เสี่ยวโม่พลิกเปิดตำราในทะเลสาบหัวใจอย่างรวดเร็ว ตามหาความหมายแฝงของคำศัพท์คำว่า ‘วีรบุรุษแห่งแคว้น’
“ก่อนที่เจ้าจะหวนกลับบ้านเกิด สามารถไปพบเซียนฉาสักหน่อยได้หรือไม่”
เฉินผิงอันพลันเปิดปากถาม “แน่นอนว่าไม่ใช่ให้เจ้ายอมรับในสถานะลูกศิษย์คนแรกของเขา นี่เป็นเรื่องในบ้านสายเต๋าของเจ้า ข้าไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง”
เซียนฉา มีอีกชื่อว่ากู้ชิงซง คือคนมหัศจรรย์ที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วไพศาลโดยไม่ต้องใช้ขอบเขต
เขาเคยช่วยลู่เฉินถ่อเรือออกทะเลไปเยี่ยมเยือนเซียน ดังนั้นจึงถูกเฉาหรง เฮ้อเสี่ยวเหลียงมองเป็นลูกศิษย์ใหญ่ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของลู่เฉินผู้เป็นอาจารย์
ตอนอยู่ศาลบุ๋นกู้ชิงซงเคยรับปากตนว่าวันหน้าจะดูแลลูกศิษย์ภูเขาลั่วพั่วทุกคนที่เขาเจอบนเส้นทางการฝึกตน
ลู่เฉินเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “เจ้าไม่เห็นเรื่องขอบเขตถดถอยสำคัญขนาดนี้เลยหรือ?!”
เฉินผิงอันตอบ “ชินไปแล้วก็ดีเอง เมื่อคุ้นเคยก็เกิดเป็นความชำนาญ”
นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่รู้ว่าตอนนั้นที่ข้าอยู่ที่นี่เคยโอสถทองแตกสลายไปกี่ครั้ง ขอบเขตถดถอยมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว
เสี่ยวโม่เอ่ยอย่างสะท้อนใจ “คุณชายสมกับเป็นเซียนกระบี่จริงๆ”
ลู่เฉินกล่าว “ไม่มีปัญหา ข้ารับปากเจ้า แค่จะไปพบหน้าเจ้าโง่นั่นสักหน่อย”
เฉินผิงอันถึงกับยังมีแรงโยนของชิ้นหนึ่งให้กับลู่เฉิน
ลู่เฉินรับมาแล้วก็เห็นว่าเป็นที่วางพู่กันปะการังชิ้นนั้น จึงเอ่ยอย่างตกตะลึงระคนยินดีว่า “มอบให้ข้าแล้วหรือ?!”
อิ่นกวานหนุ่มเหล่ตามองเจ้าลัทธิลู่หนึ่งที
ลู่เฉินเอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “ข้าจะพยายามช่วงชิงผลประโยชน์ของวังมังกรครึ่งหนึ่งมาจากหวังต้งให้ได้ เพียงแต่ว่าพวกเราสองคนจะแบ่งส่วนแบ่งกันอย่างไร?”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าลัทธิลู่ตัดสินใจเอาเองแล้วกัน ใช้จิตสำนึกเป็นตัวตัดสิน”
เสี่ยวโม่ผงกศีรษะคลี่ยิ้ม ดูท่าคุณชายคงเห็นตนเป็นคนกันเองจริงๆ แล้ว ก่อนหน้านี้พูดจาเกรงใจ แต่พอพูดคุยกับสหายลู่ ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเหมือนกันสักเท่าไร
เฉินผิงอันเอ่ย “เจ้าและข้าแบ่งกันสามต่อเจ็ดส่วน เงื่อนไขคือเจ้าต้องช่วยข้าคิดหาวิธีรับมือกับภูเขาเมฆาเรืองของแจกันสมบัติทวีปด้วย หากสามารถทำได้ พวกเราก็แบ่งกันสี่ต่อหก”
ปีนั้นไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรืองช่วยส่งกระบี่บินนำความไปบอกต่อ เฉินผิงอันจำเป็นต้องชดใช้คืนความสัมพันธ์ควันธูปในส่วนนี้
แล้วนับประสาอะไรกับที่เซียนดินยอดเขาเกิงอวิ๋นอย่างเจ้ายอดเขาหวงจงโหวที่เขาเพิ่งรู้จักก็เป็นคนที่น่าสนใจมาก สามารถถือเป็นสหายร่ำสุราได้ครึ่งตัวแล้ว
ภายในเวลาเกือบร้อยปี ภูเขาเมฆาเรืองมิอาจสกัดขวางการไหลหายไปของโชคชะตาได้ เนื้อหนังภายนอกดูดีแต่ภายในกลับว่างเปล่า ดังนั้นต่อให้ภูเขาเมฆาเรืองได้เลื่อนเป็นสำนัก ไม่ถึงสามร้อยปี ยอดเขาสิบเก้าแห่งของภูเขาเมฆาเรืองที่มียอดเขาลวี่กุ้ย เกิงอวิ๋นเป็นหนึ่งในนั้น และภูเขาสายน้ำงดงามทั้งหลายที่ยังไม่ถูกเซียนดินบุกเบิกยอดเขา ก็จะต้องกลายเป็นดั่งเมฆหมอกที่พัดลอยผ่านตาไป กลายมาเป็นสถานที่ที่ปราณวิญญาณเบาบางไม่เหมาะแก่การฝึกตน การเสื่อมถอยของโชคชะตาประเภทนี้ของภูเขาเมฆาเรืองเป็นเรื่องที่ประหลาดอย่างมาก ตอนนั้นเฉินผิงอันที่เป็นขอบเขตสิบสี่ลองมองดูแล้วก็ถึงกับเห็นว่าไม่ใช่ว่ายันต์อักษรภูเขาและยันต์อักษรน้ำสองแผ่นจะแก้ไขได้
“ยอดเยี่ยมไปเลย ผินเต้ามีสมบัติชิ้นหนึ่งที่ค่อนข้างมีวาสนากับภูเขาเมฆาเรืองอยู่พอดี ความคิดอันเงียบสงบล่องลอยอยู่ในแสงเรื่อเรือง บังเอิญยิ่งนัก เป็นการให้ยาที่ถูกกับโรคพอดี”
ลู่เฉินหัวเราะฮ่าๆ หยิบกุยหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ด้านบนแกะสลักลายเมฆแบบนูน ของชิ้นนี้มีความมหัศจรรย์อย่างมาก สีสันจะสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล จำแลงภาพมงคลไม่ซ้ำกันออกมา และตัวอักษรโบราณที่แกะสลักก็จะสอดคล้องกับสี่ฤดู
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเจ้าลัทธิลู่ที่ไปพบผู้อาวุโสกู้บนทะเลแล้วช่วยขึ้นบกไปเยือนภูเขาเมฆาเรืองด้วยตัวเองอีกสักครั้ง”
ลู่เฉินถามอย่างกังขา “เจ้าไม่เอาของชิ้นนี้ไปส่งด้วยตัวเองหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลองเอาอย่างตู้อวี๋ดูบ้าง”
ไม่อย่างนั้นวันหน้าหากมีเวลาว่างแล้วได้ไปดื่มเหล้ากับหวงจงโหวที่ยอดเขาเกิงอวิ๋นอีกครั้งก็จะขาดรสชาติไปอีกหลายส่วน
ลู่เฉินถาม “ตู้อวี๋? เทพเซียนจากที่ใดกัน?”
แต่เฉินผิงอันกลับไม่สนใจ ปล่อยจิตใจจมดิ่งลงไปอีกครั้ง
ลู่เฉินจึงได้แต่ดื่มเหล้ากับเสี่ยวโม่ต่ออีกครั้ง ไม่พูดอะไรอีก
เสี่ยวโม่มองนักพรตหนุ่มที่สวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะ คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกย่อมมีความรู้สึกเดียวดายอย่างเลี่ยงได้ยาก
ใครเล่าจะรู้ขอเส้นทางไม่ขอปลา เวลานี้ถึงได้รู้ว่าตัวเองมีอิสระเสรีที่แท้จริง
“เจิ้งจวีจงไม่เสียแรงที่เป็นเจิ้งจวีจง!”
ลู่เฉินพลันเผยสีหน้าตกตะลึงระคนยินดี “ขนาดนี้แล้วยังถึงกับสกัดขวางไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย แล้วยังถือโอกาสจัดการกับภัยแฝงบางอย่างไปด้วย”
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น แบมือ “เอาเหล้ามากาหนึ่ง”
ลู่เฉินโยนเหล้าหมักเถาเจียงที่มาจากนครเสินเซียวไปให้หนึ่งกา
เฉินผิงอันแกะผนึกดินออก ดื่มเหล้าอึกใหญ่ เอ่ยเสียงเบาว่า “มารดามันเถอะ สักวันหนึ่งข้าผู้อาวุโสจะฆ่าไอ้ตะพาบนี่ให้ตายแม่งเลย”
เสี่ยวโม่ยังคงเอ่ยประโยคจากใจจริงประโยคนั้น “คุณชายสมกับเป็นเซียนกระบี่จริงๆ”
ลู่เฉินเช็ดหน้า สหายเสี่ยวโม่ผู้นี้จะต้องอยู่บนภูเขาลั่วพั่วได้อย่างเจริญก้าวหน้าแน่นอน
……
อาณาเขตภูเขาลั่วพั่ว เป็นวันธรรมดาที่ผ่านพ้นไปอีกวัน สายลมอบอุ่นแสงแดดงดงาม
วันนี้จูเหลี่ยนที่อยู่บนภูเขาฮุยเหมิงซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างได้พาเจี่ยงชวี่ลงงานด้วยตัวเอง พ่อครัวเฒ่ากำลังกระทุ้งดิน ผู้ฝึกตนหนุ่มช่วยช่างบนภูเขาตีเส้น
หน่วนซู่น้อยยังคงง่วนทำงานอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ตอนเช้าต้องไปทำความสะอาดห้องของนายท่านที่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ก่อน ไม่ทันระวังจัดหนังสือบนโต๊ะเบี้ยวไปอีกเล็กน้อย
เหวยเหวินหลงนักบัญชีกำลังตรวจสอบบัญชีร่วมกับลูกศิษย์ครึ่งตัวอย่างจางเจียเจิน ผู้คุมกฎฉางมิ่งนั่งดื่มน้ำชาอยู่ด้านข้างเงียบๆ
หมี่อวี้กำลังนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ที่โต๊ะหินริมหน้าผา เบิกตาใหญ่จ้องตาเล็กอยู่กับคนจิ๋วควันธูปแห่งศาลเทพอภิบาลเมืองประจำจังหวัดที่มาขานชื่อบนภูเขา
ไม่มีเฉินหลิงจวินคอยยั่วยุอยู่ด้านข้าง อันที่จริงหนึ่งคนตัวโตกับหนึ่งคนตัวเล็กก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกัน หากเด็กชายชุดเขียวอยู่ที่นี่ด้วยก็คงครึกครื้นกว่านี้ เพราะมักจะมีคำพูดที่ทำให้หมี่อวี้มึนงงหลุดจากปากมาเสมอ ยกตัวอย่างเช่นพอพูดถึงมือไม้อ่อนเวลาจับคน เฉินหลิงจวินจะต้องมองตากับคนจิ๋วควันธูป จากนั้นคนหนึ่งก็ปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่น อีกคนหนึ่งเอามือกุมท้องหัวเราะก๊าก กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนโต๊ะ หมี่อวี้ต้องใช้สมองขบคิดอยู่หลายตลบถึงจะเข้าใจว่าเจ้าบ้ากามสองคนพูดเรื่องอะไรกันอยู่
หมี่อวี้ล่ะอัดอั้นตันใจนัก ล้วนเป็นความสามารถที่เรียนรู้มาจากเจิ้งต้าเฟิงคนเฝ้าประตูทั้งหมดเลยหรือ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!