ในลานบ้านของหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น ซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้าจนเมากรึ่มๆ บอกว่าตัวเองต้องไปที่แห่งหนึ่ง อยากจะแวะไปเยี่ยมเยือนเพื่อเอ่ยขอบคุณนานแล้ว ยังบอกว่าที่นั่นเคยเป็นที่มาของกระเป๋าเงินตน ทำให้ตนได้รวบรวมสี่สมบัติแห่งห้องหนังสือที่ค่อนข้างเข้าท่าเข้าทีได้ครบถ้วนเป็นครั้งแรกในชีวิต ทำให้ตนเป็นเหมือนบัณฑิตที่ศึกษาหาความรู้อยู่ในห้องหนังสือได้อย่างแท้จริง
เฉินผิงอันรู้ว่าอาจารย์จะไปที่ไหน จึงไม่ได้ตามไปด้วย
ซิ่วไฉเฒ่าออกจากเรือน เดินทางออกจากเมืองลงใต้ไปเพียงลำพัง
ในตรอกเก่าโทรมของแคว้นเล็กแห่งหนึ่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็ก อาจารย์และศิษย์สองคน ทุกครั้งที่ยากจนจนไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ อยู่ว่างๆ ก็เสียเวลาเปล่า อ่านหนังสือก็ไม่อาจทำให้ท้องอิ่มได้ จึงมักจะไปยืนรออยู่ตรงหน้าประตูบ้าน รอคอยจดหมายจากทางบ้านของเด็กหนุ่มส่งมา อันที่จริงในจดหมายเขียนอะไรบ้าง คนทั้งสองต่างก็ไม่สนใจ ถึงอย่างไรสิ่งที่รอก็ไม่ใช่จดหมาย แต่เป็นเงินที่ส่งมาพร้อมกับจดหมายทางบ้านต่างหาก หรือก็คือค่าสอนที่เด็กหนุ่มจากต่างถิ่นซึ่งมากราบไหว้ซิ่วไฉคนในพื้นที่เป็นอาจารย์ขอเล่าเรียนวิชาต้องจ่าย เงินคือความใจกล้าของวีรบุรุษนี่นะ บางครั้งที่ถึงช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง ยกตัวอย่างเช่นวันคล้ายวันเกิดของปรมาจารย์มหาปราชญ์ บ้านที่อยู่ไกลถึงแจกันสมบัติทวีปก็จะส่งเงินพิเศษ (เงินหรือของขวัญที่มอบให้หัวหน้าหรือขุนนางในช่วงเทศกาล) ก้อนหนึ่งซึ่งจำนวนเงินมากน้อยไม่แน่นอนมาให้ ‘อาจารย์ซีสี’ (ซีสี西席เป็นคำเรียกครูผู้สอนอย่างให้ความเคารพในสมัยโบราณ) ในนามผู้นี้อีกด้วย
ครั้งแรกที่ซิ่วไฉเฒ่าได้สัมผัสตั๋วเงินก็คือตอนที่ได้รับเงินพิเศษก้อนหนานี้
ครั้งนั้นได้รับจดหมายจากทางบ้านของเด็กหนุ่มกลับมีแค่ซองจดหมายบางเบาซองเดียวเท่านั้น ซิ่วไฉเฒ่าสะบัดอย่างแรง อย่าว่าแต่เศษเงินเลย ไม่มีแม้กระทั่งเสียงเงินเหรียญทองแดงด้วยซ้ำ ซิ่วไฉเฒ่านอึ้งค้างไปทันที เด็กหนุ่มนั่งยองอยู่หน้าประตู สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ อันที่จริงเขารู้สึกละอายใจมาก
ไม่ใช่ว่าที่บ้านไม่มีเงิน แต่เป็นเพราะท่านปู่ไม่พอใจที่ตนออกจากบ้านมาโดยพลการ จากมาทีก็มาไกลถึงเพียงนี้ ถึงกับกล้าเดินทางจากแจกันสมบัติทวีปมาถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แล้วยังหาอาจารย์ที่เป็นแค่บัณฑิตของแคว้นเล็กซึ่งมียศเป็นแค่ซิ่วไฉเท่านั้น อันที่จริงรากฐานตระกูลชุยในแจกันสมบัติทวีป คิดจะหานักปราชญ์หรือวิญญูชนของสำนักศึกษามาเป็นอาจารย์สอนหนังสือในโรงเรียนของที่บ้านก็ไม่ยากเลย ดังนั้นทุกครั้งสกุลชุยจึงส่งเงินมาให้อย่างกระเหม็ดกระแหม่ ขี้เหนียวอย่างมาก
ตอนนั้นซิ่วไฉที่ยังไม่แก่ไม่ได้ตำหนิลูกศิษย์ของตัวเอง เขานั่งยองอยู่ตรงธรณีประตูเป็นเพื่อนเด็กหนุ่ม กลับกันยังเป็นฝ่ายปลอบใจเด็กหนุ่มด้วย ‘โทษใครไม่ได้ ต้องโทษที่อาจารย์ความรู้ไม่ลึกล้ำมากพอ เลยทำให้ผู้อาวุโสในบ้านเจ้ารังเกียจ’
เพราะช่วงท้ายของจดหมายจากทางบ้านฉบับหนึ่ง ปู่ของเด็กหนุ่มได้เขียนหัวข้อคำถามในการสอบเคอจวี่มาสิบกว่าตัวอักษร ถือเป็นการทดสอบความรู้ที่แท้จริงของซิ่วไฉ
ซิ่วไฉจุดตะเกียงเขียนคำตอบยาวถึงพันกว่าคำทั้งคืน รู้สึกเพียงว่าความรู้ในท้องถูกควักเอาไปหมดแล้ว เขาไม่ถนัดเรื่องพวกนี้จริงๆ หากถนัดจริงๆ ป่านนี้แม่งไม่สอบติดเป็นจิ้นซื่อไปแล้วหรือ? รอกระทั่งเด็กหนุ่มตอบจดหมายกลับไป พอจดหมายถูกส่งออกไปแล้ว อันที่จริงซิ่วไฉกลับรู้สึกเสียใจภายหลัง เพราะกังวลว่าวันหน้าเงินค่าสอนกับเงินพิเศษจะหายไปไม่เห็นเงาพร้อมกับม้าที่ควบเอาจดหมายไปส่งด้วย
เด็กหนุ่มคว้าจดหมายฉบับนั้นมาจากมือของอาจารย์ ขยำจนเป็นก้อนกลม โยนใส่กำแพงฝั่งตรงข้ามของตรอกเล็ก ผลคือจดหมายกลิ้งกลับมาอยู่ตรงหน้า ทำเอาเด็กหนุ่มโมโหจนเตรียมจะปรี่ไปเหยียบซ้ำอีกสักสองสามที แต่อาจารย์รั้งแขนเอาไว้ เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า ‘บ้านห่วยๆ แบบนี้ จะกลับไปทำผายลมอะไร วันหน้าข้าไม่กลับไปแล้ว’
‘ห้ามพูดด้วยอารมณ์โมโหแบบนี้’
ซิ่วไฉลากเด็กหนุ่มกลับมาที่เดิม ตบศีรษะลูกศิษย์เบาๆ ก้มเอวลุกขึ้นเดินไปเก็บจดหมายที่อยู่บนพื้นกลับมา ลูบให้เรียบแล้วคลี่ออกดู มีแค่กระดาษสองแผ่น ด้านบนเป็นจดหมายจากทางบ้าน นอกจากคำถามไถ่ทั่วไปของพวกผู้อาวุโสแล้ว ลงท้ายยังมีประโยคหนึ่งเขียนไว้ว่า ‘อาจารย์ของเจ้า ความรู้ธรรมดา แต่ยศซิ่วไฉ เกินครึ่งน่าจะเป็นของจริง ตัวอักษรไม่เลว’
กระดาษที่อยู่ด้านล่างก็คือตั๋วเงินของแท้แน่นอน มากถึงร้อยตำลึง
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะปากกว้างจนหุบปากไม่ลง เด็กหนุ่มข้างกายก็คลี่ยิ้มเจิดจ้า
หลังจากนั้นกว่าซิ่วไฉจะสะสมเงินจำนวนหนึ่งได้อีกครั้งอย่างไม่ง่าย ก่อนหน้านี้เป็นอาจารย์จนๆ ที่สอนหนังสืออยู่ในโรงเรียนส่วนตัว ในบ้านเคยยากจนจนเหลือแค่หนังสือพิมพ์หยาบๆ ที่เก็บสะสมไว้กองใหญ่ ภายใต้การยุยงของลูกศิษย์ตัวเองก็ได้สร้างสำนักสอนหนังสือของตัวเองขึ้นมา ถือว่าเปิดรับลูกศิษย์ถ่ายทอดความรู้อย่างเป็นทางการแล้ว จากที่สอนเด็กประถมเปลี่ยนมาถ่ายทอดวิชาความรู้ด้านคัมภีร์ของขงจื๊อ อันที่จริงนี่เป็นเรื่องที่ตัวซิ่วไฉเองคาดฝันและปรารถนามากที่สุด เอาแต่พร่ำพูดกับพวกเด็กๆ ที่สวมกางเกงเปิดก้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ใช่รสชาติที่ดีเลยจริงๆ เพราะรู้สึกผิดต่อวิชาความรู้ของอริยะปราชญ์ที่มีอยู่เต็มท้อง? ใช่ที่ไหนกันเล่า เป็นเพราะว่าได้เงินน้อยต่างหาก!
หลายปีต่อมาซิ่วไฉก็รับลูกศิษย์มาอีกหลายคน ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอด เจ้าใหญ่เป็นถุงเงินมาโดยตลอด อยู่กับซิ่วไฉมายาวนานที่สุด เจ้ารองคือเจ้าบื้อที่เอาแต่กินเปล่าอยู่เปล่า เจ้าสามมีเนื้อหนังแข็งแกร่งเต็มร่างเสียเปล่า ในกระเป๋าก็ไม่มีเงินเช่นกัน ทว่ากลับกินข้าวไม่น้อย หลายปีนั้นซิ่วไฉมักจะรู้สึกว่าตัวเองถูกหลอกเข้าแล้ว โชคดีที่เจ้าใหญ่ไม่รู้ว่าไปหลอกเด็กคนหนึ่งมาจากไหน ฉลาด หล่อเหลา มองดูแล้วก็ทำให้คนชื่นชอบจากใจจริง แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิต ลูกศิษย์คนแรกที่ความสามารถสูงที่สุดคล้ายจะมีอคติต่อการสอบเคอจวี่มาก แล้วยังมีนิสัยดื้อรั้น เกินครึ่งคงไม่มีหวังแล้ว ดังนั้นจะได้ตำแหน่งนายท่านจิ้นซื่อมาหรือไม่ก็ต้องดูที่ลูกศิษย์คนเล็กคนนี้แล้ว ไม่ลำเอียงเข้าข้างเขาแล้วจะลำเอียงเข้าข้างใคร?
หลังจากนั้นมา ในที่สุดซิ่วไฉก็ได้มีวันเวลาที่ดีที่ในอดีตแม้แต่ฝันก็ยังไม่กล้าฝัน
แม้แต่ตัวอักษรพวกนั้นก็ยังได้จัดพิมพ์ออกมาเป็นตำรา แม้จะบอกว่ายอดขายที่ร้านหนังสือธรรมดา ถึงท้ายที่สุดก็ขายออกไปได้แค่ไม่กี่เล่ม แต่สำหรับบัณฑิตที่ศึกษาหาความรู้คนหนึ่งแล้ว นี่เท่ากับว่าเรื่องที่ตัวเองตั้งปณิธานไว้ได้ทำสำเร็จแล้ว ซิ่วไฉหรือจะปรารถนาสิ่งใดไปมากกว่านี้
นอกจากเจ้าสามจวินเชี่ยน อันที่จริงชุยฉาน จั่วโย่ว ฉีจิ้งชุน ต่างก็เป็นซิ่วไฉที่มองดูพวกเขาค่อยๆ เติบโตจากเด็กหนุ่มเป็นชายหนุ่มมาปีแล้วปีเล่า
หลายปีให้หลัง จากซิ่วไฉก็กลายมาเป็นซิ่วไฉเฒ่า ในที่สุดก็ได้รับลูกศิษย์คนสุดท้าย เฉินผิงอัน
ส่วนความรู้อริยะปราชญ์ที่น่าตกตะลึง น้อยคนที่จะเปรียบเทียบกับเขาได้อะไรนั่น หรือเหวินเซิ่งสายบุ๋นของลัทธิขงจื๊อมีคุณความชอบในการค้ำฟ้าประคองมหาสมุทรอะไรก็ตาม
จะชมก็ดี จะด่าก็ช่าง ซิ่วไฉเฒ่าล้วนไม่เคยคิดเป็นจริงเป็นจัง พวกเจ้ายินดีชมยินดีด่า ต่างก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง ถึงอย่างไรก็ไม่ถ่วงรั้งการที่ข้าเป็นอาจารย์สอนหนังสือ เป็นอาจารย์ให้กับลูกศิษย์ทั้งหลายเหล่านั้น
แต่เรื่องเดียวที่ซิ่วไฉเฒ่าอดทนไม่ได้ก็คือลูกศิษย์ของตัวเองต้องได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจ ข้าเป็นซิ่วไฉคนหนึ่ง ก็จะใช้ความเป็นซิ่วไฉไปโต้เถียงกับคนที่ศาลบุ๋นให้พวกเจ้าดู
ซิ่วหู่แห่งไพศาลที่เคยเล่นหมากล้อมหลากสี หลังจากที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนทรยศออกจากสายบุ๋นก็เก็บหัวเก็บหางอยู่ในใต้หล้าไพศาลอย่างมิดชิด ระเหเร่ร่อนอยู่นานหลายปี สุดท้ายเลือกดินแดนป่าเถื่อนทางทิศเหนือของบ้านเกิดอย่างแจกันสมบัติทวีปเป็นที่ลงหลักปักฐาน รับหน้าที่เป็นราชครูของต้าหลี หมายจะเผยแพร่ทฤษฎีความรู้คุณความชอบและลาภยศไปให้ทั่วแคว้น ถึงขั้นทั่วทั้งทวีป
ปีนั้นหลังจากที่ชุยฉานกลับไปถึงแจกันสมบัติทวีปก็ไม่เคยกลับไปที่จวนตระกูลชุยเลยสักครั้ง
ซิ่วไฉเฒ่ารู้ว่าเป็นเพราะอะไร ครึ่งหนึ่งคือชุยฉานรู้สึกละอายใจ อีกครึ่งหนึ่งเพราะโกรธเคือง
อยู่เมืองหลวงต้าหลีต่างบ้านต่างเมือง ราชครูชุยฉานได้สร้างหอหนังสือให้ตัวเอง ตั้งชื่อว่าเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น (คนอื่นว่าอะไรก็ว่าตามเขา ไม่มีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง)
ซิ่วไฉเฒ่ามายังชั้นบนสุดของหอเก็บหนังสือตระกูลชุย เหนือชั้นนี้ขึ้นไปยังมีห้องเล็กๆ ที่ต้องพาดบันไดถึงจะขึ้นลงได้
ซิ่วไฉเฒ่าเดินมาที่หน้าต่าง มองออกไปด้านนอก
คนเห็นนกบินตามเมฆ แต่กลับตามไม่ทัน
ครั้งนี้ชุยตงซานยินดีเป็นฝ่ายเสนอตัวรับภาระหนักอึ้ง ขอเป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่าง เป็นเรื่องดี
ภูเขาตะวันออกตั้งตระหง่านอีกครั้ง (ตงซานไจ้ฉี่ เปรียบเปรยถึงคนที่ตกอับแต่กลับมาตั้งตัวได้อีกครั้ง)
เฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่เดินออกไปจากตรอกเล็ก ไปที่โรงเตี๊ยมด้วยกัน
เสี่ยวโม่คอยมองประเมินสังเกตเมืองหลวงต้าหลีอยู่ตลอดเวลา
ที่นี่ก็คือเมืองหลวงของแคว้นหนึ่งในใต้หล้าไพศาล คือสถานที่ที่ดีที่สุดในการเลือกพักอาศัย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!