สรุปเนื้อหา บทที่ 879.2 เงินสิบสี่ตำลึง – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 879.2 เงินสิบสี่ตำลึง ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ลังเลเล็กน้อย เด็กสาวก็ถามเสียงเบาว่า “พี่หญิงชื่อแซ่อะไรหรือ?”
เผยเฉียนลืมตาตอบ “เจิ้งเฉียน”
สายตาเด็กสาวฉายประกายแวววาว “ชื่อดี! ถึงกับแซ่เดียวชื่อเดียวกับปรมาจารย์ใหญ่เจิ้งที่ข้าเลื่อมใสที่สุด!”
ในยุทธภพมีคำกล่าวอยู่สองอย่าง หนึ่งคือปรมาจารย์ใหญ่เจิ้งคนนั้นงดงามราวบุปผาราวหยก เรือนกายบอบบางอรชร แต่กลับซุกซ่อนพละกำลังสะท้านฟ้าสะเทือนดินที่ผีร้องไห้เทพคร่ำครวญเอาไว้
และยังมีข่าวลือในยุทธภพอีกอย่างหนึ่งที่ร้ายกาจยิ่งกว่า บอกว่าเจิ้งซาเฉียนผู้นั้น แม้ว่าจะเป็นสตรีอายุน้อย แต่กลับสูงหนึ่งจั้ง เปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ต้นขาหนาสะโพกใหญ่ ปล่อยหมัดออกไปครั้งสองครั้ง ไม่ว่าจะผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจหรือผู้ฝึกยุทธเผ่าปีศาจก็ล้วนต้องมีจุดจบแหลกสลายกลายเป็นผุยผง
ดูเหมือนเด็กสาวจะนึกถึงเรื่องที่น่าสนใจอย่างถึงที่สุดขึ้นมาได้จึงหัวเราะชอบใจ กว่าจะหยุดเสียงหัวเราะได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นางเอ่ยว่า “พี่หญิงเจิ้งเฉียนคงไม่ได้มีนามแฝงในยุทธภพอีกอย่างว่าเผยเฉียนหรอกกระมัง?”
โรงเตี๊ยมของบ้านตนอยู่ห่างจากตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์ไปแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น จึงมักจะได้ยินข่าวคราวเล็กๆ บางอย่างของบนภูเขาและในยุทธภพ และยังมีก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่เวทีประลองยุทธใกล้กับศาลเทพอัคคีก็เพิ่งได้ยินข่าวลือมาอีกอย่าง เจิ้งเฉียนผู้นั้นมีชื่อจริงว่าเผยเฉียน มาจากสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าภูเขาลั่วพั่ว ส่วนเรื่องราวเทพเซียนและเรื่องน่าสนใจในยุทธภพที่มากกว่านั้น ตอนนั้นรอบข้างเสียงดังมาก เด็กสาวพยายามเงี่ยหูตั้งใจฟังเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังได้ยินไม่ชัดเจน
เผยเฉียน? (ขาดทุน) เจิงเฉียน? (หาเงิน/ได้เงิน) ทำไมถึงดูเหมือนว่าสองชื่อนี้ถึงเอาแต่งัดข้ออยู่กับเงินล่ะ?
เผยเฉียนคลี่ยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร
เด็กสาวก็ยิ้ม รู้สึกว่าคำพูดนี้ของตนค่อนข้างน่าขำ
“พี่หญิงเจิ้งเฉียน เคยอ่านบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มหนึ่งไหม? เมื่อหลายปีก่อนขายดีมาก ข้าลงมือช้าไปก็เลยซื้อมาไม่ได้ เสียใจจนไส้แทบเขียวแล้ว”
เผยเฉียนกล่าว “เคยอ่าน”
ในบันทึกขุนเขาสายน้ำที่อาจารย์พ่ออยู่ทั้งในตำราและนอกตำรา เผยเฉียนที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาเคยอ่านมาไม่น้อย
เด็กสาวถามอย่างใคร่รู้ “นี่ท่านกำลังฝึกวิชาหมัดอยู่หรือ?”
“ออกหมัดง่ายแต่เดินนิ่งยาก ยากแรกนั้นอยู่ที่จะเรียนหมัดต้องเรียนการเดินก่อน ความยากต่อมาอยู่ที่หยดน้ำที่กร่อนหิน ต้องพากเพียรอย่างไม่ลดละ”
เผยเฉียนเดินเล่นต่อ อืมรับหนึ่งที “อาจารย์พ่อของข้าเคยบอกว่าฝึกวิชาหมัดอย่างยากลำบากมาสองสามปี ทว่าทำวิชาหมัดหายใช้เวลาแค่สองสามวันเท่านั้น”
เด็กสาวกระโดดผลุงขึ้นมา “สัจธรรมแห่งหมัดนี้ ข้ารู้ ข้ารู้ ขอแค่เดินทางผ่านศูนย์ฝึกยุทธแห่งนั้น ทุกวันจะต้องได้ยินเสียงชายแขนเสื้อสะบัดตีดังพึ่บพั่บมาจากข้างใน หรือไม่ก็เป็นเสียงฮื่อฮ่าที่ดังจากปาก แล้วจู่ๆ ก็พลันกระทืบเท้า กระทืบจนพื้นดินดังตึงๆๆ ตามคำกล่าวที่บอกไว้ในตำราหมัด นี่เรียกว่ากระดูกบิดเส้นเอ็นพลิกประหนึ่งประทัดระเบิด ใช่ไหม? คำพูดเก่าแก่ในตำราหมัดกล่าวได้ดี หมัดประหนึ่งพยัคฆ์ลงจากภูเขา ประหนึ่งมังกรลงมหาสมุทร พี่หญิงเจิ้งเฉียน ท่านลองดูสิว่าท่าทางของข้าเป็นอย่างไร ถือว่าเข้าขั้นแล้วหรือไม่?”
เผยเฉียนไร้คำพูดตอบโต้ แล้วก็ไม่อยากจะสาดน้ำเย็นใส่แม่นางน้อย จึงได้แต่แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินคำพูดเหลวไหลของนาง
ส่วนท่าทางที่ก้าวเดินส่งเดชของแม่นางน้อย เผยเฉียนก็ยิ่งมองดูด้วย…ความใกล้ชนิดสนิทสนม ไม่ต่างจากตนตอนเด็กสักเท่าไร
พอคิดถึงสายตาที่อาจารย์พ่อและพวกพ่อครัวเฒ่า เว่ยคอแข็งมองตนในอดีต เผยเฉียนก็รู้สึกอับอายยิ่งนัก
ปัญหาก็อยู่ที่วิชากระบี่มารคลั่งที่ตัวเองคิดค้นขึ้นมาตอนเป็นเด็ก ตัวเผยเฉียนเองไม่คิดจะใช้แล้ว ผลกลับถูกหมี่ลี่น้อยเรียนรู้เอาไปเสียได้
เผยเฉียนเห็นว่าเด็กสาวไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจึงได้แต่ยืนนิ่ง เปิดปากเอ่ยว่า “เรียนหมัดง่าย แต่ฝึกหมัดยาก กระบวนท่าเรียนง่าย แต่ปณิธานเรียนได้ยาก อะไรที่เรียกว่าเดินเข้าห้อง นั่นก็คือต้องมีปณิธานหมัดส่วนหนึ่งอยู่บนร่าง เป็นเหตุให้ผู้ฝึกยุทธอย่างเราๆ ประหนึ่งมีเทพช่วย ทว่าความสามารถที่มากกว่านั้นกลับเป็นคนที่บังคับหมัด ไม่ใช่เอาแต่เดินตามหมัดไปอย่างเดียว ก็เหมือนการออกคำสั่งต่อเทพ ปณิธานหมัดของทั้งร่าง อาวุธยุทโธปกรณ์สารพัด แค่หยิบเอามาไว้ในมือง่ายๆ แต่ละชิ้นล้วนเหมือนแขนเหมือนนิ้วมือตัวเองที่ขยับเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ เข้าใจหรือไม่?”
เด็กสาวพยักหน้ารัวๆ เหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “แน่นอนอยู่แล้ว! ไม่เข้าใจ!”
เผยเฉียนยิ้มบางๆ “กระบวนท่าหมัดของใต้หล้ามีนับพันนับหมื่น สัจธรรมแห่งหมัดมีนับสิบนับร้อย มีเพียงวิชาหมัดที่มีแค่หนึ่งเดียว”
เด็กสาวฉงนสนเท่ห์ “หมายความว่าอย่างไร?”
เผยเฉียนหรี่ตายิ้มเอ่ย “เบื้องหน้าไร้ผู้คน วรยุทธไร้อันดับสอง”
อาจารย์พ่อเคยพูดเองว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ยอมให้ได้ มีเพียงการฝึกวรยุทธเดินขึ้นสู่ที่สูงเท่านั้นที่ไม่อาจยอมหลีกทางให้ได้ ถามหมัดกับคนอื่น เบื้องหน้าต้องไร้เงาคน เรียนวรยุทธเดินขึ้นสู่ที่สูง ข้างกายต้องไม่มีผู้ใด
อีกทั้งท่านปู่ชุยก็เคยเอ่ยหลักการทำนองเดียวกันนี้มาก่อน
เด็กสาวฟังด้วยใบหน้าแดงปลั่ง รู้สึกเลื่อมใสสุดขีด “เผด็จการ! เต็มเปี่ยม!”
เผยเฉียนยิ้มถาม “ทำไมเจ้าถึงอยากท่องยุทธภพถึงเพียงนี้?”
เด็กสาวนั่งกลับลงไปบนม้านั่ง เอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า “เป็นชายหญิงในยุทธภพมีอิสระน่ะสิ ไม่ต้องแต่งงาน แล้วยังได้พบเห็นเรื่องราวและผู้คนแปลกประหลาดมากมาย ทางที่ดีที่สุดคือก่อนออกท่องยุทธภพจะต้องแบกเอาเมล็ดแตงทอง ใบไม้ทองกองใหญ่ไปด้วย หาร้านเหล้าข้างทางสักร้าน หยุดม้าลง ดื่มเหล้าเสร็จก็โยนเงินก้อนใหญ่ไปให้ เอ่ยประโยคหนึ่งว่าเถ้าแก่คิดเงิน ช่างใจป้ำยิ่งนัก ในหนังสือล้วนเขียนไว้เช่นนี้”
เผยเฉียนยิ้มกล่าว “ออกไปอยู่ข้างนอก นอกจากคนที่แค่พบหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานานแล้ว กับคนอื่นก็อย่าละโมบในคำว่าใจกว้างเด็ดขาด หนึ่งการไม่เปิดเผยทรัพย์สินก็คือกฎของยุทธภพ อีกอย่างก็คือคนในยุทธภพที่แท้จริงมีชีวิตที่คมดาบต้องอาบเลือด หาเงินได้ไม่ง่าย ในหนังสือเขียนไว้ว่าพวกจอมยุทธใหญ่ถูกคนฟันหนึ่งที คิ้วไม่กระดิกสักครั้ง ก็แค่ต้องทำแผลให้เรียบร้อยแล้วออกเดินทางต่ออีกครั้ง บางทีเจ้ายังไม่ทันเปิดหนังสือไปอีกหน้า จอมยุทธใหญ่ก็รักษาบาดแผลเรียบร้อยแล้ว ไปพูดคุยแย้มยิ้มอยู่บนโต๊ะเหล้าแห่งอื่นแล้ว ทว่าหากบาดเจ็บถึงเส้นเอ็นและกระดูกต้องรักษาตัวหนึ่งร้อยวัน นี่คือหลักการที่แม้แต่เด็กน้อยก็ยังเข้าใจ”
เด็กสาวอึ้งตะลึง
เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “เจ้าลองใช้แรงที่มากที่สุดตบบ้องหูตัวเองทีหนึ่งสิ”
แค่ได้ยินประโยคนี้เด็กสาวก็เข้าใจทันที
คงเป็นนักต้มตุ๋นในยุทธภพกระมัง
มีใครเขาสอนวิชาหมัดอย่างเจ้าบ้าง?
เพียงแต่เห็นว่าหญิงสาวผู้นั้นไม่เหมือนล้อเล่น เด็กสาวที่เหมือนถูกผีดลใจก็ตบบ้องหูตัวเองแรงๆ ทีหนึ่ง ตบจนตัวเองเซถลา พอมองเผยเฉียนที่ไม่สะทกสะท้าน เด็กสาวก็ไหล่ลู่คอตก “ไม่แรงพอ ใช่ไหม”
เผยเฉียนยิ้มกล่าว “เอาเป็นว่าดีกว่าข้าในอดีตมากก็แล้วกัน”
ปีนั้นตอนที่อยู่นครมังกรเฒ่า นักพรตหญิงหวงถิงเคยจับเส้นเอ็นบีบกระดูกให้กับเผยเฉียน เจ็บปวดจนถ่านดำน้อยแหกปากร้องเสียงดังสนั่นฟ้า
ทำเอาคนบางคนสงสารจนพูดทันทีว่าไม่ต้องฝึกหมัดแล้ว ไม่ต้องฝึกหมัดแล้ว
เด็กสาวตัดสินใจได้ทันที “เจิ้งเฉียน ข้าเข้าใจแล้ว นับแต่วันนี้ไป ข้าจะไม่เรียนวิชาหมัดอีกแล้ว!”
เผยเฉียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ช่างเถิด ตนไม่เหมาะจะเป็นอาจารย์หรือเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคากะผายลมอะไรเลยจริงๆ กับเจ้าใบ้น้อย อันที่จริงก็มีสภาพการณ์อันน่าเวทนาทำนองเดียวกันนี้ ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนในนามผู้นี้อยู่ร่วมกับสือโหรวอย่างปรองดอง เห็นได้ชัดว่าสนิทกันยิ่งกว่าตนด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรพอมาอยู่กับอาจารย์ อาหมานก็ไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้เห็นเลยสักครั้ง ถนอมคำพูดราวกับกลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปาก ยอมเป็นเจ้าใบ้น้อยเท่านั้น
เผยเฉียนเดินไปหยุดอยู่ข้างกายเด็กสาว ยกฝ่ามือขึ้นขยี้แก้มของเด็กสาวเบาๆ เพียงไม่นานรอยแดงก็สลายหายไป นางยิ้มเอ่ย “คนที่เจ้าต้องการตามหาคนนั้น อันที่จริงอยู่ห่างเจ้าไม่ไกล ดังนั้นจึงไม่ต้องไปหาในยุทธภพหรอก”
เด็กสาวนวดคลึงข้างแก้มตัวเอง ไม่เข้าใจสักนิดว่าอีกฝ่ายพูดอะไรอยู่ แต่เด็กสาวก็รู้แค่ว่าเจิ้งเฉียนที่อยู่ข้างหน้าคนนี้ต้องเป็นจอมยุทธหญิงอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว นางจึงตะโกนเสียงดัง “พี่หญิงเจิ้งเฉียน ข้าจะเรียนหมัด!”
เผยเฉียนส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ตัวข้าเองยังเรียนได้ไม่ถึงแก่น ไม่อาจสอนวิชาหมัดเลิศล้ำอะไรให้เจ้าได้หรอก”
แล้วนับประสาอะไรกับที่การเรียนหมัดก็ลำบากมากจริงๆ
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ตกลง อาจารย์พ่อเชื่อเจ้า”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ยแนะนำกับเสี่ยวโม่ “สองคนนี้คือลูกศิษย์ของข้าเอง เผยเฉียน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาขั้นสูงสุด”
“เฉาฉิงหล่าง ปั้งเหยี่ยนแห่งการสอบเคอจวี่ของต้าหลี”
แล้วเฉินผิงอันจึงแนะนำเสี่ยวโม่ที่อยู่ข้างกายให้คนทั้งสองได้รู้จัก “ฉายาว่าสี่จู๋ ทุกวันนี้ใช้นามแฝงว่าโม่เซิง คือผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นคนหนึ่ง ขอบเขตไม่ต่ำ แน่นอนว่าเป็นสหายที่หากไม่ตีกับอาจารย์ก็ไม่ได้รู้จักกัน วันหน้าโม่เซิงจะฝึกกระบี่อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว มีชาติกำเนิดเช่นเดียวกับอาจารย์ลุงหลิวของพวกเจ้า วันหน้าสามารถเรียกว่าผู้อาวุโสสี่จู๋ กลับบ้านเกิดครั้งนี้จะรับเข้าทำเนียบขุนเขาสายน้ำของยอดเขาจี้เซ่อ รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว”
หนึ่งชายหนึ่งหญิง สีหน้านิ่งสงบ ไม่มีความเสแสร้งใดๆ
ผู้ฝึกยุทธลุกขึ้นกุมหมัด บัณฑิตประสานมือคารวะ
ราวกับว่าไม่มีอารมณ์ขึ้นลงต่อชาติกำเนิดเผ่าปีศาจของผู้อาวุโสสี่จู๋ที่อยู่ตรงหน้านี้แม้แต่น้อย เห็นเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก
เสี่ยวโม่ไม่ต้องร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตอะไรก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความจริงใจของชายหนุ่มหญิงสาวตรงหน้าคู่นี้
ลุกขึ้นยืนอยู่นานแล้ว เสี่ยวโม่ค้อมเอวลงน้อยๆ กุมหมัดเขย่ามือ ยิ้มเอ่ย “ข้าก็แค่มีอายุมากกว่าไม่กี่ปี ไม่ต้องเรียกผู้อาวุโสหรอก ไม่สู้พวกเจ้าเรียกข้าตรงๆ ว่าเสี่ยวโม่ตามคุณชายไปเลยก็แล้วกัน ข้าชอบอย่างหลังมากกว่า”
จากนั้นเสี่ยวโม่ก็รีบควักชายแขนเสื้อ
เตรียมของขวัญพบหน้าสองชิ้นไว้เรียบร้อยแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ต้องๆ”
ภูเขาลั่วพั่วบ้านตนมีโจวอันดับหนึ่งที่มือเติบใจใหญ่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว
อีกทั้งเสี่ยวโม่มิอาจเทียบกับเจียงซ่างเจินที่ได้ครอบครองพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาได้ มอบของขวัญออกมาให้หนึ่งชิ้น สมบัติก็ต้องน้อยลงไปหนึ่งส่วน
เสี่ยวโม่ยืนกราน “คุณชาย เป็นแค่น้ำใจเล็กน้อย ไม่ใช่ของขวัญที่มีราคาอะไรเสียหน่อย”
“แม่นางเผยและอาจารย์น้อยเฉาล้วนเป็นลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับคุณชายที่สุด หากไม่มีของขวัญให้เลย ตามเหตุตามผลล้วนไม่เหมาะสม ก่อนหน้านี้คุณชายปฏิเสธชุดคลุมอาคมพวกนั้นไปแล้ว ไม่สู้ครั้งนี้ให้ข้าได้วางมาดผู้อาวุโสต่อหน้าพวกเขาบ้างเถอะ?”
เฉินผิงอันจึงได้แต่พยักหน้า
เสี่ยวโม่ไปอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วต้องเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นอย่างมากแน่นอน ประหนึ่งปลาได้น้ำ ไม่ด้อยไปกว่าโจวอันดับหนึ่งเลย
เชี่ยวชาญการยุให้คนอื่นเหล้า นั่นคือความสามารถที่แบ่งความสูงต่ำของคนบนโต๊ะเหล้าได้
ชอบดื่มสุราคารวะ ไม่เคยหลบเลี่ยงการดื่ม แล้วยังหาเหล้าดื่มเอง ก็คือนิสัยการดื่มที่ดีเยี่ยม
คำโบราณว่าไว้ได้ถูกต้อง วัตถุแยกเป็นประเภท มนุษย์อยู่กันเป็นกลุ่ม เสี่ยวโม่เหมือนตนมาก
นิสัยการดื่มเหล้ายอดเยี่ยม ก็แค่ความสามารถในการยุให้คนดื่มแย่ไปสักหน่อย
ปีนั้นที่ร้านเหล้า เป็นที่รู้กันถ้วนทั่วว่าเถ้าแก่รองหลบเพียงหมัดไม่หลบสุรา
ส่วนประโยคหลังที่พวกผีขี้เหล้านักพนันทั้งหลายชอบพูดกันว่า ‘ถึงอย่างไรหมัดเดียวก็ล้มไปกองแล้วนี่นา’ คำพูดเหลวไหลบนโต๊ะสุรา ย่อมไม่อาจคิดเป็นจริงเป็นจังได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!