เยี่ยนเจี่ยวหรานยื่นนิ้วโป้งมาเช็ดมุมปาก เพราะอดไม่ไหวจึงหลุดหัวเราะปากกว้าง “ผลคือผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูยังไม่ทันไปรายงานก็ประทานคำหนึ่งมาให้ข้าโดยตรง แม่นางหัน?”
หันโจ้วจิ่นเงยหน้าขึ้น แข็งใจตอบว่า “คำว่า ‘ไสหัวไป’ หรือ?”
เยี่ยนเจี่ยวหรานกล่าวต่อว่า “ตอนนั้นข้ายังเด็กนี่นะ เจ้าอารมณ์ ก็เลยอยากจะวางมวยกับตาแก่นั่นสักตั้ง คิดไม่ถึงว่าคนเฝ้าประตูแก่ๆ ที่เดินแทบไม่ตรงทางกลับเป็นถึงเซียนกระบี่โอสถทองคนหนึ่ง”
เยี่ยนเจี่ยวหรานยื่นนิ้วข้างหนึ่งจิ้มมาที่หน้าผากของตัวเอง “กระบี่บินเล่มหนึ่งมาหยุดอยู่ตรงนี้ ทำเอาข้าเหงื่อตกขนตั้งเลยทีเดียว”
“อืม ไม่ถึงขั้นฉี่ราดกางเกง แม้จะบอกว่าตอนนั้นยังเด็ก ขอบเขตไม่สูง แต่ก็ใช่ว่าข้าจะไม่เคยฆ่าคนมาก่อน”
“แต่ความรู้สึกที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายเช่นนั้นทำให้ข้าจดจำได้อย่างลึกซึ้งมาจนถึงวันนี้ ไม่ใช่บอกว่าเกือบถูกคนฆ่าทำให้ข้าปล่อยวางไม่ลง แต่ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเช่นนั้นช่างทำให้คนอัดอั้นยิ่งนัก เหตุใดอีกฝ่ายถึงได้แข็งแกร่งปานนั้น ไยตนถึงได้อ่อนแอ ทั้งยังโง่เขลาปานนั้น”
“ข้าว่าพวกเจ้าเก้าคน ดูเหมือนจะโง่กว่าข้าเสียอีก”
“หึหึ ลูกรักแห่งสวรรค์ที่ถูกเลือกมาจากขุนเขาสายน้ำของทวีปแห่งหนึ่ง มีตบะขอบเขตและสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินเสียเปล่า จิตใจกลับไม่ได้เรื่องถึงเพียงนี้”
“ก่อนหน้านี้ข้ายังประหลาดใจว่าเหตุใดใต้เท้าราชครูที่เชี่ยวชาญการขัดเกลาจิตใจคนที่สุดถึงได้ทิ้งพวกเจ้าไว้ที่นั่น ปล่อยให้พวกเจ้านั่งปากบ่อมองดูฟ้า แต่ละคนดวงตางอกอยู่บนหน้าผาก ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ท่านราชครูมีแผนการอยู่ก่อนตั้งแต่แรกแล้วจริงๆ ด้วย”
เยี่ยนเจี่ยวหรานพูดไปพูดมาก็เหมือนว่าจะออกนอกประเด็นไปอีก เขายิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าก่อนที่สงครามครานั้นจะปิดฉากลง เซียนกระบี่เยี่ยนท่านนั้นไปนั่งดีดลูกคิดอยู่ในห้องบัญชีแห่งหนึ่งของเรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัวอยู่ตลอด”
“ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าข้าอยากพบอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นมากเพียงใด อยากถามเขากับปากตัวเองว่าสรุปแล้วเซียนกระบี่เยี่ยนที่แม้แขนทั้งสองข้างจะขาดแต่ก็ยังไปที่หัวกำแพง เวทกระบี่เป็นอย่างไร สังหารปีศาจได้อย่างไร”
“เพียงแต่เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นที่สงสัยจึงพบไม่ได้ ถามไม่ได้ ดังนั้นครั้งนี้เรียกเจ้ามาก็เพราะมีเรื่องเล็กเรื่องหนึ่งที่ต้องการให้เจ้าช่วยถามแทน”
ผู้ฝึกตนที่ออกเดินทางท่องเที่ยวของใต้หล้าไพศาล เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หรือกองทัพชายแดนของแต่ละแคว้นในแจกันสมบัติทวีปยุคหลังที่ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพม้าเหล็กต้าหลี
บางทีอาจมีความรู้สึกเช่นเดียวกับเยี่ยนเจี่ยวหรานในอดีตที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกกระบี่คนเฝ้าประตูคนนั้น
อีกไม่นานเยี่ยนเจี่ยวหรานก็จะต้องติดตามทูตผู้ตรวจการเฉาผิงมุ่งหน้าไปที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว
วัดสร้างอยู่ที่ตีนเขา หลังจากหันโจ้วจิ่นจากไป เยี่ยนเจี่ยวหรานก็เอนกายพิงประตูห้อง มองไปยังภูเขาเขียวที่อยู่ในจุดสูง
ภูเขาว่างเปล่าไร้ผู้คน สายน้ำไหลบุปผาเบ่งบาน
อย่าได้สงสัยนักพรตที่นั่งเข้าฌานนิ่ง วีรบุรุษที่เก็บกระบี่ก็คือเทพเซียน
หม่าหยวนเจ้าประมุขสกุลหม่าโผหยางมีเรือนกายใหญ่โตเทอะทะ บนใบหน้ามีแต่กล้ามเนื้อ ทว่ากลับเขียนตัวอักษรบรรจงเล็กจานฮวาได้อย่างงดงาม เชี่ยวชาญศาสตร์การคำนวณ อีกทั้งยามพูดคุยกับผู้อื่นมักจะใช้น้ำเสียงเล็กแผ่วเบา
หม่าหยวนมีอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี สำหรับขุนนางเมืองหลวงที่อยู่ในใจกลางราชสำนักคนหนึ่งแล้ว สามารถพูดได้ว่ากำลังอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ของวงการขุนนาง
แต่หม่าหยวนไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธบนสนามรบ แล้วก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตน ทุกวันนี้กลับเป็นคนที่ดูแลถุงเงินของต้าหลี
หากจะพูดถึงคนที่ปีนป่ายในวงการขุนนางต้าหลีได้อย่างว่องไวก็ต้องเป็นหม่าหยวนแห่งเมืองหลวงทางเหนือ และหลิ่วชิงเฟิงแห่งเมืองหลวงสำรองทางใต้
แน่นอนว่าก็เป็นคนที่โดนด่ามากที่สุดด้วย
เพราะหม่าหยวนในทุกวันนี้มีตำแหน่งสูงศักดิ์เป็นถึงเจ้ากรมคลังแล้ว
จี้เซียงของหนึ่งแคว้น
วันนี้ขุนนางหลักกองชิงลี่กรมคลังที่มีอำนาจสูงกลุ่มหนึ่งถูกใต้เท้าเจ้ากรมเรียกมาในห้อง แต่ละคนไม่กล้าหายใจดัง
นอกจากกวนอี้หรานที่เป็นข้อยกเว้น
แล้วก็เพราะว่าตอนนี้มีคนอยู่เยอะ ขอแค่ปิดประตูแล้วคนกลุ่มนี้พูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงานเสร็จ ก็กล้าที่จะคล้องคอกอดไหล่ใต้เท้าเจ้ากรมกันทั้งนั้น
ทำงานอยู่ในที่ว่าการ ไม่กล้าดื่มเหล้า แต่ดื่มชาย่อมไม่มีใครขัดขวาง กวนอี้หรานมาถึงที่นี่ คุยธุระเสร็จแล้วก็ไปกวาดค้นหาใบชามาจากทั่วทิศ
ใครใช้ให้อาจารย์คุมสอบเคอจวี่ของหม่าหยวนก็คือท่านปู่ทวดของกวนอี้หรานกันเล่า
ใครใช้ให้การประเมินขุนนางประจำเมืองหลวงในแต่ละปีตอนเป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวง หรือการทดสอบขุนนางของราชสำนักตอนไปเป็นขุนนางอยู่ต่างถิ่น หม่าหยวนล้วนได้อันดับหนึ่งทุกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัยกันเล่า
ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าการทดสอบประเมินขุนนางประจำเมืองหลวงที่จะจัดขึ้นสามปีครั้ง แต่ไหนแต่ไรมาก็ล้วนเป็นถิ่นของเจ้ากรมผู้เฒ่ากวนแห่งกรมขุนนาง ต่อให้จะมีขุนนางของที่ว่าการแห่งอื่นมาคอยให้ความช่วยเหลือ อีกทั้งหมวกขุนนางของแต่ละคนก็ไม่เล็ก แต่นายท่านผู้เฒ่ากวนนั้นขึ้นชื่อว่าพูดคำไหนคำนั้น ยึดอำนาจเผด็จการอยู่คนเดียว
หม่าหยวนด่าพวกขุนนางกรมการคลังเสียจนไม่เหลือชิ้นดี ไล่ด่าไปทีละคน ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น
หลังจากสั่งสอนพวกขุนนางเหมือนลูกหลานตัวเองเสร็จ หม่าหยวนก็รั้งตัวกวนอี้หรานไว้คนเดียว มองลูกน้องที่อายุก็ไม่น้อยแล้วคนนี้ ความรู้สึกนับร้อยพลันประดังประเดเข้าหาหม่าหยวน อยู่ดีๆ ก็นึกถึงท่านปู่ทวดของเจ้าหมอนี่ขึ้นมา
‘หม่าหยวน ขั้นสามชั้นโทแล้ว ข่าวดี เจ้าหนูเจ้าได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว ส่วนข่าวร้ายก็คือวันหน้าการประเมินของเจ้าก็ต้องดูที่พระประสงค์ของฮ่องเต้แล้ว’
‘แต่เจ้าวางใจเถอะ ทางฝั่งของฮ่องเต้และราชครู ข้ายังพอจะพูดได้สักสองสามประโยค’
หลายปีที่หม่าหยวนเลื่อนขั้นทีละก้าวจากกรมขุนนางจนได้เป็นรองเจ้ากรม ค่อนข้างจะลำบากอยู่มากจริงๆ
ไม่ใช่ว่าเป็นขุนนางนั้นยากเพียงใด แต่การวางตัวเป็นคนต่างหากที่ยาก
การปกป้องคุ้มครองในทุกด้านที่ขุนนางใหญ่แห่งกรมขุนนางมีให้อย่างไม่คิดปิดบัง ทำให้ลูกหลานของเสาค้ำยันแคว้นคนหนึ่งต้องทนรับคำซุบซิบนินทาไม่น้อย
สามปีเลื่อนขั้นเจ็ดครั้งในกรมขุนนาง ต่อให้หม่าหยวนจะมีชาติกำเนิดมาจากสกุลหม่าโผหยาง แต่ใครบ้างจะไม่อิจฉาตาร้อน?
ภายหลังถูกโยกย้ายให้มารับหน้าที่ในกรมคลังด้วยตำแหน่งเท่ากัน มีครั้งหนึ่งหม่าหยวนประชุมกับขุนนางกลุ่มใหญ่อยู่ในห้องหนังสือของเจ้ากรม เขาโมโหจนตบโต๊ะดังปัง หลุดวลีเด็ดซึ่งเป็นคำพูดติดปากของคนในวงการขุนนางออกมา
‘มารดามันเถอะ ข้าผู้อาวุโสยอมรับว่าตัวเองคือบุตรชายนอกสมรสของนายท่านผู้เฒ่ากวน พอใจกันแล้วกระมัง?!’
วันที่สองหลังจากการประชุมเช้าสิ้นสุดลง นายท่านผู้เฒ่ากวนเรียกหม่าหยวนที่เดินเร็วราวกับบินเอาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีว่า ‘หม่าหยวน วันหน้าคำพูดแบบนี้อย่าได้พูดเหลวไหลอีก การประชุมที่ห้องทรงพระอักษรเมื่อวาน ฮ่องเต้และท่านราชครูต่างก็ได้ยินกันแล้ว ท่านราชครูยังตั้งใจพูดขึ้นมาด้วย สายตาที่ฝ่าบาททอดพระเนตรข้าในเวลานั้นไม่ปกติเอาเสียเลย’
หม่าหยวนพยักหน้า
ตนละเมิดข้อห้ามในวงการขุนนางจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!