เจิ้งจวีจงเคยรับปากชุยฉานว่าจะช่วยปกป้องมรรคาให้ศิษย์น้องเล็กของเขาระยะทางหนึ่ง
หากนี่ยังไม่ใช่การปกป้องมรรคาอีก แล้วแบบไหนจึงจะใช่?
ชุยตงซานเอ่ยอย่างอัดอั้น “คนบางคนก็ดีแต่รังแกที่อาจารย์ข้าอายุน้อย ขอบเขตไม่สูง”
เจิ้งจวีจงหยุดเดิน
ไม่ถือสาที่ชุยตงซานพูดจากระทบกระเทียบ ก็แค่รู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ของชุยตงซานพูดเหมือนคนอ่อนแอเกินไป
คนอ่อนแอไม่ใช่ว่าร่างกายบอบบาง มือเท้าไร้กำลัง ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาในสายตาของคนบนภูเขา แล้วก็ไม่ใช่คนกลางภูเขาในสายตาของผู้ฝึกตนบนยอดเขา
แต่เป็นคนที่เวลาเจอเรื่องอะไรก็ตามแต่ มักจะชอบหาข้ออ้าง เป็นเพราะนิสัยใจคอของคนคนนั้นอ่อนแอเกินไป
ชุยตงซานชูสองมือขึ้น “ถือว่าข้าผายลมก็แล้วกัน”
น้อยครั้งนักที่ต้องสะอึกอึ้งพูดไม่ออกเช่นนี้
ใครให้เจ้าคนที่อยู่ข้างกายก็คือเจิ้งจวีจงเล่า
อาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดมรรคาให้กับเจิ้งจวีจงอย่างเฉินจั๋วหลิวคนพิฆาตมังกร ต่อให้เขายินดีออกกระบี่ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะปกป้องอาณาเขตของหลงโจวได้อย่างครอบคลุมขนาดนี้
ในความเห็นของชุยตงซาน คนที่คู่ควรจะถูกเรียกว่าเป็นผู้บรรลุมรรคาที่มีพร้อมทั้งป้องกันและโจมตีอย่างแท้จริง มีน้อยจนนับนิ้วได้ เจ้านครจักรพรรดิขาวยึดครองตำแหน่งหนึ่งในนั้นไปได้อย่างมั่นคง
ชุยตงซานสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ถามว่า “ในเมื่อเรื่องราวก็ยุติลงแล้ว ยังจะเดินเล่นอยู่ที่นี่อีกหรือ?”
เจิ้งจวีจงกล่าว “ข้ากำลังรอทางหนีทีไล่อย่างที่สองของเฉินผิงอันอย่างหลี่ซีเซิ่ง แต่เฉินผิงอันก็ยังใจอ่อนเกินไป ทั้งไม่ยินดีจะขอร้องข้า แล้วก็ไม่ยินดีจะถ่วงเวลาการฝึกตนของหลี่ซีเซิ่ง ก็เลยได้แต่ทำการค้ากับข้าแทน”
คนผู้หนึ่งที่ตบะและศักยภาพไม่สามารถใช้ขอบเขตสูงต่ำ ไม่สามารถใช้หลักการทั่วไปมาประเมินได้
หลิ่วชื่อเฉิงผู้เป็นศิษย์น้องเคยนำความของหลี่ซีเซิ่งมาบอกต่อแก่ตน
เจิ้งจวีจงจึงรอคอยอย่างยิ่งที่จะได้เล่นหมากล้อมกับหลี่ซีเซิ่ง
ชุยตงซานถาม “หากอาจารย์ของข้าขอร้องท่าน จะเป็นอย่างไร?”
เจิ้งจวีจงกล่าว “ยังจะเป็นอย่างไร ข้าไม่มีทางตอบตกลง”
จู่ๆ ซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งก็มาโผล่ด้านหลังคนทั้งสอง เอามือหนึ่งกดหัวชุยตงซานแล้วผลักออกไปด้านข้าง ยื่นมือมาคว้าแขนเจิ้งจวีจงเอาไว้ หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “อาจารย์เจิ้ง อาจารย์เจิ้ง โปรดหยุดก่อน ไป กลับไปดื่มชากัน”
เจิ้งจวีจงหยุดเดิน ส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “อาจารย์เหวินเซิ่ง ชาคงไม่ดื่มแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อาจารย์เจิ้งโปรดไว้หน้าข้าด้วย!”
อุตส่าห์พูดจาตรงไปตรงมาขนาดนี้แล้ว ก่อนหน้านั้นเร่งร้อนเดินทางมายังภูเขาลั่วพั่ว แอบฟังมาตลอดทาง ในที่สุดซิ่วไฉเฒ่าก็อดทนไม่ไหวแล้ว แน่นอนว่าเจิ้งจวีจงย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ก็แค่ไม่ได้เปิดโปงเท่านั้น
เจิ้งจวีจงสะอึกอึ้งพูดไม่ออก
เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ซิ่วไฉเฒ่าขยุ้มชายแขนเสื้อของเจิ้งจวีจงเอาไว้แน่น เอ่ยเสียงบา “คนฉลาดไยต้องทำให้คนดีลำบากใจด้วยเล่า”
ชุยตงซานเงียบงันไม่พูดไม่จา เอาแต่มองใบหน้าด้านข้างของซิ่วไฉเฒ่าอย่างเหม่อลอย
เจิ้งจวีจงหัวเราะ หันไปมองทางโต๊ะ พยักหน้าเอ่ย “น้ำชาของภูเขาลั่วพั่วไม่เลวเลยจริงๆ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะใช้ทรัพย์สินของคนอื่นมาสร้างประโยชน์ให้กับตัวเอง เชิญเหวินเซิ่งดื่มชา?”
ซิ่วไฉเฒ่าลากเจิ้งจวีจงเดินกลับไป หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ประเสริฐยิ่งแล้ว!”
ทว่าชุยตงซานกลับยังยืนอยู่ที่เดิม
ซิ่วไฉเฒ่าหันมาถลึงตาใส่ “มัวยืนอึ้งอยู่ทำไม รีบไปรินน้ำชาเข้าสิ เจ้านี่ตาไม่มีแววเอาเสียเลย แย่กว่าหมี่ลี่น้อยตั้งหนึ่งแสนแปดพันลี้!”
ชุยตงซานเค้นรอยยิ้มออกมา แล้ววิ่งตุปัดตุเป๋ไปแย่งหน้าที่ยกน้ำส่งชาที่โต๊ะ
ซิ่วไฉเฒ่าใช้เสียงในใจเอ่ยกับเจิ้งจวีจง “ขอบคุณมาก”
ยามที่ขอร้องคนอื่นต้องหน้าหนา ตอนที่ขอบคุณคนอื่นต้องหน้าบาง
เจิ้งจวีจงมองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มชุดขาวแล้วใช้เสียงในใจตอบว่า “เหวินเซิ่งไม่ต้องขอบคุณ อันที่จริงข้าเองก็มีใจเห็นแก่ตัว เขาจะไม่ใช่ลูกศิษย์คนแรกของสายเหวินเซิ่งก็ได้ แต่เขาจำเป็นต้องเป็นซิ่วหู่คนใหม่ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม”
ซิ่วไฉเฒ่าไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ “วันหน้าข้าจะต้องไปเป็นแขกที่นครจักรพรรดิขาวบ่อยๆ แน่นอน”
เจิ้งจวีจงยิ้มกล่าว “เหวินเซิ่งขาดสุรา ข้าสามารถให้คนเอาไปส่งให้ที่ศาลบุ๋นได้”
เห็นได้ชัดว่าเป็นคำเตือนว่าเจ้าซิ่วไฉเฒ่าอย่าได้ไปที่นั่นเลย
ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้าพูดบ่น “จะมาเกรงใจข้าทำไม ห่างเหินกันเกินไปแล้วนะ!”
……
ใต้หล้าสี่แห่ง ฤดูกาลมีความต่าง มีใบไม้ร่วง ร้อน ใบไม้ผลิ หนาวเหมือนกันพอดี ต่างก็ได้ครอบครองกันอย่างละฤดูกาล
ห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิง ห้านครในนั้นแบ่งออกเป็นนครชิงชุ่ย นครหลิงเป่า นครหนันหัว นครเสินเซียว นครอวี้ก่าง
ด้านในนครชิงชุ่ยมีที่ตั้งเก่าของหุบเขาหานกู่ สระเหมี่ยวฉือ ป่าท้อของนครเสินเซียว รวมไปถึง ‘สถานที่เมฆขาวก่อกำเนิด’ ล้วนเป็นสถานที่ที่ทิวทัศน์งดงามมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้า
รองเจ้านครของนครทั้งห้า จำนวนมีตั้งแต่หนึ่งถึงสองสามคน ไม่เท่ากัน ล้วนขึ้นอยู่กับความพอใจของเจ้านคร อย่างนครหนันหัวก็มีมากถึงสามคน บินทะยานหนึ่งคนเซียนเหรินสองคน หากศิษย์พี่อวี๋โต้วไม่ห้ามไว้ ลู่เฉินก็สามารถเพิ่มรองเจ้านครได้อีกสองถึงสามคน ถึงขั้นจะยอมแหกกฎให้ขอบเขตหยกดิบรับหน้าที่เป็นรองเจ้านครด้วยซ้ำไป
ป๋ายอวี้จิงมีแค่หนึ่งนครกับสองหอเรือนเท่านั้นที่มีความเคยชินในการข้ามปีพอๆ กับขนบธรรมเนียมของล่างภูเขา นครชิงชุ่ยที่มีอีกชื่อว่า ‘นครอวี้หวง’ และยังมีหออวิ๋นสุ่ยกับหอหลินหลาง
เด็กน้อยสอนเขียนยันต์ท้อ นักพรตมอบให้กลับคืนทุกปี
ไม่หลับไม่นอนเพื่อเฝ้าคืน โลกมนุษย์มีอายุเพิ่มอีกหนึ่งปี ขอพรให้กับใต้หล้า ทุกบ้านทุกครอบครัวราบรื่นปลอดภัย มีความสุขสมหวัง
สำหรับผู้ฝึกตนที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวแล้ว อันที่จริงนี่คือปัญหาที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กอย่างหนึ่ง กลอนคู่ที่ต้องติดก่อนวันปีใหม่ พอถึงเทศกาลหยวนเซียวก็ต้องเอาลง
อีกทั้งยังต้องวาดยันต์ท้อ แขวนไว้ตามที่ต่างๆ โชคดีที่เคยชินจนกลายเป็นธรรมชาติไปแล้ว จึงกลายเป็นว่าดีขึ้นมาหน่อย แล้วนับประสาอะไรกับที่คนที่มีความสุขที่สุดยังคงเป็นพวกนักพรตน้อยที่อายุไม่มากทั้งหลาย ไม่เพียงแต่ครึกครื้นสนุกสนาน ประเด็นสำคัญคือยังได้ซองแดงมาอีกกองใหญ่ จับกลุ่มแวะเวียนไปตามบ้านต่างๆ ไปสวัสดีปีใหม่กับพวกผู้อาวุโสทั้งหลาย ได้เงินเกล็ดหิมะสองสามเหรียญมาจากตรงนี้ ได้อีกสามสี่เหรียญจากตรงนั้น บางครั้งยังได้ซองแดงซองใหญ่ที่บรรจุเงินร้อนน้อยไว้หนึ่งถึงสองเหรียญอีกด้วย เอามารวมกันแล้วก็กลายเป็นเงินยาสุ้ยก้อนไม่เล็กเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!