเล่นมาวางไว้กลางลานบ้าน จัดเรียงให้เหมือนแมงมุมชักใย รวมไปถึงจะตัดกระดาษหลากสีด้วยตัวเอง หลังจากจุดธูปหอมจุดเทียนแล้ว สตรีจะถือด้ายสีไว้ในมือ หันหน้าเข้าหาเงาของแสงเทียน แล้วเอาด้ายร้อยรูเข็มเพื่อขอพรด้านงานฝีมือจากสวรรค์
หากจะบอกว่าร่างจริงของเซียนกระบี่ใหญ่จางลู่คือเทียนลู่ซึ่งเป็นสัตว์แห่งความมงคลประเภทหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นแมงมุมก็เป็นแมงแห่งความมงคลที่เป็นนิมิตหมายอันดี เฉินผิงอันยังเคยสังเกตเห็นว่าบนภาพวาดฝาผนังในวัดบางแห่งและในอักษรภาพของนักประพันธ์บางคนต่างก็วาดภาพใยแมงมุมห้อยลงมาแล้วมีแมงมุมห้อยต่องแต่งลอยตัวอยู่ ซึ่งมีคำเรียกขานที่งดงามว่า ‘ความมงคลหล่นลงมาจากฟ้า’
ต้องรู้ว่าตอนที่เฉินผิงอันอยู่หน้าธรณีประตูห้องของหอชิงฝู หากไม่ได้ยินประโยคว่า ‘ขอให้ท่านร่ำรวย’ เขาก็จะไม่ยอมขยับเท้าเดินไปไหนเด็ดขาด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!