เสี่ยวโม่รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
ตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่พูดคุยกับสหายลู่อย่างถูกคอ สหายลู่เล่าให้ฟังว่าคุณชายบ้านตนมีนิสัยอยู่สามข้อที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน นับแต่เด็กมาก็เคารพครูบาอาจารย์อย่างมาก เป็นเหตุให้มีวาสนากับพวกผู้อาวุโสดีเยี่ยม ชอบทำตัวเป็นกุมารแจกทรัพย์ ดังนั้นจึงมีสหายอยู่ทั่วหล้า
สุดท้ายคือชอบจดบัญชี ตอนนั้นสหายลู่พูดจาน่าเชื่อถือบอกว่าหากไม่เชื่อ รอให้ไปถึงเมืองหลวงต้าหลีแล้วได้เจอลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของคุณชายบ้านเจ้ากับตาตัวเองก็จะเข้าใจได้เอง
หน้าประตูตรงนี้มีม้านั่งยาวอยู่สองตัว ซิ่วไฉเฒ่ากดมือลงบนความว่างเปล่า “พี่เสี่ยวโม่ พวกเรานั่งคุยกันเถอะ”
เฉินผิงอันกล่าว “อาจารย์ ไม่สู้ไปหาที่ดื่มเหล้ากันดีไหมขอรับ?”
ซิ่วไฉเฒ่าถามอย่างเป็นกังวล “ดื่มได้หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ขอบเขตตามสุรา ยิ่งดื่มก็ยิ่งมี”
ซิ่วไฉเฒ่าอืมรับหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปที่หอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋นกันเถอะ ใกล้หน่อย”
หากไม่เป็นเพราะพี่เสี่ยวโม่อยู่ที่นี่ด้วย ซิ่วไฉเฒ่าคงจะพาลูกศิษย์คนสุดท้ายไปดื่มเหล้ากับผู้อาวุโสเฟิงอี๋ที่ศาลเทพอัคคีแล้ว มีซุ้มดอกไม้ นั่งแล้วเย็นสบาย
ขอดื่มเหล้าเปล่าๆ? ซิ่วไฉเฒ่ากล้าถามมโนธรรมในใจตัวเอง กล้าพูดว่าตนกับลูกศิษย์คนสุดท้ายไม่ใช่คนแบบนั้น ใครกล้าพูดคำว่าไม่ แน่จริงก็เดินออกมา ซิ่วไฉเฒ่าจะเอาสุราคืนให้เขาไป
เดินไปที่ตรอกเส้นนั้นด้วยกัน ในลานประกอบพิธีกรรมที่อยู่หน้าตรอกเล็ก หลิวเจียผู้ฝึกตนเฒ่ากำลังลากเอาจ้าวหมิงผู้เป็นลูกศิษย์มาดื่มเหล้าด้วยกัน
สังเกตเห็นคนสามคนที่อยู่นอกตรอกเล็ก หลิวเจียก็รีบสลายตราผนึกของลานประกอบพิธีกรรมทิ้ง หันไปกุมหมัดคารวะเหวินเซิ่งก่อน ช่วงนี้ผู้ฝึกตนเฒ่าสนิทสนมกับซิ่วไฉเฒ่าเป็นอย่างดี
เฉินผิงอันเอ่ยแนะนำ “นี่คือเสี่ยวโม่ โม่จากคำว่าโม่เซิง เป็นผู้ถวายงานภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา”
หลิวเจียตีหน้าเคร่งพยักหน้ารับ ปล่อยไปเถอะ ปล่อยไปเถอะ หากยังทำตัวเป็นคนโง่เจอใครก็ขวางทางอีก ข้าผู้อาวุโสจะใช้แซ่เดียวกับเจ้าเฉินผิงอันเลย
ผู้ฝึกตนเฒ่าลังเลเล็กน้อย แต่ก็อดไม่ไหวต้องใช้เสียงในใจเอ่ยเรียก “เจ้าขุนเขาเฉิน?”
เฉินผิงอันหยุดเดินทันใด ถามว่า “มีอะไรหรือ?”
ดูเหมือนผู้ฝึกตนเฒ่าจะลำบากใจที่ต้องพูด แต่ก็ยังบากหน้าถามว่า “ช่วงนี้คงไม่มีคนต่างถิ่นผ่านมายังที่แห่งนี้อีกกระมัง?”
จะดีจะชั่วก็ให้ข้าได้พักหายใจหายคอบ้าง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องแบบนี้ข้าจะรับรองได้อย่างไร ขาคนอื่นไม่ได้มาอยู่บนร่างข้าสักหน่อย ถึงอย่างไรอีกไม่นานข้าก็จะออกไปจากเมืองหลวงแล้ว”
หลิวเจียถอนหายใจโล่งอก
ผู้ฝึกตนเฒ่ามองไปยังคนหนุ่มที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียว
เสี่ยวโม่รีบผงกศีรษะยิ้มบางๆ ให้หลิวเจียทันใด
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “รอให้ข้าจากไปแล้ว หลิวเซียนซืออย่าลืมไปทำความสะอาดเรือนของศิษย์พี่ชุยด้วย”
เป็นการเตือนผู้ฝึกตนเฒ่าว่ารอให้ตนออกไปจากเมืองหลวงต้าหลีแล้วก็สามารถไป ‘เก็บตำรา’ ที่นั่นได้แล้ว
วิถีของเวทอสนี ทุกวันนี้เฉินผิงอันไม่กล้าพูดว่าตัวเองเชี่ยวชาญถึงเพียงใด เพราะยังอยู่ห่างจากยอดสูงสุดอีกไกลนัก แต่หากจะพูดถึงความเข้าใจในขั้นต้น เฉินผิงอันคิดว่าตัวเองทำได้แล้ว
พูดถึงแค่ฉากสายฟ้านั้น ได้มาจากการพินิจซากปรักสนามรบของนครมังกรเฒ่า จากนั้นก็ร่ายใช้ที่ภูเขาทัวเยว่ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายมีแนวโน้มว่าจะเชี่ยวชาญ ระดับความแตกฉานลึกซึ้งไม่ต่ำ
ใบหน้าแก่ๆ ของหลิวเจียแดงก่ำ แต่ก็ยังถามต่ออย่างคลางแคลงว่า “เจ้าขุนเขาเฉินรวบรวมตำราเวทอสนีได้ครบเล่มเร็วขนาดนี้เชียวหรือ? หรือว่าการออกไปข้างนอกคราวนี้ บังเอิญไปเจอกับผู้สูงศักดิ์หวงจื่อของจวนเทียนซือพอดี? ใต้หล้าจะมีเรื่องบังเอิญแบบนี้ด้วยหรือ?”
เพราะก่อนหน้านี้สองฝ่ายตกลงกันไว้ว่า ต้องรอให้เจ้าขุนเขาเฉินผู้นี้เดินทางไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ไปเป็นแขกที่ภูเขามังกรพยัคฆ์และได้เจอกับสหายคนนั้น ยืมตำรามาเปิดอ่านได้เสียก่อน ถึงจะมีโอกาสรวบรวมตำราลับเวทอสนีที่เข้าท่าเข้าทีออกมาได้สักเล่มหนึ่ง แล้วก็จะไม่ทันระวังทำตำราเล่มนี้ตกหล่นอยู่ในหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น หลิวเจียเก็บได้โดยบังเอิญ ลองเปิดอ่านแค่ไม่กี่หน้า ครั้นจึงไปถ่ายทอดวิชาให้กับลูกศิษย์ที่โดนฟ้าผ่ามาหลายครั้ง แม้แต่เหตุผลหลิวเจียก็ยังคิดไว้เรียบร้อยแล้ว มีวันหนึ่งตนดื่มเหล้าเมา ฝันไปว่าได้ไปเยือนกองทั้งหลายในกรมสายฟ้ายุคบรรพกาล แล้วได้เจอกับเทพองค์หนึ่งที่ถ่ายทอดเวทสายฟ้าให้กับตน
ยิ่งคิดหลิวเจียยิ่งรู้สึกว่าผิดปกติ แล้วก็คงเพราะเขามีนิสัยคิดอะไรก็พูดอย่างนั้น จึงเอ่ยออกมาตามตรงว่า “เฉินผิงอัน เจ้าห้ามกลับคำกลางคัน รู้สึกว่าเรื่องนี้ยุ่งยาก ไม่อาจยืมตำราลับเวทอสนีจากภูเขามังกรพยัคฆ์มาอ่านได้ แต่เพราะวางหน้าไม่ลงก็เลยหาคาถาเวทอสนีบนภูเขาไม่กี่ประโยคมาหลอกข้าเชียวนะ? ทำแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาดเลย เดิมทีข้าก็ไม่เข้าใจเรื่องเวทสายฟ้าแม้แต่นิดเดียว ยินดีไม่สอนอะไรให้ตวนหมิงเลย แต่จะไม่ยอมให้เจ้าเด็กนี่เดินทางผิดแน่นอน!”
เฉินผิงอันอธิบาย “วางใจเถอะ นี่เป็นตำราลับเวทอสนีที่ข้าเขียนด้วยลายมือตัวเอง ระดับขั้นไม่มีทางต่ำเกินไปนัก รับรองว่าจะไม่ถ่วงรั้งลูกศิษย์ของใคร ขอแค่จ้าวตวนหมิงฝึกตนไปตามลำดับขั้นตอนก็พอ ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดได้ ขอแค่มีข้อผิดพลาดแม้เพียงน้อย หลิวเซียนซือก็ตรงไปดักหน้าประตูภูเขาลั่วพั่วรอด่าข้าได้เลย”
หลิวเจียหัวเราะอย่างขำๆ ปนฉุน “เจ้าเฉินผิงอันตัวดี ล้อข้าเล่นหรือไร นี่เพิ่งผ่านมานานเท่าไรเอง เจ้าจะคิดค้นเวทอสนีสูงส่งลึกล้ำออกมาได้เชียวหรือ? เรื่องนี้ก็ยกเลิกไปแล้วกัน พวกเราสองคนคิดเสียว่าไม่เคยมีเรื่องนี้ เจ้าเองก็ไม่ต้องรู้สึกขายหน้า แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องการไปดักหน้าประตูรอด่าคน ข้าก็ทำไม่ลงจริงๆ”
เจ้าคิดว่าตัวเองคือผู้สูงศักดิ์หวงจื่อของจวนเทียนซืออย่างนั้นหรือ หรือคิดว่าตัวเองเป็นเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์กันเล่า?
เฉินผิงอันเหม่อลอยไปชั่วขณะ ก็จริงนะ ก็แค่ไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างมารอบเดียว เนื่องจากหลี่เซิ่งช่วยพาส่งไปกลับมารอบหนึ่ง อีกทั้งอยู่ที่นั่นยังมียันต์สามภูเขาของลู่เฉิน พูดถึงแค่ระยะเวลาสั้นยาวก็ไม่นานเลยจริงๆ แต่พอย้อนนึกดูกลับรู้สึกเหมือนอยู่ห่างกันคนละโลก ตัวเองสองคนในสองใต้หล้า คนหนึ่งเดินทางข้ามใต้หล้าเปลี่ยวร้างครึ่งแห่งไปแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งก็เดินทางจากเหนือจดใต้แจกันสมบัติทวีปมาแล้วรอบหนึ่ง ระหว่างที่เดินทางไปกลับขุนเขาสายน้ำสองรอบก็ได้เจอกับคนมากมายและผ่านเรื่องราวมามากมายจริงๆ
เสี่ยวโม่พลันเปิดปากเอ่ย “คุณชายของข้ามีพรสวรรค์ด้านเวทอสนีที่ลึกล้ำอย่างมาก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!