ลู่เฉินถอนหายใจ พอจะเดาความคิดของเฉินผิงอันออกคร่าวๆ กุมารแจกทรัพย์ สมกับเป็นกุมารแจกทรัพย์จริงๆ
เฉินผิงอันเริ่มสร้างความมั่นคงให้กับขอบเขต ก็เหมือนท่านเทพเทวดาของฟ้าดินเล็กเรือนกายมนุษย์แห่งหนึ่งที่จำต้องเก็บกวาดขุนเขาสายน้ำเก่า สร้างความผาสุกสงบปลอดภัยให้กับรอบด้าน
ขอบเขตวิถีวรยุทธร่วงจากปลายทางมายังชั้นของปราณโชติช่วง
ขอบเขตของผู้ฝึกตนถอยจากขอบเขตหยกดิบมาเป็นขอบเขตโอสถทอง
ลู่เฉินกับสหายสี่ที่จู๋นั่งอยู่ห่างไปไกล หันมาพูดคุยกัน
หยิบเหล้าหมักเซียนเถาเจียงซึ่งเป็นเหล้าที่มีเฉพาะนครเสินเซียวป๋ายอวี้จิงออกมาสองกา จากนั้นจึงหยิบยันต์กระดาษแผ่นหนึ่งที่มีขนาดใหญ่เท่าโต่วใบหนึ่งมาทำเป็นผ้าปูโต๊ะ วางกับแกล้มไว้สองสามจาน กับแกล้มก็ได้แก่ยำแตงทุบ ยำหูหมู สุดท้ายยังมีเมล็ดซิ่งเหริน (เมล็ดอัลมอนด์) และเมล็ดสนอีกหนึ่งจาน จัดวางไว้เต็มโต๊ะ
มองสหายสี่จู๋ที่มีท่าทางระมัดระวังตัวอย่างเห็นได้ชัด ลู่เฉินก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมอีกฝ่าย ควบคุมจิตใจได้ดี แล้วยังเปลี่ยนนิสัยใจคอได้อีกด้วย
เห็นได้ชัดว่าใช้วิธีการของเทพยุคบรรพกาล ผู้อาวุโสเหล่านี้ เมื่อร่ายวิชาที่หายสาบสูญไปนานออกมาก็ช่างทำให้คนได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ
ลู่เฉินยิ้มถาม “ผู้อาวุโสสี่จู๋ได้หวนคืนมายังโลกมนุษย์ครั้งนี้ รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
เสี่ยวโม่พูดด้วยสีหน้าเศร้าใจ “วัตถุแปรเปลี่ยน สหายในวันวานพลัดพราก เจ็บปวดใจเหมือนถูกมีดคว้าน รวดร้าวทรมาน ยากจะทำใจได้”
หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เสี่ยวโม่ก็ยกจอกเหล้าขึ้น ให้ข้อสรุปต่อสภาพอารมณ์ของตัวเองด้วยถ้อยคำที่กระชับเรียบง่ายมากกว่าเดิม แค่คำเดียว “ขม”
ลู่เฉินชูจอกเหล้าขึ้นชนกับของอีกฝ่ายเบาๆ “ฟังมาถึงตรงนี้ เสี่ยวเต้าก็ต้องขอขัดผู้อาวุโสสักหนึ่งประโยคแล้ว”
เสี่ยวโม่เอ่ย “เชิญพูดมาได้เลย”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ชีวิตคนเมื่อเจอความทุกข์ยากมาหมดสิ้นแล้วความหวานชื่นย่อมมาเยือน อีกอย่าง มีคนร่วมทุกข์ด้วย ต่อให้ขมขื่นก็ไม่รู้สึกขมมากขนาดนั้นอีกแล้ว”
เสี่ยวโม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สหายลู่กล่าวได้ถูกต้อง”
ลู่เฉินถาม “ดูเหมือนว่าชื่อเสียงของผู้อาวุโสในโลกยุคหลัง…จะไม่ค่อยโด่งดังเท่าใดนัก?”
ความนัยในประโยคนี้ก็คือ ผู้อาวุโสขอบเขตท่านสูงขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่เคยทิ้งวีรกรรมยาวเป็นพรวนให้โลกมนุษย์แซ่ซ้องกันนานหมื่นปีไว้บ้างเลยเล่า
เสี่ยวโม่พยักหน้า “ข้าชอบตั้งใจฝึกกระบี่อย่างเดียว ไม่ค่อยชอบเข่นฆ่ากับใคร เรื่องของการโอ้อวดบารมีก็ไม่ใช่เรื่องที่ข้าถนัด”
ลู่เฉินทอดถอนใจหนึ่งที “วีรบุรุษไร้นาม เป็นวิถีทางโลกที่ไม่ถูก ต้องชนกับผู้อาวุโสสักจอกแล้ว”
เสี่ยวโม่กับลู่เฉินต่างคนต่างดื่มจนหมดจอกแล้ว เสี่ยวโม่ก็ครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “ข้าเคยไล่ฆ่าหย่างจื่อมาก่อน น่าเสียดายที่ตอนนั้นเวทกระบี่ยังไม่เข้าขั้น เปลืองเวลาไปหนึ่งเดือนกว่าก็ยังไม่อาจไล่ฆ่าหย่างจื่อได้ ผลคือถูกจูเยี่ยนขัดขวางแล้วช่วยนางเอาไว้ ข้าคนเดียวรับมือกับศัตรูสองคน สู้ไม่ได้ก็ต้องเผ่นหนีแล้ว”
ข้อมือลู่เฉินสะบัด เหล้าเกือบจะกระฉอกนองเต็มพื้น เขารีบร่ายเวทคาถาเรียกสุราให้ไหลกลับเข้าไปในจอกอีกครั้ง จากนั้นก็แหงนหน้ากระดกดื่มจนหมดจอก เช็ดมุมปาก รีบเอ่ยขออภัยว่า “ได้ฟังวีรกรรมเหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เช่นนี้ เสียกิริยาแล้ว เสียกิริยาแล้ว”
แม้ว่าในใจเสี่ยวโม่จะรู้สึกกังขา เหตุใดผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งถึงมาตกอกตกใจกับเรื่องแบบนี้ได้
แต่อีกฝ่ายทำเช่นนี้…เหมือนให้การสนับสนุนเขา บนใบหน้าของเสี่ยวโม่จึงมีรอยยิ้มเพิ่มมากขึ้น
ช่วยไม่ได้ ปีศาจบรรพกาลที่หลับมานานตนนี้ ความทรงจำส่วนใหญ่ยังคงเป็นภาพของสนามรบดุเดือดเมื่อหมื่นปีก่อนที่เอะอะองค์เทพจากฝ่ายต่างๆ ก็ล่วงลับเหมือนสายฝน ปีศาจใหญ่ที่รบตายไปโครงกระดูกกองกันเป็นภูเขาของ เทือกเขายิ่งใหญ่โอฬารที่ทุกวันนี้ถูกใต้หล้าเปลี่ยวร้างมองเป็น ‘ภูเขาบรรพบุรุษ’ ‘ยอดเขาหลัก’ ทั้งหลาย แทบจะเป็น ‘ซากปรักหักพัง’ ที่จำแลงมาจากโครงกระดูกของร่างจริงปีศาจใหญ่ทั้งสิ้น
มันจึงไม่รู้สึกว่าการจับคู่เข่นฆ่าใดๆ สามารถคู่ควรกับสองคำว่า ‘ยอดเขา’ ได้อีกแล้ว
ลู่เฉินจึงเล่าเรื่องของอดีตผู้ครองลำคลองเย่ลั่วและบรรพบุรุษย้ายภูเขาให้เสี่ยวโม่ฟัง
ทุกวันนี้จูเยี่ยนยังคงใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี กลับเป็นหย่างจื่อที่ถูกศาลบุ๋นกักตัวไว้ในซากปรักเตาหลอมโอสถแห่งหนึ่งที่มรรคาจารย์เต๋าทอดทิ้งไม่ใช้แล้ว
เสี่ยวโม่ฟังด้วยสีหน้าจริงจัง เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฟังที่ดีมาก รอกระทั่งลู่เฉินพล่ามพูดจนจบ เขาถึงได้จิบเหล้าหนึ่งคำเล็ก “ที่แท้จูเยี่ยนกับหย่างจื่อก็ไม่ได้ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันเสียที”
กวาดตามองไปรอบด้าน เสี่ยวโม่ก็รำพึงรำพันขึ้นว่า “จิตแห่งมรรคาไม่มั่นคง สามภพภูมิไม่สงบ ประหนึ่งอยู่ในเรือนแห่งไฟ ความทุกข์ตรมขมขื่นเต็มล้น เปลวเพลิงไหม้ลามไม่เคยมอดดับ ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก”
ลู่เฉินพยักหน้า “เรือนแห่งไฟสามภพภูมิ น้ำเมฆเย็นสบาย ใช้การช่วยเหลือคนอื่นมาช่วยตัวเองก็ยิ่งล้ำค่าหายากเข้าไปอีก”
ลู่เฉินคีบกับแกล้มขึ้นมาหนึ่งคำ เคี้ยวอย่างละเอียด ถามอย่างใคร่รู้ว่า “ผู้อาวุโสเชี่ยวชาญในหลักพระธรรมด้วยหรือ?”
เสี่ยวโม่ยิ้มอย่างเขินอาย “เคยโชคดีได้ฟังพระธรรมเทศนาจากภิกษุรูปหนึ่งที่นั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์กับหูตัวเอง หลุดพ้นจากกรงขังแห่งตัวอักษร คนจากทั่วสารทิศล้วนมารับฟังได้ ยอดเยี่ยมไร้สิ่งใดจะเปรียบโดยแท้”
ลู่เฉินหาคำมาต่อบทสนทนาไม่ได้แล้ว
แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่กล้าคบค้าสมาคมกับพระพุทธองค์อยู่แล้ว
เสี่ยวโม่ถาม “ดูเหมือนว่าที่บ้านเกิดของคุณชายจะมีภัยร้ายใหญ่ที่ซ่อนแฝงอยู่?”
ลู่เฉินพยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้า “มี แต่ก็หายไปแล้ว”
มหาสมุทรความรู้โจวมี่ อิ่นกวานหนุ่ม คือคนสองคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โจวมี่ แสวงหาผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ส่วนเฉินผิงอันนั้นแสวงหาความถูกต้องไร้ข้อผิดพลาดอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น
เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวที่เป็นทางหนีทีไล่ของเฉินผิงอัน อันที่จริงเมื่อก่อนนี้ลำดับรายชื่อบนยอดเขาของเขาในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่สูงมากนัก
ไม่อย่างนั้นปีนั้นที่เผยเปยพาเฉาสือผู้เป็นลูกศิษย์กลับมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ออกจากภูเขาห้อยหัวย้อนกลับไปยังแผ่นดินกลาง ก็คงไม่ไปถามหมัดที่นครจักรพรรดิขาว
ทว่าเจิ้งจวีจงที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำผู้นั้น ลู่เฉินกลับรู้สึกมาโดยตลอดว่าไม่ว่าจะมองคนผู้นี้สูงอย่างไรก็ไม่เกินกว่าเหตุแม้แต่น้อย
มีเพียงหลักการที่เป็นโจรพันวันเท่านั้น ไม่มีหลักการที่ต้องคอยป้องกันโจรพันวัน
ในช่วงเวลาที่โจวมี่รู้สึกว่าเฉินผิงอันต้องลำพองใจอย่างถึงที่สุด บวกกับที่ไม่มีหลี่เซิ่งคอยเฝ้าพิทักษ์อยู่ในใต้หล้าไพศาล ช่างเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนัก ผ่านมาแค่วูบเดียวก็หายวับ
ถ้าอย่างนั้นเจิ้งจวีจงที่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้ว จึงเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะเอามาประลองหมากล้อมด้วย ‘วิธีไร้เหตุผล’ กับโจวมี่มากที่สุด
ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าเฉินผิงอันไปขอร้องเจิ้งจวีจง? หรือว่าแอบทำการค้าอะไรกันอย่างลับๆ?
ไม่ว่าเป็นสถานการณ์แบบใด ลู่เฉินก็รู้ดีว่าเฉินผิงอันมีราคาที่ต้องจ่ายไม่น้อย
เสี่ยวโม่กล่าว “รอให้ข้าติดตามคุณชายกลับบ้านเกิด คิดดูแล้วก็คงต้องมีโอกาสให้ข้าได้แสดงฝีมืออันน้อยนิดอยู่บ้าง”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “มีได้ แต่อย่าให้มากไป”
เสี่ยวโม่พยักหน้าตอบรับว่าใช่ จากนั้นก็มองไปยังทิศไกล ยิ้มเอ่ย “ข้าเรียนกระบี่ได้เร็ว ออกกระบี่ได้เร็วยิ่งกว่า”
มีเพียงพูดถึงเรื่องเวทกระบี่เท่านั้นที่ถึงจะเผยพลังอำนาจที่ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดควรมีออกมา
จากนั้นลู่เฉินก็พูดคุยเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีบางอย่างของใต้หล้ามืดสลัวให้เสี่ยวโม่ฟัง
อันที่จริงใต้หล้ามืดสลัวก็ไม่ขาดบุคคลและเรื่องราวมหัศจรรย์เช่นกัน
ใต้หล้ามืดสลัวมีอาณาเขตที่พอจะแบ่งออกมาได้สิบเก้าเขต ทว่าไพศาลกลับมีเก้าทวีป นี่แสดงให้เห็นว่าโชคชะตาขุนเขาและโชคชะตาสายน้ำของสองใต้หล้าแตกต่างกันมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!