ตอน บทที่ 882.3 สายตา จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 882.3 สายตา คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
อิงตามอุบายเล็กๆ ที่หนันจานคิดไว้ หากเด็กบ้านนอกผู้นี้เจรจากับบรรพบุรุษสกุลลู่สำเร็จ อย่างมากก็แค่ให้คนเอาเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตกลับมาจากเมืองเล็ก หรือถ้าคุยกันไม่รู้เรื่อง ยกตัวอย่างเช่นบรรพจารย์สกุลลู่คิดจะทอดทิ้งตน ถ้าอย่างนั้นก็จะมาโทษที่ตนทำการค้ากับเฉินผิงอันเพียงลำพังไม่ได้ พวกเจ้าสกุลลู่เห็นราชวงศ์ต้าหลีเป็นมะพลับนิ่มที่ใครจะบีบอย่างไรก็ได้จริงๆ หรือ? ข้าคือหนันจาน คือไทเฮาต้าหลีที่มีชาติกำเนิดมาจากเขตอวี้จาง ไม่ใช่ลู่เจี้ยงอะไรทั้งนั้น
เฉินผิงอันใช้สายตาเวทนามองหนันจาน “คิดจะเล่นเล่ห์ อย่างเจ้าน่ะหรือจะเอาชนะลู่เหว่ยได้? คิดอะไรอยู่ ไข่มุกหลิงซีเส้นนี้หมดค่าไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ฉวยโอกาสที่ลู่เหว่ยไม่อยู่ที่นี่ หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองดูได้”
หนันจานเหมือนถูกฟ้าผ่า รีบก้มหน้าลง ยื่นมือไปขยับเม็ดไข่มุกทั้งหลาย ไข่มุกที่เดิมทีมีประกายแสงศักดิ์สิทธิ์แฝงเร้นคล้ายสูญเสียตราผนึกพันธนาการแห่งขุนเขาสายน้ำชั้นหนึ่งไป กลายมาเป็นหม่นหมองไร้แสง เกิดลางว่าจะแห้งเหี่ยว
เสี่ยวโม่เก็บปณิธานกระบี่ที่ใช้ปาดแสงศักดิ์สิทธิ์ของไข่มุกหลิงซีทิ้งไปอย่างเงียบเชียบมา ถามอย่างสงสัยว่า “คุณชายจะไม่ถามสักหน่อยหรือว่าซ่อนอยู่ที่ไหน?”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจยิ้มกล่าว “ข้ารู้แล้วว่าซ่อนอยู่ที่ไหน คราวหน้าค่อยกลับไปเอาก็แล้วกัน”
ถึงอย่างไรก็อยู่ห่างจากบ้านบรรพบุรุษของตนแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น
หนันจานเงยหน้าขึ้นมองเฉินผิงอัน แล้วจึงหันกลับมามองบรรพบุรุษสกุลลู่ที่หัวและร่างแยกจากกัน
ความเกลียดแค้นในดวงตามากมายนัก
แต่สายตาที่ไทเฮาต้าหลีมองฝ่ายแรก นอกจากมีความเคียดแค้นครึ่งหนึ่งแล้ว ยังมีความหวาดเกรงอีกครึ่งหนึ่งด้วย
“เห็นแก่ที่คำตอบนี้นับว่าน่าพึงพอใจ ข้าก็มีคำแนะนำอย่างหนึ่งให้เจ้า”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “ลู่เจี้ยงเป็นใคร ข้าไม่รู้ แต่ไทเฮาต้าหลี หนันจานแห่งเขตอวี้จาง ข้าเคยพบเจอมานานแล้ว วันหน้าทำอะไรต้องวางแผนให้ดีก่อนค่อยลงมือ สกุลซ่งต้าหลีไม่อาจขาดฮ่องเต้ได้แม้แต่วันเดียว แต่ไทเฮาน่ะหรือ กลับสามารถฝึกตนอยู่ในตำหนักฉางชุนเป็นเวลายาวนานเพื่อขอพรให้บ้านเมืองได้”
“เข้าใจแล้วหรือยัง?”
หนันจานพยักหน้ารับเบาๆ ด้วยสีหน้าทึ่มทื่อ
เฉินผิงอันถามอีกว่า “ข้าไม่เชื่อในสมองของเจ้า ดังนั้นจึงจะถามเจ้าซ้ำอีกครั้ง ‘ไม่อาจขาดฮ่องเต้ได้แม้แต่วันเดียว’ เจ้าเข้าใจแล้วจริงๆ หรือ?”
หนันจานยังคงพยักหน้า
หนึ่งประโยคสองความหมาย ซ่งเหอฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีจำเป็นต้องครองราชย์ มิเช่นนั้นบ้านเมืองจะเป็นดั่งฝูงมังกรไร้ผู้นำ จะสร้างความสั่นสะเทือนรุนแรงให้แก่ราชสำนัก
นอกจากนี้ก็คือหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้นกับฮ่องเต้ซ่งเหอ ราชสำนักก็ต้องเปลี่ยนคน ต้องมีคนมารับตำแหน่งต่อทันที ยกตัวอย่างเช่นเปลี่ยนฮ่องเต้ในวันนั้นเลย ยังคงเป็นประโยคที่ว่ามิอาจขาดฮ่องเต้ได้แม้แต่วันเดียวเหมือนกัน
ส่วนดวงจิตเมล็ดงาของลู่เหว่ยก็เหมือนถูกบังคับยัดเข้าไปในเนื้อหนังที่ล่องลอยว่างเปล่า ทำให้ได้เห็นภาพแห่งกาลเวลาภาพแล้วภาพเล่า
บนสนามรบที่เป็นภาพมายาแห่งหนึ่ง ปีศาจใหญ่ขั้นสูงสุดของราชาบัลลังก์เก่าสิบสี่คนซึ่งรวมบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่เป็นหนึ่งในนั้นยืนเรียงกันเป็นแถว คล้ายกับว่าลู่เหว่ยคนเดียวกำลังคุมเชิงกับพวกมัน
เป็นเหตุให้จิตแห่งมรรคาของลู่เหว่ยส่ายไหวไม่มั่นคง
บนพื้นดิน ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่าอย่างเฟยเฟยกำลังกระชากลำคลองใหญ่อยู่กลางอากาศ
บนยอดเขาของภูเขาใหญ่แห่งหนึ่ง ปีศาจใหญ่บนยอดเขาที่มีชื่อว่าหยวนซง ข้างกายมีดรุณีน้อยยืนอยู่บนลำคลอง มีแสงกระบี่ที่คล้ายกับพุ่งดิ่งตรงมาหาลู่เหว่ย
……
ในช่วงเวลาที่จิตแห่งมรรคาของลู่เหว่ยกำลังจะแหลกสลาย
สุดท้ายเขาก็มาถึงตรอกซิ่งฮวาที่ลู่เหว่ยคุ้นเคยเป็นอย่างดี ที่นั่นมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งตั้งแผงขายถังหูลู่
ชายฉกรรจ์คนนั้นกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง เอ่ยกับบรรพบุรุษสกุลลู่สำนักหยินหยางด้วยประโยคที่พูดก็เหมือนไม่พูด “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เศษสวะลู่เหว่ย”
จิตแห่งมรรคาแตกโพละแหลกสลาย ประหนึ่งตะเกียงแก้วที่ร่วงตกพื้น
ทั้งๆ ที่ลู่เหว่ยรู้ดีว่านี่เป็นฝีมือของอิ่นกวานหนุ่ม แต่กลับยังคงยากที่จะรั้งจิตซึ่งหลุดออกจากการควบคุมของตัวเองได้
ต่อมาจิตวิญญาณของลู่เหว่ยที่ขวัญหนีดีฝ่อก็ถูกกระชากดึงให้มาที่หน้าประตู ‘เรือน’ หลังหนึ่ง ประตูไม่ได้ปิดไว้ ด้านในมีผู้ฝึกตนคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิ ข้างหน้าวางโต๊ะเอาไว้ตัวหนึ่ง ดูเหมือนว่าผู้ฝึกตนจะกำลังเขียนอะไรบางอย่าง
เห็นลู่เหว่ยแล้ว คนผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ ทั้งยังมีความตื่นเต้นหลายส่วน เขารีบลุกขึ้นยืน เดินมาที่หน้าประตู แต่กลับไม่กล้าข้ามธรณีประตูออกมาแม้แต่ก้าวเดียว เพียงแค่ใช้ภาษากลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้างถามอย่างกระตือรือร้นว่า “สหายท่านนี้มาจากที่ใดของเปลี่ยวร้างหรือ?”
ลู่เหว่ยเชี่ยวชาญภาษากลางของเปลี่ยวร้าง ลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “สกุลลู่แห่งแผ่นดินกลาง เจ้าคือ?”
คนผู้นั้นพลันหัวเราะเสียงดังลั่น “ดีๆ ดีเยี่ยมไปเลย เป็นคนที่หล่นร่วงลงมาจากขอบฟ้า (เปรียบเปรยถึงคนที่ตกอับต้องซัดเซพเนจร) เหมือนกัน”
มีทุกข์ร่วมต้าน ไม่สนหรอกว่าจะมาจากบ้านเกิดหรือไพศาล
ทางที่ดีที่สุดคือทั้งสองได้เป็นเพื่อนบ้านกัน ยามปกติยังพูดคุยกันได้ด้วย
คนตรงหน้าลู่เหว่ย ‘คนนี้’ ก็คืออิ๋นลู่รองเจ้านครของนครเซียนจานที่นครถูกผ่าออกเป็นสองท่อน ก่อนหน้านี้ถูกเฉินผิงอันกักหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณแล้วโยนมาไว้ที่นี่
ทุกวันนี้นครเซียนจานถูกยันต์สองแผ่นอย่างยันต์อักษรภูเขาและยันต์อักษรน้ำแบ่งแยกเอาไว้ พื้นที่มงคลเหยากวงที่เป็นคลังยุทโธปกรณ์ของเปลี่ยวร้างก็ไม่เหลืออยู่แล้วเหมือนกัน อิ๋นลู่ที่อยู่ที่นี่อิจฉาอิ๋นลู่ที่จะดีจะชั่วก็ยังมีอิสระผู้นั้นแทบตายแล้ว แค่ขอบเขตถดถอยจากเซียนเหรินมาเป็นขอบเขตหยกดิบแล้วอย่างไร ก็ยังได้อิงแอบแนบชิดสาวงาม ได้เกลือกกลิ้งอยู่ในบ้านเกิดแห่งความอ่อนโยนอยู่ทุกวันไม่ใช่หรือ เสวียนผู่ผู้เป็นอาจารย์ตายไป ไม่แน่ว่า ‘ตัวเอง’ คนนั้นอาจได้เป็นเจ้านครไปแล้วก็ได้
น่าสงสารตนที่ต้องมาถูกขังอยู่ที่นี่ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเขียนหนังสือ
ต้องคอยจดบันทึกทุกสิ่งที่เคยได้เห็นได้ยินมาเกี่ยวกับเปลี่ยวร้างลงสมุดบันทึก
หากกล่าวตามคำพูดของอิ่นกวานหนุ่ม เขียนได้ไม่ถึงหนึ่งล้านคำก็อย่าหวังว่าจะได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย หากคุณภาพของเนื้อหายังพอใช้ได้ ไม่แน่ว่าอาจปล่อยให้เขาได้ออกไปเดินดูข้างนอกบ้าง
ทางฝั่งของงานเลี้ยงสุรานอกฟ้าดินเล็ก
เสี่ยวโม่พลันเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชาย”
เวลานี้เฉินผิงอันกำลังก้มหน้ามองหมัดที่ซ่อนฉากสายฟ้าเอาไว้ สายตาฉายประกายเจิดจ้าผิดปกติ
ได้ยินคำเรียกขานของเสี่ยวโม่แล้ว แต่เฉินผิงอันกลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เสี่ยวโม่จึงได้แต่เรียกว่าคุณชายอีกครั้ง
เฉินผิงอันถึงได้เงยหน้าขึ้น คลี่ยิ้มให้กับเสี่ยวโม่
หนันจานกับลู่เหว่ยรู้สึกมาโดยตลอดว่า ‘โม่เซิง’ ที่แปลกหน้าผู้นี้คือผู้ปกป้องมรรคาที่มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ครั้งนี้เสี่ยวโม่ติดตามเฉินผิงอันมาเป็นแขกในวังหลวง มาเยี่ยมเยือนคนรู้จักสองคน ก็เพื่อให้เสี่ยวโม่คอยเตือนให้เขายับยั้งตัวเองในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
เฉินผิงอันคลายนิ้วทั้งห้าออก จิตวิญญาณของลู่เหว่ยพลันกลับคืนสู่ตำแหน่ง รีบคลำหายันต์สีม่วงเขียวแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ เอามาทาบทับตรงลำคอทันใด
เซียนเหรินที่อยู่ในช่วงคอขวดแล้ว กลับขอบเขตถดถอยเป็นหยกดิบภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่ได้ลงมือเลยสักครั้ง
ความอัปยศใหญ่หลวงสำหรับคนบนภูเขาประเภทนี้ มิอาจหาสิ่งใดมาเทียบเทียมได้อีกแล้ว
ควรจะรับมือกับบรรพบุรุษสกุลลู่ผู้นี้อย่างไร อันที่จริงเฉินผิงอันไม่มีทางเลือกมากนัก ลู่เหว่ยไม่ใช่อิ๋นลู่แห่งนครเซียนจานผู้นั้น เฉินผิงอันไม่ค่อยกล้าดึงจิตวิญญาณของอีกฝ่ายมาทิ้งไว้ในตราผนึกของฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ของตัวเอง ดังนั้นหากไม่หลอมจิตวิญญาณของอีกฝ่ายให้หมดสิ้น เป็นเหตุให้ลู่เหว่ยต้องอาศัยตะเกียงต่อชะตาชีวิตในศาลบรรพชนตระกูลตัวเอง เอาอย่างไหวเฉียน กลับมาฝึกตนใหม่อีกครั้ง หรือไม่ก็เหมือนอย่างตอนนี้ที่ทำให้อีกฝ่ายขอบเขตถดถอย เรื่องไม่คาดฝันเพียงหนึ่งเดียวคือจิตแห่งมรรคาดวงนั้นของลู่เหว่ยเปราะบางกว่าที่เฉินผิงอันคาดการณ์ไว้มากนัก คาดว่าอาจารย์ฉีและโจวจื่อต่างก็ต้องเคยทิ้งตราประทับที่มิอาจลบเลือนไว้บนจิตแห่งมรรคาของลู่เหว่ย และเขาก็ต้องเคยเผชิญกับความทุกข์ยากอย่างใหญ่หลวงมาก่อนแน่นอน
หนันจานจึงได้แต่ยอบกายคารวะด้วยท่าทางสำรวมไร้ชีวิตชีวา เค้นรอยยิ้มเอ่ยขอบคุณคนผู้นั้นคำหนึ่ง
เฉินผิงอันพาเสี่ยวโม่จากไป
ความคิดในหัวหนันจานตีกันอยู่พักใหญ่ แต่ก็ยังใช้เสียงในใจซักถามกับแผ่นหลังของคนชุดเขียวว่า “นับแต่นี้ไปข้าสามารถตัดขาดความสัมพันธ์กับสกุลลู่แผ่นดินกลางได้จริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันไม่ได้หันกลับมา “สวรรค์เท่านั้นที่รู้”
เดินไปที่ประตูวังด้วยกัน ทั้งสองฝั่งล้วนเป็นกำแพงสูงใหญ่
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “เจอกันบนเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ต่างฝ่ายต่างผูกบุญสัมพันธ์ ใช้ชีวิตอยู่บนโลก ต่างฝ่ายต่างต้องใช้หนี้คืน”
ดวงตาเสี่ยวลู่เป็นประกายวาบ เอ่ยว่า “พอคุณชายพูดแบบนี้ถึงได้รู้ว่าที่แท้เสี่ยวโม่ก็จับผลัดจับผลูตั้งชื่อให้ตัวเองได้ดีขนาดนี้”
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ “โม่เซิงชื่อนี้ยิ่งใหญ่มาก สี่จู๋ฉายานี้ก็เป็นมงคลชวนชื่นชอบ เสี่ยวโม่ที่เป็นชื่อเล่นก็เล็กมาก”
เสี่ยวโม่เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถามหยั่งเชิง “คุณชาย กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเหล่านั้นของข้า ไม่สู้ช่วยข้าเปลี่ยนชื่อด้วยดีไหม?”
“ข้าเชี่ยวชาญด้านการตั้งชื่อจริงๆ แต่โดยทั่วไปแล้วจะไม่ลงมือง่ายๆ”
ชูอี สืออู่
จ้างปู้ (สมุดบัญชี) ข่านไฉ (ผ่าไม้/ผ่าฟืน)
แน่นอนว่ายังมีหน่วนซู่กับจิ่งชิง
เคยถูกทำให้เสียใจมาก่อนด้วยนะ
แต่บัญชีเก่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับแม่นางน้อยหน่วนซู่ ล้วนคิดลงบนหัวเฉินหลิงจวินทั้งหมด
เฉินผิงอันหันหน้ามาถาม “สรุปแล้วมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตกี่เล่ม?”
เสี่ยวโม่ตอบอย่างเขินอาย “มีแค่สี่เล่ม ระดับขั้นล้วนธรรมดา”
เฉินผิงอันตบไหล่เสี่ยวโม่ “เสี่ยวโม่อ่า รับคำชมไม่ได้เลยใช่ไหม ถึงได้ไม่รู้จักพูดแบบนี้”
เสี่ยวโม่ลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ยังใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “คุณชาย มีอยู่ประโยคหนึ่งไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าพูดเลย”
เสี่ยวโม่อืมรับหนึ่งที ไม่ได้เอ่ยความคิดนั้นออกมา
บนพื้นดินยุคบรรพกาล เสี่ยวโม่ในเวลานั้นเพิ่งจะเรียนเวทกระบี่เป็นก็เริ่มพกกระบี่ออกท่องเที่ยวไปในใต้หล้า เคยโชคดีได้เจอบุคคลหนึ่งที่มาจากฟ้า ลงมาเดินบนโลกมนุษย์
คุณชายข้างกายผู้นี้เหมือน ‘คน’ ผู้นั้นอย่างมาก
กาลเวลายาวนาน หมื่นปีให้หลัง เสี่ยวโม่จดจำใบหน้าและน้ำเสียงของอีกฝ่ายไม่ได้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เสี่ยวโม่ก็ลืมไปด้วยว่าเจอกับอีกฝ่ายแล้วพวกเขาทั้งสองคุยเรื่องอะไรกัน หรือว่าแท้จริงแล้วไม่ได้พูดคุยอะไรทั้งนั้น สรุปก็คือเหลือแค่ภาพความทรงจำที่พร่าเลือนอย่างหนึ่งทำให้เสี่ยวโม่มิอาจลืมเลือนแม้จะผ่านมาแล้วหมื่นปี จนกระทั่งวันนี้เสี่ยวโม่ก็แค่นึกถึงอีกฝ่ายขึ้นมาได้ ดูเหมือนจะนิสัยดีมากๆ ความทรงจำเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่นั้นก็ยิ่งไม่มีเหตุผลใดจะอธิบายแล้ว
ยามที่อีกฝ่ายมองสรรพสิ่งในฟ้าดิน มองสรรพชีวิตที่มีสติปัญญาก็มีสายตาอ่อนโยนเช่นนี้เหมือนกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!