แต่เฉินผิงอันเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง อย่างมากก็แค่ยังมีสถานะของผู้ฝึกยุทธเต็มตัว จะเชี่ยวชาญยันต์เวทอสนีได้อย่างไร ประเด็นสำคัญคือยังเรียนรู้วิชากักวิญญาณชั้นสูงมาด้วยอีกบทหนึ่ง?
ใช้ฉากสายฟ้าสร้างเตาหลอมขึ้นมา ผู้ฝึกลมปราณทั่วไปไม่รู้ถึงความร้ายกาจที่แท้จริง คนที่ไม่รู้ย่อมไร้ความหวาดกลัว แต่สำนักหยินหยางที่รู้เรื่องวงในอย่างลึกซึ้งกลับหวาดเกรงอย่างถึงที่สุด เพราะฉากสายฟ้ามีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘กรงสวรรค์’!
และที่ยิ่งทำให้ลู่เหว่ยรู้สึกเดือดดาลเจ็บแค้น ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นความเย็นเยียบในหัวใจ ยังคงเป็นตราประทับอาคมอักษรฟ้าชิ้นนั้นที่ถึงกับใช้การแกะสลักตราประทับแบบย้อนกลับซึ่งหาได้ยากยิ่ง แกะสลักเป็นคำว่า ‘สั่ง คำ เฉิน ลู่’ สี่อักษร!
ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านยันต์ย่อมไม่กล้าทำเรื่องอย่างการพลิกกลับแบบนี้แน่นอน จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ต้องเป็นฝีมือของลู่เฉินบรรพบุรุษบ้านตนแน่!
ลู่เหว่ยยังคงไม่กล้าเชื่อ เฉินผิงอันที่เพิ่งจะฝึกตนได้แค่สามสิบปีกลับสามารถอาศัยพรสวรรค์ด้านสายยันต์ของตัวเองมาแกะสลักอักขระยันต์แบบย้อนกลับได้แล้ว!
แล้วนับประสาอะไรกับที่ระดับของตราประคับอาคมชิ้นนี้สูงถึงเพียงนี้ ทั้งยังดำรงอยู่บนโลกมานานถึงเพียงนี้
หากไม่เป็นเพราะแน่ใจในตัวตนของบุรุษชุดเขียวตรงหน้า ลู่เหว่ยคงจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้สูงศักดิ์หวงจื่อบางคนของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์แล้ว
เฉินผิงอันตะโกนเรียก “เสี่ยวโม่”
หนันจานรีบหันหน้าหนียกมือป้องแสงยันต์ที่แผ่ไปทั่วฟ้าซึ่งเกิดจากยันต์ที่แหลกสลายพวกนั้น
โชคดีที่เป็นยันต์พิฆาตศพซึ่งใช้แลกชีวิตอีกชิ้นหนึ่ง
เพียงแต่ว่าร่างจริงของลู่เหว่ยกลับยังคงถูกเสี่ยวโม่ใช้มือข้างหนึ่งกดเอาไว้แน่น
สองนิ้วของเสี่ยวโม่ประกบกันตบลงบนไหล่ของลู่เหว่ยเบาๆ ตีให้ ‘ลู่เหว่ย’ แหลกสลายเป็นเศษชิ้นส่วนอีกครั้ง
ยันต์พิฆาตศพสามแผ่นล้วนใช้มาหมดแล้ว
หนันจานมีสีหน้าอึ้งค้าง
นี่ถือว่าเจรจาไม่สำเร็จแล้วหรือ?
ตนยังไม่ทันได้เปิดปากพูดอะไรเลยนะ
ในเมื่อเฉินผิงอันคิดจะฉีกหน้าแตกหักกับคนทั้งสกุลลู่แผ่นดินกลางแล้ว ลู่เจี้ยงคนเดียวจะนับเป็นอะไรได้?
ดูเหมือนลู่เหว่ยจะรู้ว่าตัวเองต้องตายอย่างแน่นอน จึงพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “เฉินผิงอัน เจ้าอย่าได้รังแกกันมากเกินไป จะฆ่าก็ฆ่า ไยต้องหมิ่นเกียรติกันด้วย”
เสี่ยวโม่ผู้นั้นจงใจไม่มาแตะต้องร่างจริงของตนร่างนี้
ส่วนคนหนุ่มที่กลอุบายลึกล้ำกลับเหมือนจะแน่ใจแล้วว่าตนจะต้องใช้ยันต์ร่างจริงอีกสองแผ่นที่เหลือ เขาก็เลยนั่งชมงิ้วอยู่เฉยๆ?
เสี่ยวโม่เอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ความรู้ในใต้หล้าช่างทำให้คนลำบากใจ ในเมื่อบอกว่าเป็นคนควรไว้หน้ากันบ้าง จุดใดที่ยอมลงให้กันได้ก็ควรยอมลงให้ แต่ก็ยังสอนให้พวกเราตัดรากถอนโคน ไม่ทิ้งภัยร้ายไว้เบื้องหลัง หลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายแว้งกลับมาทำร้าย”
ภาพที่เกิดขึ้นต่อมายิ่งทำให้จิตแห่งมรรคาของลู่เหว่ยไม่มั่นคง
บนฝ่ามือของคนชุดเขียวมีบ่อสายฟ้าเกิดขึ้น!
เวทอสนีน่าครั่นคร้าม จิตแห่งมรรคาบริสุทธิ์
ลู่เหว่ยยิ่งตกใจจนหน้าเผือดสี ทิ้งตัวมาด้านหลังตามจิตใต้สำนัก ผลคือถูกเสี่ยวโม่ที่ปรากฏตัวลับๆ ล่อๆ โผล่มาที่ด้านหลังอีกครั้ง ยื่นมือมากดไหล่ของลู่เหว่ย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ยื่นหัวมาก็ต้องโดนตัดหัว หดหัวเข้าก็ไปก็ต้องโดนตัดหัวอยู่ดี จะหลบเลี่ยงทำไม แบบนี้ไม่องอาจเอาเสียเลย”
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้หนันจานมึนงงราวกับตกอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก “ตอนนั้นอาจารย์ฉีอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูสามารถทำให้ลู่เหว่ยทรมานจนอยากตายได้ แน่นอนว่าข้ายังห่างชั้นไกลนัก ได้แต่ทำให้เจ้ารู้สึกว่าอยากตายเป็นเรื่องง่าย แต่อยากรอดกลับยากสักเล็กน้อย”
“ลู่เหว่ย วันหน้าเมื่อเจ้าจุดตะเกียงต่อชะตาในศาลบรรพชนแล้วก็จงจำเรื่องหนึ่งเอาไว้ วันหน้าไม่ว่าอยู่ที่ไหนหรือเมื่อไหร่ ขอแค่ได้พบเจอข้าก็จงหลบทางไปแต่โดยดี ไม่อย่างนั้นหากสบตากันก็จะถือว่าเป็นการถามกระบี่”
ลู่เหว่ยไม่เหลือมาดของยอดฝีมือนอกโลกผู้หลุดพ้นฝุ่นผงในโลกีย์อีกต่อไป รีบร้อนเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน เรื่องของเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิต บอกตามตรงว่าข้ามิอาจตัดสินใจได้เองโดยพลการ แต่ข้าสามารถให้กระบี่บินแจ้งข่าวไปที่สกุลลู่แผ่นดินกลางในทันที ขอร้องให้เจ้าประมุขตอบจดหมายกลับมา จะต้องให้คำตอบที่แน่ชัดแก่เจ้าให้ได้!”
แน่นอนว่าลู่เหว่ยไม่ยินดีจะกลายไปเป็นหุ่นเชิดที่ถูกชักใยซึ่งจิตวิญญาณถูกแยกออกจากกันนับแต่นี้
เห็นเพียงว่าคนหนุ่มสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยี ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ขยับเส้นสายตาไปด้านข้างเล็กน้อย “เสี่ยวโม่อ่า กำลังคุยกันดีๆ ไม่ได้บอกให้เจ้าลงมือเสียหน่อย ไยต้องขุ่นเคืองใจกับผู้อาวุโสลู่ด้วย”
เสี่ยวโม่รีบพยักหน้าทันที “เป็นเสี่ยวโม่ที่วู่วามแล้ว”
จากนั้นเสี่ยวโม่ก็ตบไหล่ลู่เหว่ย คล้ายกำลังปัดฝุ่นให้เขา “ผู้อาวุโสลู่ อย่าได้ถือสากันเลยนะ หากถือสาจริงๆ เสี่ยวโม่ก็ไม่ขัดขวาง แต่ต้องจำไว้ว่าจะต้องเก็บซ่อนความคิดในใจไว้ให้ดี ข้าคนนี้ใจคอคับแคบ ไม่ได้ใจกว้างเช่นคุณชาย ดังนั้นขอแค่ข้าสังเกตเห็นสายตาที่ผิดปกติ หรือสีหน้าที่แสดงความดุร้าย ข้าก็จะฆ่าเจ้าให้ตาย”
ร่างของลู่เหว่ยขึงเกร็ง ไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำ
หนันจานกลับอยากจะข่วนใบหน้าเปื้อนยิ้มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะให้ลายพร้อย
เฉินผิงอันโน้มตัวไปด้านหน้า หยิบตะเกียบด้ามนั้นกลับมาอีกครั้ง มือซ้ายถือกระบี่ ชี้ไปยังลู่เหว่ยที่ถูกเสี่ยวโม่กักตัวให้อยู่ที่เดิมอยู่ตลอดเวลา “แค่ให้ข้าทำเรื่องเล็กๆ เรื่องเดียว? กระเพาะของเจ้ากับของสกุลลู่แผ่นดินกลางใหญ่กว่าหนันจานมากนัก”
ทุกครั้งที่แกว่งเบาๆ ก็จะต้องทำให้จิตแห่งมรรคาของหนันจานสั่นสะท้านไปด้วย
ส่วนลู่เหว่ยที่ถูกชี้ใส่จะรู้สึกอย่างไร มิทราบได้ แต่ต้องไม่ได้เป็นความรู้สึกที่ดีอย่างแน่นอน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!