เจ้าอ้วนเยี่ยนยังชอบไปเก็บดอกท้อ กิ่งท้อเอามาทำเป็นที่คั่นหนังสือและด้ามพู่กันไม้ท้อ ช่องทางการขายก็ดีมาก ไม่ต้องกลุ้มว่าจะขายไม่ออกเลยสักนิด
เพราะเขาแอบบอกกับอารามเสวียนตูอย่างเป็นนัยๆ ว่า ดูเหมือนว่าทุกวันนี้การเก็บเกี่ยวประจำปีจะน่ากังวลอย่างมาก เหล่าผู้แสวงบุญรายใหญ่ เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้วเงินค่าธูปเทียนลดน้อยลงไปเยอะเลย พวกเขาไม่ใจกว้างมือเติบกันเท่าไรแล้ว ดังนั้นเงินเทพเซียนที่เขาหามาได้ก็จะต้องแบ่งให้กับใครบางคนด้วย
ยังบอกอีกว่าที่เขาทำคือการประกอบพิธีกรรมในเปลือกหอย หากปล่อยให้เขาเปิดร้าน รับรองว่าจะมีเงินทองไหลมาเทมาทุกวัน
ทุกครั้งเจ้าอ้วนเยี่ยนจะต้องตบอกจนเนื้อไขมันสั่นกระเพื่อม ราวกับเอาตะเกียบตีลงไปบนไขมันของเนื้อสามชั้นอย่างไรอย่างนั้น
เห็นแล้วก็มันเลี่ยนจนทำให้คนสะอิดสะเอียนได้เลยทีเดียว
ทุกครั้งแม่นางน้อยจะต้องกลอกตามองบน หรือไม่ก็หันไปมองที่อื่นแทน
‘เจ้าอ้วนเยี่ยน หากข้าแต่งงาน เจ้าจะเสียใจหรือไม่’
‘พูดจาเหลวไหลอะไร ข้าจะไม่เสียใจจนใจแทบขาดเลยหรือ? จะไม่ผอมจนหนักไม่ถึงร้อยจิน (ประมาณห้าสิบกิโลกรัม) เลยหรือไร?’
‘ฮ่า ผอมจนกลายเป็นเจ้าอ้วนเยี่ยนครึ่งตัว’
เฉาเกอเองก็เหมือนกับอู๋ซวงเจี้ยงที่ต่างก็เป็นหนึ่งในสิบคนของใต้หล้ามืดสลัว แต่เพียงเพราะปิดด่านนานหลายปีจึงหลุดออกจากรายชื่อ
สำหรับในเรื่องนี้ก็มีเพียงนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่เท่านั้นที่ ‘มั่นคง’ ที่สุด ไม่มีหนึ่งในอะไรด้วยซ้ำ
เพราะนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เจ้าอารามผู้เฒ่ามีรายชื่อติดอันดับก็ไม่เคยหลุดออกจากโผสิบคนมาก่อน แม้แต่อันดับบนรายชื่อก็ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
อันดับที่ห้า
เฉาเกอยืนอยู่ข้างสวีเจวี้ยน บนร่างของนางเต็มไปด้วยอารมณ์แห่งกวี คิ้วตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอ่อนหวาน
ข้างกายเฉาเกอยังมีนักพรตหญิงอีกคนหนึ่งที่ร่ายเวทอำพรางตาชั้นสูง ทำให้คนรู้สึกเหมือนมองดอกไม้ในม่านหมอก รูปโฉมของนางที่ปรากฏในสายตาของคนอื่นเกิดการเปลี่ยนแปลงไปหลายร้อยรูปแบบ
นักพรตหญิงขอบเขตสิบสี่คนนี้หันหน้าไปมองนักพรตซุนด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
นักพรตซุนคลี่ยิ้มเขินอายให้นางอย่างที่หาได้ยาก ในรอยยิ้มแฝงไว้ด้วยอาการใจฝ่ออีกสองสามส่วน
บุรุษตัวโตๆ ทั้งหลาย ใครเล่าไม่เคยเป็นหนุ่มมาก่อน จะไม่มีความรักฉันท์ชายหญิงที่ทำให้วีรบุรุษต้องทดท้อใจอยู่เลยได้อย่างไร
ห่างไปไม่ไกล บุรุษเครางามที่มีลักษณะเหมือนชายวัยกลางคนคนหนึ่ง มีชื่อว่าเหยาชิง นามไพเราะ ฉายาว่า ‘โส่วหลิง’
เป็นหัวหน้าสภาขุนนางสามสมัยของราชวงศ์ชิงเสินซึ่งเป็นราชวงศ์ที่มีเด็กหนุ่มอู่หลิงปรากฎตัว ถูกขนานนามว่า ‘เสนาบดีรูปงาม’
ราชวงศ์แห่งนี้คือพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลที่มีชื่อเสียงระดับโลก เป็นสวนป่าหยกทอง ลานประกอบพิธีแก้วแวววาวอย่างสมชื่อ
ฮ่องเต้สามรัชสมัยของใต้หล้ามืดสลัวไม่เหมือนใต้หล้าไพศาลที่อย่างมากสุดก็ดำรงตำแหน่งได้ร้อยปีกว่า อยู่ที่นี่ตรงข้ามกันเลย คนที่สามารถสวมชุดคลุมมังกรนั่งอยู่บนบัลลังก์ได้ แทบทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ที่พรสวรรค์โดดเด่น มรรคกถาลึกล้ำ อายุขัยยาวนาน ตระกูลฮ่องเต้ทุกพระองค์ล้วนเป็นตระกูลที่มีการสืบทอดมรรคกถาอย่างยาวนาน ฮ่องเต้ในแต่ละยุคสมัยยังสามารถหล่อหลอมเส้นทางมังกร ดังนั้นจึงมีเพียงราชวงศ์เก่าแก่ตกอับที่เป็นดั่งตะวันลาลับตรงภูเขาตะวันตก ในบรรดาลูกหลานมังกรไม่มีตัวอ่อนผู้ฝึกตนที่ต้องเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนได้แน่นอนเท่านั้นที่ถึงจะหมายความว่าชะตาแคว้นกำลังจะเสื่อมถอย ไม่ต้องให้กองโหราศาสตร์เตือนด้วยซ้ำ
เหยาชิงเคยสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง สังหารสามอสุภะ ร่วมกันขึ้นทำเนียบแห่งเซียน
เซียนสละศพสามตน เผยจี เหวยจวีเต้า อวี่เหวินซานลู่ หนึ่งเซียนเหรินสองหยกดิบ
ในใต้หล้ามืดสลัว เซียนสละศพก็เหมือนกับโจรข้าวสาร คนหาบของและอาจารย์คำเดียว แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นถูกมองเป็นพวกมารนอกรีตที่ไม่ว่าใครพบเห็นก็อยากสังหารให้หมดสิ้น แต่ก็ไม่มีทางกล้าขยับเข้ามาใกล้อาณาเขตของป๋ายอวี้จิงง่ายๆ อย่างแน่นอน
แต่นักพรตซุนได้ตั้งชื่อให้กับหัวหน้าสภาซุนไว้อย่างหนึ่ง ‘ซื่อปู้เซี่ยง’ (สี่ไม่เหมือน หรือคนที่ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง)
ตัวเหยาชิงไม่ถือสาเลยแม้แต่น้อย
กลับเป็นเผยจีหนึ่งในสามอสุภะของเหยาชิงที่เคยไปหาเรื่องสายของเซียนกระบี่อารามเสวียนตูใหญ่
หลังจากนั้นอารามเสวียนตูใหญ่ก็พาเซียนกระบี่กลุ่มใหญ่ไปเที่ยวเยือนราชวงศ์ชิงเสิน พูดจาเสียไพเราะว่าไปเพื่อคบหาสหาย แต่แท้จริงแล้วคือไปดักรอหน้าประตู
ตัวนักพรตซุนกลับไม่ได้เผยโฉม ไม่อย่างนั้นจะเป็นการรังแกคนอื่นมากเกินไป ไปก็ไปอยู่ นี่ถึงได้กลายเป็นสหายต่างวัยกับหนึ่งในห้าเด็กหนุ่มอู่หลิงที่อายุน้อยที่สุด
เป็นคนมีชื่อเสียงต้องเป็นแต่เนิ่นๆ ตีคนก็ยิ่งต้องตีแต่เนิ่นๆ
สตรีที่ยืนเคียงบ่ากับเหยาชิง ‘เสนาบดีรูปงาม’ คือป๋ายโอ่วผู้เป็นราชครู
เรือนกายสูงเพรียว รูปโฉมงามล้ำ มีเสน่ห์งามเย้ายวนอย่างเป็นธรรมชาติ
ตรงเอวห้อยง้าวขนาดเล็กไว้ชิ้นหนึ่ง มีชื่อว่า ‘เถี่ยซื่อ’
นางคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่ง ยืนตระหง่านอยู่บนยอดสูงสุดของวิถีวรยุทธมาร้อยกว่าปี เป็นหนึ่งในปรมาจารย์ใหญ่ด้านการฝึกยุทธสิบคนของใต้หล้ามืดสลัว อยู่ในอันดับสูงถึงอันดับที่สาม
ไม่เหมือนกับการประเมินผู้ฝึกลมปราณในทุกๆ ร้อยปีที่ทุกคนต่างรู้สึกว่าระยะห่างน้อยเกินไป เพราะการประเมินทุกๆ หกสิบปีของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวกลับยาวนานเกินไปอย่างเห็นได้ชัด
ครั้งแรกที่ป๋ายโอ่วมีรายชื่อติดกระดาน อันดับของนางอยู่ล่างสุด จากนั้นแทบจะทุกๆ สิบปี คนที่อยู่ก่อนหน้านางก็จะถูกนางจัดการ เป็นเหตุให้เวลาไม่ถึงหกสิบปี นางจึงได้ทยอยถามหมัดไปแล้วสี่ครั้ง ผลการต่อสู้คือชนะทุกครั้ง ตายสามมีชีวิตรอดหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางเพียงหนึ่งเดียวที่มีชีวิตรอดยังขอบเขตถดถอย รอกระทั่งป๋ายโอ่วได้มีรายชื่อติดอันดับเป็นครั้งที่สอง นางก็ได้เลื่อนเป็นสามอันดับแรกแล้ว
ดังนั้นจึงมีการนำนางไปเปรียบเทียบกับเผยเปยแห่งใต้หล้าไพศาลอยู่ตลอดเวลา
และป๋ายโอ่วเองก็อยากลองงัดข้อประลองฝีมือกับเทพีแห่งการต่อสู้ผู้นั้นมาโดยตลอด
ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นราชครู ทั้งยังเป็นสตรีด้วยกันทั้งคู่
นักพรตซุนเหลือบตามองแม่นางน้อยคนนั้น
ยามที่ป๋ายโอ่วรับมือกับศัตรูมักจะชอบตัดหัวของอีกฝ่ายเสมอ
นักพรตผู้เฒ่าสงสัยใคร่รู้มาโดยตลอด พกอาวุธมีคมติดตัวแบบนี้ จะสะพายดีๆ ก็ไม่สะพาย ดันเอามาห้อยแขวนไว้ตรงเอว เวลาเดินมันจะไม่บาดต้นขาเอาหรือ
ต่อให้เรือนกายของผู้ฝึกยุทธจะแข็งแกร่งมากพอ แต่อาวุธเทพเองก็แหลมคม หากกรีดชุดคลุมอาคมขาดขึ้นมาจะไม่เผยภาพวสันต์ให้ประจักษ์แก่สายตาผู้อื่นหรอกหรือ?
น่าเสียดายที่อาเหลียงไม่ได้อยู่ในใต้หล้ามืดสลัวนานนัก ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของเจ้าหมอนั่นจะต้องช่วยถามแทนตนอย่างแน่นอน
ส่วนตนน่ะหรือ ถึงอย่างไรก็อายุมากแล้ว มิอาจเปิดปากถามเช่นนี้ได้ ไม่อย่างนั้นจะถูกคนวิจารณ์ว่าแก่แล้วทำตัวไม่น่าเคารพเอาได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!