เส้าอวิ๋นเหยียนแห่งสำนักกระบี่หลงเซี่ยงทักษินาตยทวีป ถัวเหยียนฮูหยิน
เจินเหรินผู้เฒ่าหวนอวิ๋นที่รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานของนครเหนือเมฆ เซียนกระบี่หญิงแห่งธวัลทวีป เซี่ยซงฮวา ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดตำหนักจินอู หลิ่วจื้อชิง
ผู้ถวายงานอันดับรองของสำนักเจินจิ้งในทุกวันนี้ หลี่ฝูฉวี เว่ยจิ้นเซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะ หยวนหลิงเตี้ยนยอดเขาจื่อเสวียน
รวมไปถึงเฉินหลี่ผู้ฝึกกระบี่ที่มีฉายาว่า ‘อิ่นกวานน้อย’ ของทะเลสาบกระบี่ฝูผิง
ตอนอยู่ศาลบุ๋น ภูเขาลั่วพั่วก็ได้รับผู้ถวายงานมาใหม่คนหนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอวี๋เยว่ ช่วงนี้ผู้เฒ่าก็อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว ส่วนข้อที่ว่าจะสามารถหลอกตัวอ่อนเซียนกระบี่สักคนสองคนไปได้หรือไม่ก็ต้องดูที่ความสามารถของตัวผู้เฒ่าเองและวาสนาของเด็กแต่ละคนในกลุ่มนั้นแล้ว
ตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ มีเฉาจวิ้นมาเพิ่มอีกคน
บนภูเขามีคำกล่าวบอกว่า
จำนวนผู้ถวายงานมากน้อย ขอบเขตสูงต่ำ หมายความถึงรากฐานของสำนักตระกูลเซียนแห่งหนึ่งว่าลึกหรือตื้น
ส่วนเค่อชิงกลับสามารถบอกได้ว่าเส้นทางภูเขาที่มุ่งไปยังศาลบรรพจารย์ของสำนักแห่งหนึ่งกว้างขวางมากแค่ไหน
ซิ่วไฉเฒ่าเริ่มพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน “ผิงอัน เคยคิดถึงเรื่องหนึ่งหรือไม่ ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ โดยเฉพาะผู้ฝึกตนใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างที่มีชีวิตอยู่มาหมื่นปี หรือไม่ก็หลายพันปีอย่างเสี่ยวโม่นี้ อย่าว่าแต่สองมือเลย บางทีสองมือก็ยังนับไม่พอ พวกเขาได้เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานกันนานแล้ว ถึงขั้นที่ว่าเป็นบินทะยานบนยอดเขาสูงสุด เหตุใดนอกจากปีศาจใหญ่ที่ใช้นามแฝงว่าลู่ฝ่าเหยียนแล้วกลับไม่มีปีศาจใหญ่ตนใดได้เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่เสียที?”
พูดมาถึงตรงนี้ ซิ่วไฉเฒ่าก็ยกจอกเหล้าขึ้น “พี่เสี่ยวโม่ ข้าก็แค่พูดไปตามสถานการณ์ อย่าได้ถือสากันเลยนะ ข้าขอดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งจอก…”
เสี่ยวโม่รีบใช้สองมือถือจอก โน้มตัวไปข้างหน้า พูดด้วยสีหน้าจริงจัง คำพูดจริงใจ “อาจารย์เหวินเซิ่งพูดจาตรงไปตรงมา คนเปิดเผยพูดจาผ่าเผย เห็นได้ชัดว่าเห็นเสี่ยวโม่เป็นคนกันเองครึ่งตัวแล้ว จอกเหล้าก็ดี ชามใหญ่หน่อยก็ช่าง ใต้หล้านี้มีแค่เหล้าที่ดื่มหมดในรวดเดียว บนโต๊ะเหล้าไม่มีถ้อยคำที่วกไปวนมา ไม่พูดมากแล้ว ข้าดื่มให้หมดก่อนแล้วกัน เชิญอาจารย์เหวินเซิ่งตามสบาย”
เสี่ยวโม่เงยหน้ากระดกเหล้าดื่มจนหมด
เฉินผิงอันรู้สึกระอาใจเล็กน้อย
นี่มันหลักทำนองคลองธรรมและความรู้บนโต๊ะเหล้าที่เรียนมาจากไหนกัน?
ตนยังเตือนเสี่ยวโม่ว่าให้เข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม นี่จะไม่ใช่การกระทำที่เกินความจำเป็นหรอกหรือ?
ซิ่วไฉเฒ่ารินเหล้าให้ตัวเองเต็มจอกอีกครั้ง “เห็นแก่ความเข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดีส่วนนี้ของพี่เสี่ยวโม่ ข้าก็จะดื่มอีกจอก”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “อาจารย์ นี่เป็นเหล้าของบ้านตัวเอง ดื่มช้าๆ หน่อยขอรับ”
เป็นการเตือนอาจารย์ของตัวเองว่า ในเมื่อเป็นเหล้าของตัวเอง ต่อให้ดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งกาก็ไม่ได้เปรียบอะไรเลยแม้แต่น้อย
มีเพียงดื่มเหล้าของคนอื่นเท่านั้น ดื่มมากดื่มน้อย ดื่มเร็วดื่มช้า นั่นต่างหากจึงจะเป็นความรู้
แต่เหตุผลที่แท้จริงคือ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือเป็นตัวเฉินผิงอันเอง อันที่จริงตอนนี้ต่างก็ไม่เหมาะจะดื่มเหล้ามากเกินไปหรือดื่มเร็วเกินไปนัก
ซิ่วไฉเฒ่าขยุ้มหนวดอย่างขัดใจ
เฉินผิงอันพลันเอ่ยเสียงเบา “ทางฝั่งของเฟิงอี๋ ดูเหมือนว่าจะยังมีเหล้าหมักร้อยบุปผาอีกร้อยกา”
ซิ่วไฉเฒ่าตบขาดังฉาด “ก่อนจะออกไปจากแจกันสมบัติทวีป จะต้องไปบอกลาผู้อาวุโสเฟิงอี๋ก่อนให้ได้”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้าจะไปเป็นเพื่อนอาจารย์ด้วย”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยต่อว่า “แม้จะบอกว่าการผสานมรรคาเป็นเรื่องที่ยากมาก นี่ไม่ผิด แม้แต่ตัวเสี่ยวโม่เอง ต้องใช้วิธีจำศีลมารักษาบาดแผล นี่ก็ไม่ผิดเหมือนกัน แต่พวกราชาบนบัลลังก์เก่าเหล่านั้น มีใครที่คุณสมบัติด้านการฝึกตนย่ำแย่บ้างเล่า?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ในฐานะลูกศิษย์คนแรกของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ คุณสมบัติด้านการฝึกตนของหยวนซงจึงดีเยี่ยม
ข้อได้เปรียบตั้งแต่เกิดอย่างร่างจริงที่แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจยังนำพาเอาข้อได้เปรียบหลังกำเนิดมาด้วยอีกอย่างหนึ่ง ระหว่างทั้งสองอย่างนี้มีธรณีประตูหนึ่งกางกั้น นั่นก็คือจะสามารถฝึกตนได้หรือไม่
เผ่าปีศาจขึ้นเขาฝึกตน การเดินเข้าประตูมักจะยากกว่าเผ่ามนุษย์เสมอ แต่หากหล่อหลอมเรือนกายได้สำเร็จ ขอบเขตเดียวกัน อายุขัยของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจกลับยืนยาวกว่าเผ่ามนุษย์
นี่ก็คล้ายการชดเชยบนมหามรรคาที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง
เสี่ยวโม่วางจอกเหล้าลง เอ่ยเสียงเบาว่า “เป็นป๋ายเจ๋อ”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้าพูดทอดถอนใจ “ใช่แล้ว เพราะการดำรงอยู่ของพี่ใหญ่ป๋าย”
ป๋ายเจ๋อได้ครอบครองชื่อจริงของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจทั้งหมดในใต้หล้า นี่ก็คือวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของป๋ายเจ๋อ ไม่จำเป็นต้องบอกอีกฝ่ายเลยสักนิด เพราะขอแค่หลอมเรือนกายได้สำเร็จแล้วมีชื่อจริง ก็จะต้องถูก ‘บันทึกลงสมุด’ ของป๋ายเจ๋อ
เสี่ยวโม่ยิ้มกล่าว “ต่อสู้ก็สู้ไม่ชนะ แย่งชิงก็ชิงมาไม่ได้ ยอมรับชะตากรรมนานแล้ว ไม่เพียงแค่ข้าเท่านั้น ปีนั้นผู้ฝึกตนรุ่นเดียวกันทั้งหมดที่เลือกจำศีลเพื่อรักษาบาดแผลก็ล้วนคิดแบบเดียวกัน”
อันที่จริงเสี่ยวโม่กับป๋ายเจ๋อไม่เพียงแต่เคยต่อสู้กันมาก่อน ยังต่อสู้กันถึงสองครั้งด้วย
ครั้งหนึ่งรู้สึกว่าป๋ายเจ๋อมองดูแล้วไม่คล้ายคนที่จะต่อสู้เป็น
ครั้งหนึ่งเพราะรู้มาว่าป๋ายเจ๋อถึงกับเตรียมจะช่วยจอมปราชญ์น้อยผู้นั้นสร้างเตาหลอมขนาดใหญ่ขึ้นมาบนยอดเขาของไพศาล จะแกะสลักชื่อจริงของเผ่าปีศาจลงไปนับไม่ถ้วน
ดังนั้นเสี่ยวโม่จึงได้เดินทางไปเยือนดวงจันทร์เฮ่าไฉ่
ซิ่วไฉเฒ่าพูดเปิดเผยความลับสวรรค์ในประโยคเดียว “อันที่จริงตัวป๋ายเจ๋อเองก็ลำบากใจเหมือนกัน เรื่องของชื่อจริงไม่ใช่ว่าเขาอยากจะมอบให้ใครแล้วคนนั้นจะต้องทำได้เสมอไป”
นี่คงเป็นเรื่องเดียวบนเส้นทางการฝึกตนของป๋ายเจ๋อที่สามารถเรียกได้ว่าไร้อิสระแล้ว
นี่หมายความว่าใต้หล้าไพศาลและศาลบุ๋นแผ่นดินกลางเองก็ลำบากใจเหมือนกัน
สมมติว่าป๋ายเจ๋อตายไป
ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เหมือนสูญเสียด่านแห่งหนึ่ง เดิมทีการดำรงอยู่ของตัวป๋ายเจ๋อก็เหมือนเป็นปราการธรรมชาติที่มิอาจก้าวข้ามของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานทุกตนในใต้หล้า จำเป็นต้องได้รับการยอมรับบางอย่างบนมหามรรคา ปีศาจใหญ่ในยุคหลังถึงจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้ หากป๋ายเจ๋อร่างดับมรรคาสลาย ก็เหมือนกับว่าได้สูญเสียพันธนาการบางอย่างบนมหามรรคาไป
สมมติว่าป๋ายเจ๋อไม่ตาย สองใต้หล้าห้ำหั่นต่อสู้กันเอง สงครามนองเลือดดุเดือด เผ่าปีศาจของเปลี่ยวร้างบาดเจ็บล้มตายกันไปมากเท่าไร ขอบเขตของป๋ายเจ๋อก็จะยิ่งขยับเข้าใกล้ขอบเขตสิบห้ามากเท่านั้น พลังการสู้รบของป๋ายเจ๋อจะยิ่งเหมือนกลายมาเป็นขอบเขตสิบสี่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์และจะไม่มีปรากฎอีกในอนาคต
พูดง่ายๆ ก็คือ ถึงเวลานั้นพลังพิฆาตของป๋ายเจ๋อจะรุนแรงจนสามารถมองเป็นเฉินชิงตูที่ไม่ถูกกำแพงเมืองปราณกระบี่พันธนาการได้เลย
ซิ่วไฉเฒ่าหันหน้ามามองเสี่ยวโม่ “เสี่ยวโม่ ใต้หล้าไพศาลไม่ได้ต่างจากบ้านเกิดของเจ้าเลย วิถีทางโลกในทุกวันนี้ไม่เหมือนเมื่อหมื่นปีก่อนแล้ว ให้เจ้าเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม แรกเริ่มอาจจะยังรู้สึกปรับตัวไม่ได้อยู่บ้าง แต่ข้าเชื่อว่ายิ่งเวลานานวันเข้าเจ้าก็จะยิ่งคุ้นเคยและผ่อนคลาย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!