หยวนเจิ้งติ้งพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ไม่รู้จักโอรสสวรรค์ รู้จักแต่อ๋องพื้นที่ศักดินา นี่คือภัยร้ายใหญ่หลวงของแคว้น”
หยวนฮว่าจิ้งยิ้มกล่าว “ก็ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก”
หยวนเจิ้งติ้งเอ่ย “ข้าเตรียมจะเสนอต่อฮ่องเต้ให้ย้ายเมืองหลวงไปที่ทิศใต้”
หยวนฮว่าจิ้งไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
หยวนเจิ้งติ้งถาม “ทางฝั่งของสกุลสวี่นครลมเย็นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
สกุลสวี่นครลมเย็นเคยให้บุตรสาวสายตรงแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับบุตรอนุภรรยาของสกุลหยวน
หยวนฮว่าจิ้งยิ้มตอบ “ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก ได้รับความเสียหายอย่างหนัก”
ไปมีเรื่องกับเจ้าหมอนั่น นี่ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว
ตรอกเล็กที่ตั้งของหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋นมีผู้ดูแลจากตระกูลจ้าวมาเยือน บอกว่าต้องการให้จ้าวตวนหมิงกลับไปบ้านรอบหนึ่ง
ถึงอย่างไรเด็กหนุ่มก็เป็นทายาทสายตรงของภรรยาเอกสกุลจ้าวเทียนสุ่ย
หลิวเจียเอ่ยเตือน “รีบไปรีบกลับ อย่าลืมเทียบอักษรพวกนั้นล่ะ ได้มามากเท่าไรก็เอามาเท่านั้น ข้าไม่รังเกียจที่มีมากเกินไป”
จ้าวตวนหมิงพยักหน้า “ต้องได้มาแน่นอน”
ในบรรดาแซ่สกุลของเสาค้ำยันแคว้นต้าหลี หยวน เฉา กวน อยู่ในอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย จากนั้นก็เป็นตระกูลอวี๋ที่ให้กำเนิดฮองเฮาพระองค์หนึ่ง และสกุลจ้าวเทียนสุ่ยที่ให้กำเนิดหม่าเจิ้ง (ผู้ดูแลม้าที่ทางการใช้งาน ทั้งเลี้ยง ฝึกฝน นำมาใช้งานและทำการค้าแลกเปลี่ยน) แห่งหนึ่งแคว้น ต่อมาจึงจะเป็นสกุลชิวฝูเฟิง สกุลหม่าโผหยาง ตระกูลเยี่ยนจื่อจ้าว ฯลฯ แต่ละฝ่ายมีความต่างกันไม่มาก ต่างคนต่างมีภูเขาและเส้นสายในวงการขุนนาง
ก่อนหน้านี้หลิวเจียช่วยขอเทียบคำสั่งสอนสกุลจ้าวจากเจ้าประมุขสกุลจ้าวเทียนสุ่ยมาให้เฉินผิงอันหนึ่งฉบับ
ตามข้อตกลง จะไม่พูดถึงเฉินผิงอัน จะบอกเพียงว่าหลิวเจียต้องการ
แม้จะบอกว่าสกุลจ้าวเทียนสุ่ยที่ดูแลสนามม้ามากมายของต้าหลีจะถูกผู้คนเรียกอย่างขบขันว่า ‘จ้าวขี้ม้า’
ทว่าอักษรกว่านเก๋อที่ใช้ในวงการขุนนางต้าหลี แท้จริงแล้วเป็นตัวอักษรของสกุลจ้าว
ก็เหมือนอย่างแผ่นป้ายขุนนางสวินปันของสวินชวี่ขุนนางศาลหงหลู และยังมีหินคำสั่งห้ามน้อยใหญ่ที่ใช้กันทั่วที่ว่าการขุนนางในหนึ่งแคว้น ก็ล้วนมาจากฝีมือของเจ้าประมุขสกุลจ้าวทั้งสิ้น
แต่ไหนแต่ไรมาหลิวเจียก็มักจะชอบวางมาดกับเจ้าประมุขสกุลจ้าว บางครั้งไปดื่มเหล้าที่นั่น นั่งดื่มกับขุนนางสำคัญขั้นสองที่ชื่อเสียงดีงามเลื่องลือไปทั่วต้าหลี หลิวเจียก็ยังเรียกอีกฝ่ายว่า ‘เสี่ยวจ้าว’ คำแล้วคำเล่า
จ้าวตวนหมิงตามพ่อบ้านกลับไปที่บ้าน ได้เจอกับท่านปู่ที่เจ็บป่วยจึงต้องพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ในสายตาของผู้ฝึกลมปราณอย่างเด็กหนุ่ม เห็นๆ กันอยู่ว่าสุขภาพร่างกายของท่านปู่แข็งแรงดีมาก ไหนเลยจะมีท่าทางของคนที่ได้รับลมเย็นจนป่วยไข้
ผู้เฒ่ายืนอยู่ตรงขั้นบันไดของลานบ้านขนาดเล็ก ก้มตัวลงมาลูบศีรษะของเด็กหนุ่ม พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียดายว่า “ช่วงนี้ไม่ถูกฟ้าผ่าเลยหรือ?”
จ้าวตวนหมิงค้อนปะหลับปะเหลือก
ผู้เฒ่าพาจ้าวตวนหมิงไปเดินเล่นในสวนดอกไม้พลางพูดพึมพำกับตัวเอง
บอกว่าใบถงทวีปคือตำราแห่งความเศร้าที่โกรธากับความไม่เอาไหนของมัน ฝูเหยาทวีปคือตำราแห่งความเดือดดาลที่เต็มไปด้วยคาวเลือด
ส่วนแจกันสมบัติทวีปของพวกเราคือ…ตำราสวรรค์ที่…ทำให้ทั้งฝ่ายศัตรูและฝ่ายคนกันเองไม่เข้าใจ
เด็กหนุ่มรอจนผู้เฒ่าไม่โอ้อวดความรู้ต่อแล้วถึงได้ถามว่า “ท่านปู่ เทียบอักษรหนึ่งกระบุงท่านเตรียมไว้แล้วหรือยัง อาจารย์ของข้าต้องการด่วนสุดๆ เลย”
“ทำไมถึงเปลี่ยนมาเป็นกระบุงหนึ่งแล้วเล่า”
จากนั้นผู้เฒ่าก็ยิ้มเอ่ยว่า “คนที่ต้องการจริงๆ ไม่รีบร้อน อาจารย์ของเจ้าจะต้องรีบร้อนไปไย”
เด็กหนุ่มหุบปากฉับไม่พูดไม่จา ตนเป็นคนเก่าแก่มีประสบการณ์ในยุทธภพโชกโชนมากพอแล้ว มีหรือจะหลุดปากแพร่งพรายความลับอะไรออกไป
อยู่ดีๆ ผู้เฒ่าก็เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “ต้องเป็นสหายกับคนที่มีความกล้า ให้ความสำคัญกับความรู้สึกและมีคุณธรรม และต้องเอาความรู้ที่ได้จากชีวิตประจำวันมาเพิ่มพูนความสามารถ”
เด็กหนุ่มพยักหน้าเอ่ย “ท่านปู่ ประโยคนี้ท่านพูดได้ดีมากเลย เขียนเป็นเทียบอักษรด้วยนะ ข้าจะได้เอาไปด้วย”
ผู้เฒ่ามองเด็กหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาแล้วพลันหัวเราะ
สำหรับคนแก่วัยไม้ใกล้ฝั่งคนหนึ่ง ทุกครั้งที่นอนหลับก็ไม่รู้เลยว่าจะใช่การบอกลาครั้งหนึ่งหรือไม่
แล้วก็คงเพราะเป็นเช่นนี้ คนแก่ทั่วไปจึงมักจะหลับไม่สนิทนัก
แสงอาทิตย์ในยามเช้าตรู่ของทุกวันคล้ายกับกวางสีทองตัวหนึ่งที่เหยียบย่ำลงบนหน้าผากของคนที่กำลังฝันหวานเบาๆ
วันนี้ฮองเฮาอวี๋เหมี่ยนพลันออกจากวังไปเยี่ยมญาติที่ตรอกฉี้ฉือมารอบหนึ่ง เพียงแต่ไม่ได้จัดขบวนใหญ่โต
สำหรับเรื่องแบบนี้สกุลซ่งต้าหลีมีการผ่อนปรนให้อย่างมาก กรมพิธีการก็มักจะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งอยู่เสมอ ไม่เคยมีคำวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ
องค์ชายซ่งซวี่และยังมีอวี๋อวี๋รับหน้าที่เป็นผู้คุมกันฮองเฮาเหนียงเนียง
อวี๋อวี๋ที่ยังเป็นแค่แม่นางน้อยคนหนึ่งอายุไม่มาก ทว่าลำดับอาวุโสในตระกูลกลับไม่ต่ำ ต่อให้ฮองเฮาเจอหน้านางก็ยังต้องเรียกนางคำหนึ่งว่าท่านน้าเล็ก
เอาเป็นว่าหากต้องเจอหน้ากัน ต่างคนก็ต่างเรียกขานกันไป อวี๋อวี๋ไม่คิดจะเกรงใจฮองเฮาเลยสักนิด
น่าเสียดายที่องค์ชายซ่งซวี่ชอบแกล้งโง่ใส่นาง ไม่อย่างนั้นเขาก็ต้องเรียกนางด้วยความเคารพว่าอี๋ไหน่ไน (คำเรียกญาติอย่างหนึ่ง เรียกพี่น้องของย่า ป้าหรือน้าของพ่อ ฯลฯ) แล้ว
สกุลอวี๋เสาค้ำยันแคว้นไม่ได้มีชื่อเสียงมากนักในวงการขุนนาง เพียงแค่ดูแลเรื่องผ้าไหม ผ้าแพรและชาของในท้องถิ่นเท่านั้น
“ฮ่าๆ ตอนนั้นเซียนกระบี่เฉินให้คำวิจารณ์ที่สูงมากต่อซ่งซวี่”
เด็กสาวหัวเราะร่าชอบใจ กว่าจะหยุดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นางเลียนแบบสีหน้าน้ำเสียงของเซียนกระบี่เฉิน ชี้นิ้วไปที่ซ่งซวี่ ผงกศีรษะพูดกับตัวเองว่า “ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่อายุไม่ถึงยี่สิบปี เด็กรุ่นหลังช่างน่ากลัว”
ฮองเฮายิ้มบางๆ
องค์ชายซ่งซวี่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่กิจการซบเซา ก่ายเยี่ยนและขู่โส่ว และยังมีเด็กหนุ่มอย่างพวกโก่วฉุน วันนี้มาคุยเล่นอยู่ด้วยกัน
โฮ่วแจว๋ภิกษุน้อยที่สวมจีวรผ้าโปร่งสีเรียบกลับไปที่หน่วยแปลคัมภีร์แล้ว
เก๋อหลิ่งก็เหมือนว่าจะถูกเรียกตัวกลับไปที่หน่วยเต้าเจิ้งด้วย
ก่ายเยี่ยนพลันสะดุ้งเยือก หน้าซีดขาวเล็กน้อย
โก่วฉุนหันหน้ามาถาม “เป็นอะไรไป?”
ผู้ฝึกตนแผนภูมิดินที่มีชื่อว่าขู่โส่วยิ้มจืดเจื่อนเล็กน้อย เหตุใดก่ายเยี่ยนถึงเป็นเช่นนี้ ตนก็คือคนที่มีความรู้สึกร่วมกับนาง
ท่ามกลางการเข่นฆ่าครั้งนั้น คนชุดขาวพูดแค่สองคำว่า ‘ดอกไม้บาน’ ลู่ฮุยผู้เป็นสหายก็ถูกกระบี่ยาวหลายสิบเล่มปักตรึงเข้าไปในร่างจนสภาพเหมือนเม่นตัวหนึ่ง
ภายหลังผีสาวก่ายเยี่ยนก็ถูกแสงกระบี่อีกนับไม่ถ้วนฟันจนกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย หากใช้คำพูดของ ‘คน’ ผู้นั้น นี่คือเวทกระบี่ที่เขาคิดค้นขึ้นเอง มีชื่อว่า ‘เศษจันทร์’
แล้วคนที่รอดพ้นจากหายนะมาได้อย่างพวกเขาจะไม่รู้สึกหวาดผวาไม่คลายได้อย่างไร?
อารามเต๋าแห่งหนึ่งในเมืองหลวงที่ประตูหน้ามีขนาดเล็กมาก
ฝ่ายเต้าเจิ้งของเมืองหลวงภายใต้การปกครองของหน่วยฉงซวีของต้าหลี
การประชุมที่เต้าเจิ้งของเมืองหลวงเป็นผู้ดำเนินการ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!