หลิวจ้งรุ่นประหลาดใจเล็กน้อย เหตุใดจู่ๆ ถึงใจกล้าขึ้นมากะทันหัน หลายปีมาแล้วที่ภูตน้ำน้อยน่ารักซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ภูเขาฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วคนนี้อยู่บนภูเขาลั่วพั่วตลอด อย่างมากสุดก็แค่ทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูอยู่ที่หน้าประตูภูเขา จะไม่ออกจากบ้านไปข้างนอกเด็ดขาด
อย่างวันนี้ที่มาภูเขาหนิวเจี่ยว อันที่จริงก็ถือว่าเป็นข้อยกเว้นมากแล้ว
แต่หลิวจ้งรุ่นก็ยังยิ้มตอบตกลง
นางทะยานลมไปจากท่าเรือ
ปีนั้นไปงมเรือมังกรออกมาพร้อมกับตำหนักวารี เรือมังกรได้ถูกภูเขาลั่วพั่วยกให้กับกองทัพชายแดนต้าหลียืมโดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่า รอกระทั่งราชสำนักมอบเรือมังกรกลับคืนมาแล้ว สภาพก็ผุพังแทบไม่เหลือดี ส่วนเงินค่าซ่อมแซมที่ชวนให้คนอ้าปากค้างก้อนนั้นก็ถึงกับสูงกว่าราคาของตัวเรือมังกร ‘ฟ่านโม่’ ไปอีก ตอนที่ทั้งสองฝ่ายมารับเรือข้ามฟาก จูเหลี่ยนของภูเขาลั่วพั่วไม่ได้เอ่ยอะไรแม้แต่ครึ่งคำ ภายหลังเรือมังกรได้ถูกชุยตงซานย้ายไปไว้ในพื้นที่มงคลรากบัว ซ่อมแซมจนกลับมาเป็นเหมือนใหม่
หลิวจ้งรุ่นรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลเรือมังกรฟานโม่มาตั้งนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าหน้าที่ชั่วคราวนี้ของนางจะทำมานานหลายปีแล้ว
การออกจากบ้านไปหาประสบการณ์ของลูกศิษย์บางส่วน อันที่จริงก็ล้วนอยู่บนเรือข้ามฟากลำนั้นทั้งสิ้น แต่ภูเขาลั่วพั่วก็ถือว่าทำอะไรมีคุณธรรม เพราะมีส่วนแบ่งให้ทุกปี
มอบผลหลีตอบแทนผลท้อ ภูเขาลั่วพั่วเป็นฝ่ายยกพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลที่มีชะตาน้ำเข้มข้นสองแห่งในพื้นที่มงคลรากบัวซึ่งเลื่อนระดับไปถึงคอขวดพื้นที่มงคลระดับสูงมาให้ ให้ผู้ฝึกตนหญิงลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ของเกาะจูไชห้าคนที่อยู่ที่นั่นใช้ฝึกตน หรือไม่ก็ปิดด่าน ต่างตนต่างหาโชควาสนาในการฝ่าทะลุขอบเขตกันเอาเอง สถานที่แห่งหนึ่งคือตำหนักวารีหนันซวินส่วนหนึ่งที่เสิ่นหลินหลิงหยวนกงแห่งลำน้ำจี๋ตู๋ของอุตรกุรุทวีปมอบให้กับภูเขาลั่วพั่ว และยังมีธารน้ำอีกเส้นหนึ่งที่หลี่หยวนหลงถิงโหวเป็นผู้มอบให้
ในอดีตหลังจากที่เกาะจูไชย้ายออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยนก็ได้ครอบครองภูเขาลูกหนึ่งของที่แห่งนี้ แม้จะบอกว่าเช่าจากภูเขาลั่วพั่ว อาจตกเป็นที่ต้องสงสัยว่ามาพึ่งอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น แต่ก็ยังดีที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะสงบสุขปลอดภัย ปราณวิญญาณขุนเขาสายน้ำเปี่ยมล้น แล้วก็ไม่มีความขัดแย้งจากการปัดแข้งปัดขากันระหว่างเพื่อนบ้านบนภูเขา เป็นชีวิตที่สงบมั่นคงอย่างมาก แค่ต้องแบ่งส่วนแบ่งให้กับภูเขาลั่วพั่วก็พอ ผู้ฝึกตนหญิงของเกาะจูไชแค่ตั้งใจฝึกตนอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นเรื่องเดียวที่หลิวจ้งรุ่นต้องใส่ใจก็คือ พยายามป้องกัน ‘อวี๋หมี่’ ในอดีต หมี่อวี้ในภายหลังผู้นั้นให้ดี
ก่อนหน้านี้อวี๋หมี่ติดตามหน่วนซู่เอาของขวัญวันปีใหม่มาให้ที่ภูเขาหลังอ๋าว อีกทั้งตัวเขาเองยังเคยโดยสารเรือมังกรอยู่หลายครั้ง
ที่น่าโมโหที่สุดล้วนไม่ใช่เรื่องพวกนี้ แต่เป็นอวี๋หมี่คนนั้นที่จงใจห่างเหินกับผู้ฝึกตนหญิงของเกาะจูไช แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าอวี๋หมี่ไร้ใจ ทว่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์ของลูกศิษย์ของหลิวจ้งรุ่นกลับมีเจตนา แต่ละคนละเมอเพ้อฝันถึงหมี่อวี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตัวตนที่แท้จริงของหมี่อวี้เป็นดั่งน้ำลดหินผุด ถึงกับเป็นเซียนกระบี่ที่ฉายประกายเจิดจ้าในสนามรบของนครมังกรเฒ่า ฆ่าศัตรูราวกับผักปลา อีกทั้งกุญแจสำคัญก็คือ หมี่อวี้ถึงกับมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าแห่งนั้น!
ไปๆ มาๆ พวกคนลุ่มหลงในรักของเกาะจูไชจึงมีมากกว่าเดิม พอพูดถึงเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ สองตาก็ฉายประกายเจิดจ้า มักจะต้องหาโอกาสไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วให้จงได้ ทำเอาหลิวจ้งรุ่นโมโหไม่น้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาทำงานอยู่บนเรือข้ามฟากอย่างเรือมังกร พวกนางจะไม่ทุ่มเทแรงกายแรงใจได้หรือ?
หมี่ลี่น้อยกลับไปที่ราวรั้วต่ออีกครั้ง รอคอยเรือข้ามฟากลำนั้นตาปริบๆ
แล้วทันใดนั้นก็พลันเห็นเรือข้ามฟากขนาดเล็กเท่าเมล็ดงาอยู่ตรงขอบฟ้า
ใบหน้าของหมี่ลี่น้อยเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี ตะโกนอย่างลิงโลด “จิ่งชิง จิ่งชิง ศักดิ์สิทธิ์แล้วๆ!”
อันที่จริงนี่อยู่ห่างจากตอนที่เฉินหลิงจวินร่ายคาถาเซียนมานานพักใหญ่แล้ว
เฉินหลิงจวินนั่งอยู่บนราวรั้ว แต่กลับไม่รู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะแม้แต่น้อย กลับกันยังหัวเราะฮ่าๆ
เฉินผิงอันร่ายร่างวารีเมฆาออกมาจากเรือข้ามฟากก่อน พริบตาเดียวก็มาถึงที่ราวรั้วของท่าเรือ ยื่นมือมากดศีรษะของเด็กชายชุดเขียว ยิ้มถาม “มีเรื่องอะไรน่าขำขนาดนี้?”
เฉินหลิงจวินยกมือเช็ดหน้า “ในที่สุดนายท่านก็กลับบ้านแล้ว ข้าดีใจจนเกือบจะน้ำตาไหลเลยนะ”
ป๋ายเสวียนที่หัวโนกลอกตามองบนต่ออีกครั้ง
คิดถึงเรื่องเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ป๋ายเสวียนก็กระโดดลงจากราวรั้วแล้วเริ่มฟ้อง อยู่ข้างนอกไม่สะดวกจะเรียกอีกฝ่ายว่าใต้เท้าอิ่นกวานจึงใช้คำเรียกขานว่าเจ้าขุนเขาแทน “เจ้าขุนเขา หากท่านยังไม่มาอีก พวกเราคงต้องถูกหลอกเอาตัวไปหมดแล้ว เจ้าขุนเขาท่านไม่รู้อะไร ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอวี๋ผู้นั้นทำเกินกว่าเหตุยิ่งนัก จะต้องไปเยือนที่หอบูชากระบี่ทุกวัน ทำหน้าหนาพูดจาเสียไพเราะว่าต้องการชี้แนะเวทกระบี่ให้กับพวกเราเก้าคน โดยเฉพาะสายตาที่เขามองข้า อย่าว่าแต่ลูกศิษย์ที่ยังไม่รับเข้าสำนักเลย แทบไม่ต่างจากลูกชายแท้ๆ ที่พลัดพรากจากเขาไปนานหลายปีแล้ว มองจนข้าขนลุกไปหมด เจ้าขุนเขา พูดจริงๆ นะ ไม่ใช่ว่าข้านินทาคนอื่นลับหลัง แต่ตบะน้อยนิดของตาเฒ่าอวี๋ผู้นั้นมิอาจเป็นอาจารย์ของข้าได้จริงๆ”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “ก็มีแต่เจ้านี่แหละที่สายตาสูงที่สุด แต่ขอบเขตล่ะสูงด้วยไหม?”
ป๋ายเสวียนยกสองแขนกอดอก “มีอะไรก็พูดไปอย่างนั้น ไม่ได้พูดเหลวไหล เทียบกับเจ้าขุนเขาแล้วยังอยู่ห่างชั้นไกลนัก เทียบกับพวกเจ้าอ้วนเฉิงแล้วกลับมากพอเหลือแหล่ ผ่านไปอีกสามปีห้าปี ไม่พูดถึงนังหนูซุนชุนหวังผู้นั้น ข้าคนเดียวก็สามารถสู้กับคนเจ็ดคนได้เลยล่ะ”
รอกระทั่งป๋ายเสวียนได้เห็นหนิงเหยาก็ถึงกับขยี้ตา ไม่ได้ตาฝาด เป็นหนิงเหยาจริงๆ ด้วย!
ป๋ายเสวียนรีบหุบปากแต่โดยดี
เหยาเสี่ยวเหยียนกับน่าหลันอวี้เตี๋ย นังหนูสองคนนี้ คาดว่าต้องเป็นบ้ากันแน่
โดยเฉพาะซุนชุนหวังผู้นั้น เวลาปกติเจอใครก็ชอบทำหน้าเมื่อยแววตาเหมือนปลาตาย แต่เห็นหนิงเหยาจะไม่รีบโขกหัวขอกราบอาจารย์ทันทีเลยหรือ?
ป๋ายเสวียนรู้ว่านังหนูน้อยซุนชุนหวังเย่อหยิ่งอย่างมาก ต่อให้ถูกใต้เท้าอิ่นกวานพามาที่ภูเขาลั่วพั่ว แต่ใจก็ยังอยากแต่จะไปอยู่ใต้หล้าห้าสี ไปอยู่นครบินทะยานเท่านั้น อยากจะเรียนเวทกระบี่กับแค่หนิงเหยา ไม่อย่างนั้นแม่นางน้อยที่ดื้อดึงก็ยอมให้ไม่มีผู้ถ่ายทอดมรรคา ไม่มีอาจารย์อะไรเลยยังจะดีเสียกว่า
เฮ้อ ยังเป็นเพราะอายุน้อยไม่รู้ความนั่นแหละ
หนิงเหยาใช่คนที่จะรับลูกศิษย์ส่งเดชหรือ?
อีกอย่างเซียนกระบี่หนิงเป็นใคร? นางเป็นคนรักของใต้เท้าอิ่นกวานพวกเรานะ
เจ้ากับใต้เท้าอิ่นกวานมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อาจารย์อย่างเซียนกระบี่หนิงจะหนีไปไหนได้อีก?
จะว่าไปแล้วก็เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นแม่นางน้อย สมองจึงไม่เฉียบไวมากพอ
หลังจากที่เรือข้ามฟากจอดเทียบท่า พวกหนิงเหยาก็เดินมาที่นี่
เซียนเว่ยเหลียวซ้ายแลขวา ไม่รู้ว่าภูเขาของเฉาเซียนซืออยู่ที่ไหน
“ฮูหยินเจ้าขุนเขา!”
หมี่ลี่น้อยเขินอายเล็กน้อย อยากจะมอบเมล็ดแตงให้ แต่ก็ไม่กล้ายื่นไป
จะเรียกพี่หญิงหนิงก็ไม่ได้ หากเผยเฉียนรู้เข้าต้องถูกจดลงสมุดบัญชีเล่มเล็กอีกแน่
หนิงเหยายิ้มพลางยื่นมือออกมา
หมี่ลี่น้อยอารมณ์ดีเหมือนมีบุปผาผลิบานในใจ รีบยื่นเมล็ดแตงกำหนึ่งส่งไปให้
เสี่ยวโม่หยิบถุงผ้าฝ้ายหนักอึ้งใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ด้านในบรรจุเมล็ดแตงทองไว้จนเต็ม
เสี่ยวโม่ทรุดตัวลงนั่งยอง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าชื่อเสี่ยวโม่ เป็นองค์รักษ์ของคุณชาย นี่คือของขวัญพบหน้า ของขวัญเบาไป ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาอย่าได้รังเกียจ”
โจวหมี่ลี่อึ้งตะลึง คิ้วบางสีเหลืองอ่อนจางสองข้างขมวดเข้าหากัน แค่พบหน้าก็มอบของขวัญให้แล้วหรือ?
นางรีบเงยหน้ามองเจ้าขุนเขาคนดี
เฉินผิงอันพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ “รับไว้เถอะ ไม่ต้องเกรงใจเสี่ยวโม่ เขาน่ะคือกุมารแจกทรัพย์”
จากนั้นเฉินผิงอันก็กระซิบเบาๆ ว่า “เป็นเมล็ดแตงทองหนึ่งถุง เมล็ดแตงทองที่ทำมาจากทองน่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!