ไม่รู้จริงๆ ว่าเด็กหนุ่มที่ปีนั้นเห็นคนก้นใหญ่ก็ละสายตาออกไม่ได้กลายมาเป็นขุนนางใหญ่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งราชสำนักคำพูดหนึ่งคำล้ำค่าดุจทองคำ แม้แต่เทพเซียนบนภูเขาก็ยังต้องขอตัวอักษรจากเขามาได้อย่างไร
ผู้ฝึกตนก็มีดีเช่นนี้ ได้เห็น ‘เด็กหนุ่ม’ ที่กลายเป็นคนแก่ล่างภูเขามามากมาย
หลิวเจียแก้ด้ายสีเหลืองทองที่รัดอยู่บนแกนภาพออก บิดหมุนข้อมือสะบัดม้วนภาพให้คลี่กางอยู่กลางอากาศ ด้านบนคือตัวอักษรใหญ่สองแถวที่น้ำหมึกเปี่ยมล้น ราวกับคนเขียนใส่อารมณ์อย่างเต็มที่ ‘เดียวดายเพียงลำพังมีเพียงเงาเคียงข้าง แรงกดดันรอบด้านมิอาจสยบกำราบข้าได้’
หลิวเจียด่าขำๆ “เสี่ยวจ้าวตัวดี ตัวอักษรเหมือนความสามารถในการประจบสอพลอจริงๆ แม้จะแก่แต่ก็ยังแข็งแรง”
จ้าวตวนหมิงบ่นพึม “อาจารย์ แค่พอหอมปากหอมคอก็พอแล้วกระมัง ถึงอย่างไรก็เป็นท่านปู่ของข้า ท่านเอาแต่เรียกว่าเสี่ยวจ้าว เสี่ยวจ้าวอยู่อย่างนี้ ข้าทำตัวลำบากนะ จะแสร้งหูหนวกแสร้งเป็นใบ้ก็เหมือนคนอกตัญญู แต่จะโต้เถียงท่านก็อกตัญญูอยู่ดี”
หลิวเจียหัวเราะ พลันถามว่า “คงไม่ใช่ว่าเป็นของปลอมที่เชิญให้คนอื่นมาเขียนแทนหรอกกระมัง?”
จ้าวตวนหมิงยืดคอยาวไปมอง “อาจารย์ สายตาท่านนี่ยังไงกัน น้ำหมึกบนนี้ยังไม่ทันแห้งดีเลย แล้วยังมีตราประทับที่หากไม่ใช่ผลงานที่ภาคภูมิใจจะไม่ประทับลงไปอีกเด็ดขาด จะยังเป็นของปลอมได้อีกหรือ?”
“อีกอย่างอาจารย์ท่านก็ใช่ว่าจะไม่รู้สักหน่อย ท่านปู่ของข้ารักศักดิ์ศรีหน้าตาเป็นที่สุด ต่อให้เป็นตอนหนุ่มที่ขาดเงิน อย่างมากสุดท่านปู่ก็แค่วาดภาพเลียนแบบหาเงินมาเล็กน้อยเท่านั้น”
หลิวเจียหันหน้ามาถาม “ก็แค่ล้อเล่น จะทำหน้างอทำไม”
เด็กหนุ่มนั่งยองบนพื้น “ท่านปู่บอกแล้วว่าให้ท่านเอาตราประทับที่แกะสลักเองสองชิ้นไปมอบให้เขาด้วย แบ่งเป็นแกะสลักคำว่า ‘เซียนกระบี่’ และ ‘ผู้เล่นระดับแคว้น’ หากท่านไม่ทำให้ เขาจะมาดักหน้าประตูรอทวงหนี้ที่นี่ด้วยตัวเอง”
ผู้ฝึกตนเฒ่าถลึงตากล่าว “เสี่ยวจ้าวออกจากบ้านไม่ทันดูทาง หัวเลยถูกประตูหนีบใช่ไหม? ตาเฒ่าที่แค่ลมพัดก็ตัวปลิวยังจะกล้ามาดักหน้าประตูที่นี่ด้วย?”
จ้าวตวนหมิงใช้สายตาเวทนามองอาจารย์ของตน
ทำไมตนถึงต้องมาเจออาจารย์ที่หัวทึบแบบนี้ด้วยนะ
เพียงไม่นานหลิวเจียก็เข้าใจจุดเชื่อมต่อของเรื่องราวจึงกระแอมสองสามที หาบันไดลงให้ตัวเองด้วยการพูดว่า “ก็ได้ๆ อันที่จริงอาจารย์ก็เป็นนักแกะสลักหินทองผู้เชี่ยวชาญที่อำพรางตัวตนอย่างลึกล้ำคนหนึ่ง ก็แค่ว่าไม่ชอบเปิดเผยสุดยอดฝีมือนี้ง่ายๆ ก็เท่านั้น”
มารดามันเถอะ บัณฑิตที่เป็นขุนนางพวกนี้มีไส้หลายขดเสียเหลือเกิน พูดจาหรือทำอะไรก็ชอบวกวนอ้อมค้อมกันซะจริง
หลิวเจียเปิดอักษรภาพอีกชิ้น ร้องเอ๊ะหนึ่งที ค่อนข้างตกตะลึงอยู่มาก
ต่อให้ผู้ฝึกตนเฒ่าจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนอักษรพู่กันจีน แต่เขาก็รู้สึกว่าเทียบอักษรชิ้นนี้ แค่คลี่ออกมาก็ไม่ธรรมดาอย่างมากแล้ว
เรียบง่ายมาก ก็คือหนึ่งอักษรหนึ่งแถวที่หาได้ยากยิ่ง!
เป็นเหตุให้ตอนที่คลี่กางเทียบอักษรออกทั้งหมด ม้วนภาพจึงยาวถึงสามจั้ง!
เริ่มต้นด้วยประโยคว่า ‘หยวนเจียปีที่หก สถานที่ที่หนาวเหน็บยากแค้น อุทกภัยสิ้นสุด เห็นคนชุดเขียว ดึงหญ้าถ่อเรือ ล่องลำน้ำอย่างเดียวดาย ดุจมนุษย์ดุจเทพ ดุจผีดุจเซียน’
ลงท้ายด้วยสี่คำว่า ‘ถือเทียนเดินทางกลับยามค่ำคืน’
ตัวอักษรเหมือนหอกยาวง้าวใหญ่ พลังอำนาจบีบคั้นกดดันผู้คน
จ้าวตวนหมิงอึ้งไปพักใหญ่ เอ่ยอย่างเหม่อลอยว่า “เหตุใดแม้แต่เทียบอักษรนี้ท่านปู่ก็เอามามอบให้คนอื่นด้วยเล่า”
ท่านปู่พูดไม่ใช่แค่ครั้งเดียว บอกว่าในอนาคตจะต้องเอาเทียบอักษรนี้ใส่ลงโลงต่างหมอนนอน
ท่านปู่คือบัณฑิตอ่อนแอตามแบบฉบับ ได้ยินว่าตอนเด็กร่างกายอ่อนแอป่วยออดๆ แอดๆ ตอนอายุสามสิบเป็นขุนนางอยู่ในกรมคลัง เคยมีความเห็นแตกต่างจากราชครูชุย รู้สึกว่ากองทัพชายแดนต้าหลีทุ่มกำลังทรัพย์จับศึกพร่ำเพื่อ ผลคือถูกเนรเทศไปรับความทรมานหนาวเหน็บที่ชายแดน ระหกระเหินอยู่หรงโจวที่ซึ่งขุนเขาสายน้ำอันตรายนานถึงหกปี อดีตหลางจงกองชิงลี่แห่งกรมคลังได้แต่ไปเป็นนายอำเภอที่ชายแดน อีกทั้งตอนนั้นที่ท่านปู่ออกไปจากเมืองหลวงก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดกลับมาอีก
จ้าวตวนหมิงเคยได้ยินบิดาเล่าเรื่องนี้ บอกว่าท่านย่าของเจ้านิสัยดื้อรั้นแข็งกร้าว ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าคนนอก มีเพียงครั้งเดียวที่ร้องไห้อย่างน่าสงสารยิ่ง
รอกระทั่งท่านปู่กลับมาถึงเมืองหลวงก็ไม่ได้รับร่มหมื่นประชา (ร่มที่มอบให้กับขุนนางซึ่งแสดงการยกย่องว่ามีคุณูปการต่อชาวประชา) แล้วก็ไม่ได้มีชื่อเสียงที่ดีในท้องถิ่นอะไร ไม่ได้ทิ้งกลอนไว้แม้แต่บทเดียว ราวกับว่านอกจากสัมภาระหนึ่งห่อแล้ว ของที่เกินมาบนร่างก็มีแค่เทียบอักษรชิ้นนี้เท่านั้น
ทุกครั้งที่คลี่กางม้วนภาพนี้ออกบนโต๊ะช้าๆ เจ้าประมุขสกุลจ้าวเทียนสุ่ยผู้นี้จะต้องหยิบเหล้ามาด้วยหนึ่งกา
จากช่วงวัยหนุ่มฉกรรจ์ที่อ่านหนังสือหนึ่งตัวพร้อมดื่มเหล้าหนึ่งอึก มาจนถึงวัยชราที่ดื่มเหล้าหนึ่งอึกกับอ่านอักษรหลายตัว จนกระทั่งถึงวันนี้ ผู้เฒ่าแค่ดื่มเหล้าครึ่งกาก็อ่านเทียบอักษรทั้งเทียบจบแล้ว
และคำว่าหยวนเจียปีที่หกที่เป็นประโยคเปิดเทียบอักษร
ก็เป็นปีรัชศกที่กองทัพต้าหลีผ่านสงครามยากลำบากเอาชนะกองทัพม้าของสกุลหลูได้พอดี
ก็เป็นปีนี้เองที่หากใช้คำกล่าวของชาวบ้านก็คือ กองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่ถูกขุนนางบุ๋นกรมคลังซึ่งเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งตำราด่าว่าทุ่มกำลังทัพจับศึกพร่ำเพื่อได้จับกองทัพม้าเหล็กฝีมือดีสองแสนนายของสกุลหลูที่ใครก็มิอาจต่อกรกดลงพื้นแล้วอัดเสียน่วม สังหารศัตรูไปนับไม่ถ้วน ครั้งแรกที่กองทัพชายแดนต้าหลีบุกเข่นฆ่าเข้าไปถึงในอาณาเขตแคว้นสกุลหลู คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของชายแดนที่ไม่เคยมีมานานหลายร้อยปีแล้ว!
หากใช้คำพูดของทางการต้าหลีก็จะมีความพิถีพิถันอยู่สักหน่อย นั่นคือฆ่าจนกองทัพม้าเหล็กสกุลหลูที่ในอดีตบุกผ่านที่ใดที่นั่นก็ราบเป็นหน้ากลองจน ‘หลังม้าไม่เหลือคนแม้แต่คนเดียว’!
นับแต่นั้นมาขุนเขาสายน้ำทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปก็ไม่มีกองทัพม้าเหล็กสกุลหลูอีกต่อไป มีเพียงกองทัพม้าเหล็กต้าหลีเท่านั้น
หลิวเจียม้วนเทียบอักษรเก็บกลับมาอย่างเชื่องช้า หันหน้ามาพูดกับเด็กหนุ่มว่า “ไปบอกกับท่านปู่เจ้าสักคำว่า ตราประทับสองชิ้นนั้น ข้าจะจัดการให้เอง”
หันโจ้วจิ่นผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดินออกจากเมืองหลวงไปอย่างลับๆ นางมายังวัดเล็กไร้ชื่อเสียงแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ชานเมืองหลวง
นางยืนอยู่หน้าประตู เห็นคนหนุ่มคนหนึ่งกำลังคัดคัมภีร์อยู่ในกุฎิ สีหน้ามุ่งมั่นมีสมาธิ คัดคัมภีร์พุทธบทหนึ่งด้วยตัวอักษรบรรจงขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวัน
คนผู้นั้นมองดูแล้วเหมือนลูกหลานของตระกูลชั้นสูงที่เอ้อระเหยลอยชายเสียมากกว่า
แต่หันโจ้วจิ่นกลับตึงเครียดอย่างมาก ถึงกับเหงื่อไหลเปียกฝ่ามือ
เจ้าประมุขคนปัจจุบันของสกุลเยี่ยนจื่อจ้าว ก็คือเยี่ยนหย่งเฟิงซื่อชิงแห่งวัดกวงลู่ เมื่อเทียบกับยศของแซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นแล้ว ตำแหน่งขุนนางของเขาจึงไม่เล็กไม่ใหญ่ ประเด็นสำคัญคือยังเป็นที่ว่าการน้ำใสของเก้ามนตรีเล็กอีกด้วย แต่คนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจของสกุลเยี่ยนอย่างแท้จริง กลับเป็นบุคคลที่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าดูแคลน
นั่นก็คือผู้ฝึกตนที่มีศาสตร์คงความเยาว์วัยตรงหน้าหันโจ้วจิ่นอย่างเยี่ยนเจี่ยวหรานผู้นี้
เยี่ยนเจี่ยวหรานเชี่ยวชาญการเขียนตัวอักษรแบบหวัด แต่กลับชอบมาคัดคัมภีร์ด้วยตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กอยู่ที่นี่ ราวกับว่าทุกครั้งที่เข้าเมืองหลวง หากมีเวลาว่างก็จะต้องมาคัดคัมภีร์ที่วัดแห่งนี้
นี่เป็นครั้งที่สามที่หันโจ่วจิ้นมาพบคนผู้นี้ที่นี่
คัดจบหนึ่งประโยคแล้ว เยี่ยนเจี่ยวหรานก็หันหน้ามายิ้มกล่าว “เข้ามานั่งสิ มัวยืนอึ้งอยู่ทำไม”
เยี่ยนเจี่ยวหรานก้มหน้าลง เอ่ยเสียงเบา “แม่นางหัน รอสักครู่ ยังขาดอีกร้อยกว่าตัว”
หันโจ้วจิ่นปิดประตูห้องลงเบาๆ จากนั้นก็ยืนอยู่ตรงหน้าประตู
ก่อนจะเจอกับอาจารย์เฉิน หันโจ้วจิ่นกลัวแค่คนตรงหน้าเท่านั้น
ในห้องมีเพียงเสียงแสกสากจากปลายพู่กันที่เสียดสีกับแผ่นกระดาษเท่านั้น
หลังจากเยี่ยนเจี่ยวหรานคัดคัมภีร์พุทธบทหนึ่งเสร็จก็วางพู่กันลงเบาๆ หันหน้ามามองสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู ยิ้มกล่าว “นั่งสิ”
หันโจ้วจิ่นรีบขยับเดินมาข้างหน้าสองสามก้าว เคลื่อนเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง
เยี่ยนเจี่ยวหรานยื่นมือไปกดเทียบอักษรล้ำค่าที่พกติดตัวมาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ “เมื่อก่อนได้ฟังท่านราชครูเคยบอกว่า วิถีแห่งการเขียนพู่กันจีนคือเส้นทางสายเล็กที่อยู่ปลายแถวมากที่สุด เทียบกับการวาดภาพแล้วยังด้อยกว่า แนะนำข้าว่าอย่าสิ้นเปลืองความคิดและแรงกายอยู่กับเรื่องนี้ ภายหลังคงเป็นเพราะเห็นว่าข้าไม่ยอมเปลี่ยนใจ บางทีอาจรู้สึกว่าข้าเองก็พอจะมีพรสวรรค์อยู่บ้างหลายส่วน? มีครั้งหนึ่งที่การประชุมสิ้นสุดลงก็เลยชี้แนะข้าสองสามประโยค แล้วยังมอบเทียบอักษรแบบหวัดฉบับนี้มาให้ข้าด้วย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!