เห็นว่าหนันจานกำลังจะเปิดปากพูด เฉินผิงอันก็หยิบตะเกียบไม้อันหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะ เอ่ยเตือนว่า “เจ้ามีโอกาสพูดแค่ประโยคเดียว หากไม่มีคำตอบที่แน่ชัด ข้าก็จะถือเสียว่าเจ้ายอมรับในการเลือกอย่างหลังไปโดยปริยาย”
หนันจานทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป เมื่อเทียบกับตอนที่พบเจอกันในหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋นก่อนหน้านี้ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง วันนี้นางถึงกับไม่กล้าพูดเหลวไหลแม้แต่คำเดียว
นางเหลือบมองบรรพบุรุษบ้านตน ฝ่ายหลังสีหน้าไร้อารมณ์
เฉินผิงอันรอคอยคำตอบนั้นเงียบๆ
บางครั้งการไม่ใช้เหตุผลกับคนไร้เหตุผล ก็คือการใช้เหตุผลอย่างหนึ่ง
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเคยใช้คำพูดถ่ายทอดและใช้การกระทำแสดงให้เห็นตอนอยู่บนหัวกำแพง สอนหลักการเหตุผลที่เรียบง่ายอย่างถึงที่สุดข้อหนึ่งให้กับเฉินผิงอันที่ตอนนั้นยังไม่ใช่อิ่นกวาน
……
กองโหราศาสตร์ของเมืองหลวง เจียนเจิ้งสองคนจำต้องมาเชิญตัวอาจารย์หยวนให้ช่วยทำนายเสี่ยงดวงอีกครั้ง
จำต้องยอมรับว่า ในเรื่องนี้หยวนเทียนเฟิงจึงจะเป็นยอดฝีมือ ‘นอกโลก’ อย่างแท้จริง
สถานะของหยวนเทียนเฟิงในกองโหราศาสตร์คล้ายคลึงกับเค่อชิงบนภูเขา
ถือเป็นกรณีพิเศษอย่างหนึ่ง
เมื่อหลายปีก่อน ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขากับชุดสีขาวหนึ่งชุดถูกเรียกตัวเข้าวังหลวง ให้มาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ต้าหลี
หยวนเทียนเฟิงเชี่ยวชาญนรลักษณ์ศาสตร์ (การดูรูปลักษณ์หรือโหงวเฮ้ง) เคยทำนายดวงให้นายท่านผู้เฒ่ากวนของกรมขุนนาง แม่ทัพใหญ่ซูเกาซานและยังมีขุนนางคนสำคัญที่อยู่ใจกลางราชสำนักต้าหลีในอนาคตอย่างพวกเฉาผิงมาก่อน อีกทั้งยังแม่นยำตรงตามคำทำนายทุกคนด้วย
สำหรับเรื่องนี้ราชสำนักต้าหลีไม่มีข้อห้าม ขุนนางเองก็ไร้ข้อห้ามเช่นกัน
เวลานั้นนายท่านผู้เฒ่ากวนมีคำกล่าวที่กล่าวได้ดีมากอยู่อย่างหนึ่ง บอกว่าชะตาชีวิตยอดเยี่ยมที่มีครบทั้งร่ำรวยและสูงศักดิ์ ชุดคลุมสีม่วงเข็มทัดทองนั่งในห้องโถงสูง คนรุ่นก่อนปลูกต้นไม้ คนรุ่นหลังได้อาศัยร่มเงา สะสมหยกทองกองกันเต็มศาลบรรพชน บอกว่าเฉาผิงมีกระดูกหน้าผากนูนเหมือนเขาของฉิว (มังกรตัวเล็กที่มีเขา) โหนกคิ้วสูงยาวเหมือนเทือกเขา ถือว่าหาได้ยากยิ่ง บอกว่าดวงตาของซูเกาซานมีเส้นเลือดสีแดงทะลุลูกตาดำ เวลาพูดจามีปราณสีชาดและสีเหลืองล้อมวนบนใบหน้า
หยวนเทียนเฟิงกล่าว “หลังจากที่อยู่ดีๆ เจ้าขุนเขาเฉินก็กลายไปเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ อันที่จริงคำทำนายก็มั่นคงอย่างมาก”
หม่าเจียนฝูซักถาม “ต้องมีคำว่า ‘แต่’ ตามมาด้วยหรือไม่?”
หยวนเทียนเฟิงยิ้มกล่าว “แต่รอกระทั่งอีกฝ่ายคล้ายจะไม่ใช่ขอบเขตสิบสี่แล้ว การทำนายกลับเปลี่ยนเป็นว่าดีร้ายยากคาดการณ์”
หยวนเทียนเฟิงยิ้มพูดต่ออีกว่า “ก่อนหน้านี้เป็นการยอมอดทนข่มกลั้นของเจ้าขุนเขาเฉิน ตอนนี้ก็ถึงคราวที่พวกเจ้าควรยอมอดทนบ้างแล้ว”
หม่าเจียนฝูแก้ไขให้ถูกต้อง “เป็นพวกเรา ต้าหลีของพวกเรา!”
ทางฝั่งซุ้มดอกไม้ในศาลเทพอัคคี
เฟิงอี๋เหล่ตามองสารถีเฒ่าที่มาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย เอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “เจ้าเสพติดการขอเหล้าคนอื่นไปเปล่าๆ มากนักหรือ? คิดว่าตัวเองคือเหวินเซิ่งที่หน้าใหญ่กว่าฟ้าหรือไร?”
สารถีเฒ่าถอนหายใจ สีหน้ากลัดกลุ้ม ยื่นมือออกมา “มักรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติอยู่เสมอ เป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นนานแล้ว ขนาดข้าผู้อาวุโสยังรู้สึกอกสั่นขวัญผวา กลัวว่าหากไม่รีบดื่มเหล้าเสียตั้งแต่วันนี้ วันหน้าก็คงไม่ได้ดื่มอีกแล้ว ฉวยโอกาสที่ฝั่งของวังหลวงยังไม่ได้ตีกัน รีบเอาเหล้าร้อยบุปผามากาหนึ่งเร็วเข้า วันนี้ข้าผู้อาวุโสดื่มได้กี่กาก็ดื่มเท่านั้น”
เฟิงอี๋โยนเหล้าไปให้หนึ่งกา เอ่ยสัพยอกว่า “ตาแก่อย่างพวกเจ้า หากรู้สึกไม่มั่นใจก็ร่วมมือกันเข้าสิ หรือยังต้องกลัวว่าคนหนุ่มอายุไม่ถึงครึ่งร้อยคนหนึ่งจะมาหาเจ้าเพื่อรื้อบัญชีเก่าด้วย?”
สารถีเฒ่าแกะผนึกดินออก แหงนหน้ากระดกดื่มอึกใหญ่ ใช้หลังมือเช็ดมุมปาก “ร่วมมือกับผายลมอะไรเล่า รื้อบัญชีเก่า? ตอนนี้ข้าผู้อาวุโสกลัวว่าจะถูกเจ้าเด็กนั่นสืบสาวเบาะแสไปขุดหลุมบรรพบุรุษแล้วด้วยซ้ำ เจ้าเด็กนี่ออกเดินทางไกลรอบนี้ พอย้อนกลับมาเมืองหลวงอีกครั้งก็ผิดแปลกไปจากเดิม ผิดปกติอย่างมาก เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เกี่ยวข้องกับขอบเขตประหลาดนั่น แต่ก็เหมือนว่าจะไม่เรียบง่ายเพียงแค่เกี่ยวกับขอบเขตเท่านั้น”
เฟิงอี๋หลุดหัวเราะพรืดอย่างอดไม่ไหว “ทีอย่างนี้ล่ะรู้จักหลักการที่ต้องทำดีกับคนอื่นแล้วหรือ ปีนั้นฉีจิ้งชุนน่าจะพูดไว้ไม่น้อยกระมัง? พวกเจ้าแต่ละคนมีใครฟังเข้าหูบ้างเล่า? หากรู้แต่แรกไยต้องทำเช่นนี้”
สารถีเฒ่าเอ่ยอย่างอัดอั้น “หากรู้แต่แรกที่ทองพันชั่งยากจะซื้อได้ ยาเสียใจภายหลังที่ทองหมื่นชั่งยากจะซื้อได้”
มองเจ้าคนที่ในที่สุดก็ยอมจำนนแล้วผู้นี้ เฟิงอี๋ก็ไม่เอ่ยสัพยอกอีกฝ่ายอีก นางมองไปทางวังหลวง พยักหน้าเอ่ยว่า “ลมฟ้าลมฝนกำลังจะมา ไม่ใช่เรื่องเล็ก”
จวนตระกูลเฉา ในห้องหนังสือแห่งหนึ่ง
อาและหลานสองคนกำลังนั่งเล่นหมากล้อมกันอยู่
เฉาเกิงซินกวาดตามองไปรอบด้าน เมื่อเทียบกับห้องหนังสือของบิดาตนแล้ว ห้องหนังสือของท่านอารองก็แร้นแค้นเกินไปอยู่บ้างจริงๆ
ที่นี่นอกจากหนังสือแล้วก็คือหนังสือ ห้องหนังสือของบิดาสง่างามมีรสนิยมกว่ามากนัก มีดอกไม้ใบไม้งามครบถ้วน ยามฤดูใบไม้ร่วงมีทั้งไห่ถังและสุ่ยเซียน และยังมีขวดกระเบื้องเขียวดอกเหมยที่เป็นลายน้ำแข็งแตกเล็กละเอียด รวมไปถึงกรงนกไม้หนันมู่ประดับด้ายทองที่เรียงกันเป็นแถว เลี้ยงนกฮว่าเหมย นกหวงลี่ที่เสียงไพเราะที่สุด กระปุกอาหารนกที่อยู่ด้านในล้วนเป็นเฉาเกิงซินที่นำกลับมาจากเตาเผาของหลงโจว บิดาชื่นชอบอย่างมาก
ในฐานะลูกหลานสกุลเฉา เฉาเกิงซินกล้าอาละวาดงอแงกับท่านปู่ กล้าหยิบจับวาดภาพส่งเดชในห้องหนังสือของบิดา ทว่านับตั้งแต่เด็กมาก็น้อยครั้งนักที่จะมาเล่นอยู่กับท่านอารอง เขาไม่กล้า
นั่นเป็นเพราะใต้เท้าทูตผู้ตรวจการที่ตนเรียกว่าท่านอารองตรงหน้าผู้นี้เข้มงวดมากเกินไป
ยังดีที่อีกไม่นานท่านอารองจะต้องนำทัพมุ่งหน้าไปยังท่าเรือรื่อจุ้ยของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว
เฉาผิง ได้รับตำแหน่งทูตผู้ตรวจการถือเป็นระดับสูงสุดของขุนนางบู๊แล้ว
ตลอดทั้งราชวงศ์ต้าหลี มีคนแค่ไม่ถึงห้าคน คนที่ยังมีชีวิตอยู่ อันที่จริงก็เหลือแค่สามคนเท่านั้น
เสาคานค้ำยันแคว้นฝ่ายบุ๋น ทูตผู้ตรวจการฝ่ายบู๊ ก็คือรูปแบบของต้าหลีในอนาคต
สกุลของเสาค้ำยันแคว้นสามารถสืบทอดบรรดาศักดิ์ได้ แต่ทูตผู้ตรวจการกลับทำไม่ได้ นี่แสดงให้เห็นว่าฝ่ายหลังล้ำค่ามากยิ่งกว่า ยากที่จะได้ครอบครองมากกว่า เพียงแต่ว่าสำหรับตระกูลแห่งหนึ่งแล้ว ข้อดีและข้อเสียของทั้งสองฝ่าย ตอนนี้ยังยากที่จะแบ่งสูงต่ำ
ส่วนหลังจากตายไปแล้วจะได้รับสมญานามอย่างไร ฮ่องเต้ไม่มีทางอวยยศย้อนหลังเป็นมหาราชครูอะไรแน่นอน เพราะเมื่อเทียบกับยศสองอย่างก่อนหน้านี้แล้วล้วนถือว่าเปล่าประโยชน์
ท่านอารองเฉาผิงคือแม่ทัพผู้มีความรู้ที่ได้รับการยอมรับจากคนในราชสำนัก มีชาติกำเนิดจากเสาค้ำยันแคว้น เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ เสน่ห์และความสามารถครบครัน
วันนี้มีการประชันหมากล้อม
เฉาเกิงซินถือพัดพับหยกไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง เดี๋ยวหุบเดี๋ยวคลี่ออกอยู่ตลอดเวลา เสียงพรึ่บพรั่บจึงดังไม่ขาดสาย
เจ้าคนที่เคยเป็นผู้ตรวจการงานเตาเผามานานหลายปีผู้นี้ ตรงเอวยังคงห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดที่เงาวับลูกเดิม
เฉาผิงเงยหน้าขึ้นมองหลานชายที่เอ้อระเหยลอยชายผู้นี้
เฉาเกิงซินหัวเราะหึหึ “ท่านอารอง แค่นี้ก็หงุดหงิดแล้วหรือ? ฝึกฝนจิตใจได้ไม่มากพอนะ”
เฉาผิงถาม “คันผิวหนังหรือ?”
เฉาเกิงซินจึงได้แต่นั่งตัวตรงอย่างสำรวม
อย่าว่าแต่พ่อแม่แท้ๆ เลย ขนาดท่านปู่ที่ออกจากราชการไปนานหลายปีเขายังไม่กลัว มีเพียงท่านอารองที่ตอนอยู่บ้านแทบจะไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าคนนี้เท่านั้นที่เฉาเกิงซินหวาดกลัวจริงๆ
ช่วยไม่ได้ เป็นเพราะตอนเด็กเฉาเกิงซินถูกเฉาผิงตีจนขยาดแล้ว
ใครใช้ให้ตำแหน่งขุนนางของท่านอารองใหญ่ ลำดับอาวุโสสูง ความรู้มาก ความสามารถยิ่งมากกว่ากันเล่า ของสิ่งหนึ่งสยบสิ่งหนึ่งได้เสมอนี่นะ
ปัญหาอยู่ที่ว่าทุกครั้งที่เฉาเกิงซินโดนซ้อมมักจะเกิดขึ้นอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุเสมอ เรื่องที่เฉาเกิงซินคิดว่าตัวเองต้องโดนตีแน่นอน ท่านอารองกลับทำเป็นมองไม่เห็น ส่วนเรื่องที่เฉาเกิงซินคิดว่าไม่มีอะไร ผลกลับกลายเป็นว่าทุกครั้งเฉาผิงจะต้องใช้เข็ดขัดฟาดเขาอย่างแรง คนในบ้านไม่ว่าใครขอร้องก็ไม่เป็นผล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!