“ได้สิๆ ต้องได้อยู่แล้ว!”
แม่นางน้อยรีบวางคานหาบสีทองและไม้เท้าเดินป่าสีเขียวลง มือกำเชือกของกระเป๋าผ้าฝ้ายใบเล็กที่สะพายเอียงๆ เอาไว้แน่น วิ่งตะบึงไปที่โต๊ะตลอดทาง ตัวสูงจริงๆ เลยนะ หากรู้แต่แรกคงวิ่งน้อยลงสองก้าวไปแล้ว
หมี่ลี่น้อยแหงนหน้าถาม “หากผู้มาเยือนแค่ผ่านทางมาแล้วกระหายน้ำ ต้องรีบเดินทางต่อ บนโต๊ะมีน้ำเปล่าวางอยู่ หากยินดีนั่งพักชมทัศนียภาพสักครู่ก็สามารถดื่มชาได้ เดี๋ยวข้าจะไปต้มน้ำร้อนกาหนึ่งมาให้ท่าน”
บนดวงหน้าเล็กๆ คล้ายคาดหวังอย่างยิ่งให้แขกผู้มาเยือนพูดคำว่าไม่รีบร้อน
คนผู้นั้นยิ้มเอ่ย “ไม่ได้รีบร้อนเดินทางเป็นพิเศษ”
เพราะก่อนที่หลี่เซิ่งจะหวนกลับมายังไพศาล เขาต้องอยู่ในบริเวณใกล้ๆ กับภูเขาลั่วพั่วก่อน
หมี่ลี่น้อยคลี่ยิ้มกว้างทันใด “ใบชาเป็นของที่บ้านเอง ไม่ต้องเกรงใจ แต่ก่อนหน้านี้มีนักพรตเฒ่าบางส่วนที่ผ่านทางมาที่นี่เช่นเดียวกับท่าน ต่างก็บอกว่าน้ำชาอร่อยนะ แขกผู้มาเยือนรอสักครู่ นั่งลงก่อน ข้าจะไปต้มน้ำชงชาให้เดี๋ยวนี้แหละ”
เห็นว่าแขกยังยืนอยู่ หมี่ลี่น้อยก็รีบปรายตาไปมองม้านั่งยาว ยิ้มเอ่ยเสริมไปหนึ่งประโยคว่า “ท่านวางใจได้ แม้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจะมีฝนใหญ่ตกลงมา แต่ข้าเอาผ้ากับชายแขนเสื้อเช็ดอย่างละเอียดมาก่อนแล้ว”
ไม่กล้าพูดว่าบนโต๊ะไม่มีฝุ่นติดสักเม็ด แต่ก็สะอาดสะอ้านแน่นอน
ทุกๆ เกือบครึ่งชั่วยาม ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วจะต้องวิ่งมาเช็ดรอบหนึ่ง จะไม่สะอาดได้หรือ?
บุรุษยิ้มเอ่ย “ตกลง”
แม่นางน้อยชุดดำไปกลับอย่างรวดเร็ว นางเขย่งปลายเท้า ท่วงท่าคล่องแคล่ว มือเท้าว่องไว ยื่นน้ำชาร้อนๆ ถ้วยหนึ่งส่งให้แขก
บุรุษใช้สองมือรับถ้วยชามา เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ
หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม คลี่ยิ้มเขินอาย โบกมือเบาๆ แล้วเอ่ยขอตัวลา กลับไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตูภูเขา ระหว่างที่เดินยังหมุนตัวกลับมาบอกกับแขกผู้มาเยือนว่าหากมีเรื่องอะไรก็เรียกนางได้เลย
บุรุษดื่มชาด้วยท่วงท่าผ่อนคลายสบายอารมณ์ มองดูแล้วมีกลิ่นอายเซียนอย่างมาก
เห็นสายตามองประเมินของแม่นางน้อย บุรุษก็ยิ้มพลางยกถ้วยชาขึ้น
แม่นางน้อยคลี่ยิ้ม รู้สึกลำบากใจเล็กน้อยจึงรีบหันหน้ากลับมา นั่งตัวตรงอย่างสำรวมอยู่กับตัวเองต่อไป
ห่างไปไกลมีเด็กชายชุดเขียวคนหนึ่งเดินเรอเพราะเพิ่งดื่มสุรามา เห็นว่าหมี่ลี่น้อยนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ตรงโต๊ะมีบุรุษแปลกหน้านั่งอยู่อีกคน สวมเสื้อผ้าเหมือนกับห่านขาวใหญ่อย่างมาก
เฉินหลิงจวินจึงเดินอาดๆ จนชายแขนเสื้อส่ายสะบัด ตะโกนมาแต่ไกล “โอ้ หมี่ลี่น้อย มีแขกมาเยือนอีกแล้วหรือ?”
หมี่ลี่น้อยตอบกลับ “อืม จิ่งชิงกลับมาแล้วหรือ”
เฉินหลิงจวินถาม “ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาต้องการให้ช่วยหรือไม่?”
หมี่ลี่น้อยยิ้มกว้าง โบกมือเป็นวงใหญ่ “ฮ่า ไม่ต้องๆ”
รอกระทั่งค่อยๆ ขยับเข้าใกล้โต๊ะตัวนั้น เฉินหลิงจวินจึงเริ่มชะลอฝีเท้า ชายแขนเสื้อสองข้างก็ไม่โบกสะบัดอีก
เห็นว่าบุรุษคล้ายบัณฑิต เป็นบัณฑิตก็ดีน่ะสิ เพราะต้องพิถีพิถันในคำว่าวิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ
เฉินหลิงจวินยืนอยู่ข้างโต๊ะ บังอยู่ตรงกลางระหว่างแขกกับหมี่ลี่น้อยไว้พอดี
เฉินหลิงจวินประสานมือคารวะพลางเอ่ยว่า “เฉินหลิงจวินแห่งภูเขาลั่วพั่วคารวะท่านอาจารย์ ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์มาเยี่ยมเยียนสหายหรือแค่ผ่านทางมาชมทัศนียภาพเท่านั้น?”
บุรุษยิ้มบางๆ “ไม่ต้องเกรงใจ ข้ากับอาจารย์ของเจ้าเป็นสหายรักกัน”
เฉินหลิงจวินมึนงง ตนมีสหายในยุทธภพมากเกินจะนับจริงๆ ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าผู้นี้พูดถึงใครอยู่กันแน่
พลันเกิดความกระวนกระวายไม่สบายใจ
กังวลว่าจะเป็นนักพรตหนุ่มของยอดเขาพาตี้อีกคน
คาดว่านักพรตน้อยคนนั้น เวลาปกติคงจะค่อนข้างเกียจคร้านฝึกตน ขอบเขตถึงได้ไม่สูง เรียกได้ว่าธรรมดาสามัญสุดๆ
แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่อาจารย์ของคนเขาเป็นถึงลูกพี่ใหญ่แห่งวิถีขาวดำสองสายของอุตรกุรุทวีป
เฉินหลิงจวินยิ้มถามต่อไปว่า “อาจารย์คงมาจากทางเมืองหงจู๋กระมัง เคยถูกเด็กตัวเท่าก้นที่ตั้งโต๊ะอยู่ในศาลาคนหนึ่งดักขวางทางเพื่อบันทึกชื่อหรือไม่?”
บุรุษยังคงตอบไม่ตรงคำถามอยู่เหมือนเดิม “อาจารย์ของข้าคือเฉินจั๋วหลิวแห่งอุตรกุรุทวีป”
เฉินหลิงจวินกระจ่างแจ้งโดยพลัน มารดามันเถอะ ในที่สุดนายท่านใหญ่เฉินก็ได้เจอกับคนธรรมดากับเขาสักที!
ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนลูกศิษย์ของเจ้าเฉินจั๋วหลิวผู้นั้น ก็บัณฑิตนี่นะ ทั่วร่างย่อมมีแต่กลิ่นอายตำรา
แต่เฉินจั๋วหลิวที่ยากจนจนในกระเป๋าไม่มีเสียงเงินกระทบกันก็ใช้ได้เลยนี่นา คาดว่าคงเป็นลูกศิษย์ที่ในกระเป๋ามีเงินซึ่งเขารับมาไว้สินะ? ขาดอะไรก็เสริมอย่างนั้นจริงๆ เสียด้วย
เฉินหลิงจวินกระแอมสองสามที สะบัดชายแขนเสื้อสองข้าง นั่งลงบนม้านั่งยาว “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องนับลำดับอาวุโสแยกกันไป ไม่ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ลุงหรอก เรียกข้าว่าสหายจิ่งชิงก็พอแล้ว ถึงอย่างไรอาจารย์ของเจ้าก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเราก็คบหากันโดยนับเป็นคนรุ่นเดียวกันไปก็แล้วกัน”
เห็นว่าบุรุษคนนั้นหยุดดื่มชา คลี่ยิ้มมีเลศนัย
เฉินหลิงจวินก็คล้ายได้กินยาสงบใจ ต้องเป็นลูกหลานตระกูลร่ำรวยของล่างภูเขาที่เฉินจั๋นหลิวหลอกมาได้แน่นอน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ฝึกตนในภูเขาอย่างพวกข้าหน้าตาไม่แปรเปลี่ยน แล้วจะวิเคราะห์อายุจากหน้าตาได้อย่างไร?
หรือว่าเจ้าเฉินจั๋วหลิวทำตัวไร้คุณธรรม ไม่เคยพูดถึงพี่น้องคนดีอย่างตนกับลูกศิษย์ของตัวเองมาก่อน? มารดามันเถอะ หากอีกฝ่ายไร้ความพิถีพิถันเช่นนี้จริงๆ คราวหน้าเจอกัน คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเขาอย่างไร
ในหัวเฉินหลิงจวินพลันมีลำแสงเปล่งวาบ กลายเป็นว่าอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาอีก ถามหยั่งเชิงว่า “เฉินจั๋วหลิวได้ลูกศิษย์ที่ดีจริงๆ ข้าว่าขอบเขตของน้องชายก็คงไม่ต่ำกระมัง?”
ในเรื่องของการไม่ทำความผิดซ้ำเดิม เฉินหลิงจวินรู้สึกว่าตัวเองมีฝีมืออย่างมาก
เจิ้งจวีจงตอบกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “ไม่ต่ำ แต่ก็ไม่สูง ตอนนี้ถือว่าขอบเขตเท่ากับอาจารย์”
ถ้าอย่างนั้นก็แน่ใจได้แล้ว!
เฉินหลิงจวินได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดังลั่นอย่างชอบใจ ยกนิ้วโป้งให้อีกฝ่าย “ไม่เลว ไม่เลว!”
เจิ้งจวีจงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มังกรบินทะยานอยู่บนฟ้า เมฆฝนอบอวล คมกระบี่เก่าฝืดด้าน แต่แสงศักดิ์สิทธิ์ยังคงอยู่ ฟ้าฝนเคลื่อนผ่าน บนผนังมีเสียงคำรามดังกึกก้อง ขับขานเป็นหนึ่ง”
เฉินหลิงจวินได้ยินแล้วก็อืมๆๆ พยักหน้ารับอยู่ตลอด
นี่เจ้ากำลังร่ายกวีให้ข้าฟังรึ
ไม่เสียทีที่เป็นลูกศิษย์ของเฉินจั๋วหลิว
เฉินหลิงจวินไม่รู้สึกกังขาอีกแม้แต่นิดแล้ว
ส่วนเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายอ้อมผ่านป๋ายเสวียนกับจ้าวซู่เซี่ยจนมาถึงที่นี่ได้อย่างไร ถึงอย่างไรบนภูเขาก็มีห่านขาวใหญ่อยู่ ทางเหนือยังมีเว่ยซานจวิน ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้หรอก
ชุยตงซานยืนอยู่บนขั้นบันไดบนสุดของเส้นทางภูเขา หรี่ตามองเจ้าคนที่กำลังพูดคุยกับนายท่านใหญ่เฉิน
ต้องนับถือในความใจกล้ามหาศาล แต่กลับมีดวงชะตาที่แข็งยิ่งกว่าของเฉินหลิงจวินจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!