เฉินผิงอันยืนกุมมืออยู่ในชายแขนเสื้อ ราวกับว่ายืนทอดสายตามองไปไกลอยู่ในศาลาของภูเขาไฉ่จือจริงๆ ทั่วร่างคนชุดเขียวอาบไล้ไว้ด้วยแสงสีทอง
เก็บภาพปรากฎการณ์ประหลาดนี้มา เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยกับจ้งชิวว่า “วันหน้าพวกเราสามารถใช้ที่นี่รับรองแขก เชิญให้คนดื่มชาดื่มเหล้าได้ ทัศนียภาพงดงามอย่างถึงที่สุด ถึงอย่างไรก็สามารถหดย่อพื้นที่ได้ตามใจ เลือกสถานที่บนภาพแผนที่ได้ตามใจชอบ นี่ก็ไม่ต่างจากการที่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่สองท่านจับมือกันเดินทางไกลแล้ว”
จ้งชิวพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ชุยเหวยมองจนปากอ้าตาค้าง
ภาพแผนที่แห่งขุนเขาสายน้ำภาพนี้ยังมีลูกเล่นแบบนี้ได้ด้วยหรือ?
ถึงอย่างไรผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดผู้นี้ก็เป็นคนซื่อคนหนึ่ง
จ้งชิวพลันยิ้มแล้วยื่นมือไปทางชุยเหวย ผู้ฝึกกระบี่ส่งเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งให้เงียบๆ
จ้งชิวเก็บเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นมา ยิ้มกล่าว “คราวหน้าจะเลี้ยงเหล้าพี่ชุยเอง”
เฉินผิงอันรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง
จ้งชิวจึงอธิบายว่า “ก่อนจะมาได้เดิมพันเรื่องหนึ่งกับชุยเหวย ข้าเดิมพันว่าพอเจ้าขุนเขาขึ้นมาบนเรือข้ามฟากเฟิงยวน เรื่องแรกที่ทำก็คือตรวจสอบห้องต่างๆ บนเรืออย่างละเอียด แต่ชุยเหวยกลับรู้สึกว่าเรื่องแรกที่เจ้าขุนเขาจะทำหลังจากขึ้นเรือ ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะเลือกที่พักก่อน จากนั้นค่อยเดินดูรอบๆ อย่างง่ายๆ”
ปากเฉินผิงอันพูดว่าเดิมพันกันเล็กๆ น้อยๆ เพื่อความสนุก ดีมาก แต่ด้านหนึ่งก็ใช้เสียงในใจเอ่ยกับชุยเหวยว่า “เจ้าไม่บอกแต่แรก เมื่อครู่ตอนที่ขึ้นเรือมาก็ควรจะบอกข้าสักคำ ข้าจะต้องช่วยเจ้าหาเงินร้อนน้อยเหรียญนี้มาแน่นอน หลังจบเรื่องมาแบ่งเงินกัน ไม่ต้องสนว่าตอนนั้นพวกเราสองคนจะได้กำไรก้อนใหญ่ ถึงอย่างไรก็ดีกว่าเจ้าขาดทุนกระมัง”
ชุยเหวยจนคำพูด
นิสัยการเดิมพันที่ไม่ซื่อสัตย์เช่นนี้ เขาทำไม่ลงจริงๆ
เมื่อก่อนชุยเหวยยังไม่ค่อยเชื่อข่าวลือหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับไม่สงสัยแม้แต่น้อยแล้ว ที่บ้านเกิดเคยมีร้านร้านหนึ่งที่ผีขี้เหล้าสิบคน เก้าคนในนั้นคือหน้าม้า
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสี่คนของเฉินผิงอัน เวลานี้อยู่รวมกันในห้องแห่งหนึ่ง นั่งล้อมวงกันที่โต๊ะ
กวอจู๋จิ่วยังคงมีรูปโฉมเป็นเด็กสาว ตรงเอวห้อยแท่นฝนหมึกแบบพกพา นางนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเผยเฉียน
ได้กลับมาพบกันอีกครั้งหลังต้องจากลากันเนิ่นนาน เห็นใบหน้าผอมตอบแล้วชวนให้คนเวทนานัก
พอกวอจู๋จิ่วไปถึงภูเขาลั่วพั่วก็ไม่เพียงแต่รับเผยเฉียนเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่อย่างไม่ลังเล ยังเรียกจ้าวซู่เซี่ยเป็นศิษย์พี่ชาย จ้าวหลวนเป็นศิษย์พี่หญิงพร้อมกันรวดเดียวด้วย
จ้าวหลวนรู้สึกกระวนกระวาย กวอจู๋จิ่วก็ให้เหตุผลที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน จ้าวหลวนเจ้าหน้าตางดงามนี่นา หากไม่เป็นศิษย์พี่หญิงก็น่าเสียดายแล้ว
ขอแค่วันหนึ่งที่อาจารย์พ่ออิ่นกวานไม่ได้รับใครเป็นลูกศิษย์ปิดสำนักอย่างเป็นทางการ ถ้าอย่างนั้นตนก็ถือเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายครึ่งตัวของอาจารย์พ่อ ยิ่งนานก็จะยิ่งมีศิษย์พี่ชายหญิงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ!
ขนาดฮ่องเต้ก็ยังรักลูกคนเล็กนี่นะ
เผยเฉียนถามเรื่องราวของใต้หล้าห้าสี ทว่าพอนางถามคำถามออกไปแล้วเห็นท่าทางเช่นนั้นของกวอจู๋จิ่ว เผยเฉียนก็เสียใจจนไส้เขียวแล้ว
เพราะกวอจู๋จิ่วมีการเตรียมการมาก่อนหน้าแล้ว นางรินน้ำชาให้ทุกคนคนละหนึ่งถ้วยก่อน จากนั้นก็หยิบกระดาษสิบกว่าแผ่นออกมา กระแอมสองสามทีแล้วเริ่มอ่านตามกระดาษ
จ้าวซู่เซี่ยกับจ้าวหลวนฟังด้วยความเพลิดเพลิน เพราะถึงอย่างไรก็เป็นขนบธรรมเนียมและเรื่องราวน่าสนใจของใต้หล้าใหม่เอี่ยม
เพียงแต่รอกระทั่งกวอจู๋จิ่วหยิบกระดาษอีกปึกหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ มือหนึ่งถือถ้วยน้ำชาดื่มให้ลำคอชุ่มชื้น มือหนึ่งสะบัดแรงๆ ปึกกระดาษในมือส่งเสียงพั่บๆ
พี่ชายน้องสาวสองคนก็พลันเข้าใจความรู้สึกของศิษย์พี่หญิงใหญ่แล้ว
รอกระทั่งพวกเขาสองพี่น้องฟัง ‘นิทาน’ ที่คนเล่าใส่ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าอย่างเต็มที่จบไปรอบหนึ่งอย่างไม่ง่าย คนหนึ่งก็พูดขึ้นว่าจะไปฝึกหมัด คนหนึ่งบอกว่าจะไปนั่งเข้าฌานทำสมาธิ พากันเผ่นหนีเพื่อความปลอดภัย
ห้องนี้เป็นห้องพักของเผยเฉียน นางอยากจะหลบก็ไม่มีที่ให้หลบเลี่ยง
กวอจู๋จิ่วฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะ บอกว่านางเอาหีบไม้ไผ่ใบเล็กใบนั้นไว้ที่คฤหาสน์หลบร้อน ให้เป็นสมบัติพิทักษ์เรือน วันหน้าเมื่อนางไปท่องเที่ยวใต้หล้าห้าสีพร้อมกับเผยเฉียนค่อยคืนให้ศิษย์พี่หญิงใหญ่
เผยเฉียนเท้าคางด้วยมือข้างเดียว มองไปนอกหน้าต่าง บอกว่าไม่มีปัญหา
กวอจู๋จิ่วเอาใบหน้าแนบโต๊ะ มองเผยเฉียน ถามอย่างประหลาดใจ “เผยเฉียน มวยผมทรงกลมนี้ของเจ้า เวลาปกติจัดการได้ยากหรือไม่ หากไม่ยุ่งยาก พรุ่งนี้ก็ทำให้ข้าหน่อยเถอะ”
เผยเฉียนยิ้มบางๆ “ง่ายมากเลยล่ะ ข้าสามารถสอนเจ้าทำไปทีละขั้นตอนได้”
กวอจู๋จิ่วเงยหน้าขึ้น เปลี่ยนฝั่งใบหน้าที่ใช้แนบโต๊ะ “เผยเฉียน ได้ยินว่าที่นี่มีธรรมเนียมก่อกวนห้องหอ ถึงเวลานั้นข้าสามารถไปหลบอยู่ใต้เตียงของพวกเจ้าได้หรือไม่?”
เผยเฉียนกลอกตามองบน “ต่อให้เจ้าออกเรือนแล้ว ข้าก็ยังไม่ได้แต่งงานเลย”
กวอจู๋จิ่วร้องฮ่า กะพริบตาปริบๆ “ได้ยินหมี่ลี่น้อยบอกว่าเจ้าสร้างชื่อเสียงใหญ่โตไว้ในยุทธภพ เล่าให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม?”
เผยเฉียนส่ายหน้า “หมี่ลี่น้อยพูดเหลวไหล ชอบใส่เสริมเติมแต่งให้เกินจริง”
เดิมทีนึกว่ากวอจู๋จิ่วจะทำให้ตนปวดหัวต่อไป คิดไม่ถึงว่าเผยเฉียนจะได้ยินเสียงกรนเบาๆ ดังมา ถึงกับหลับไปแล้ว
เรือข้ามฟากเดินทางลงใต้
แสงจันทร์กระเพื่อมไปตามกระแสน้ำ เรือนน้อยที่กระโดงตั้งสูงล่องลอยอย่างเดียวดายยามราตรี
เงยหน้าคือดวงจันทร์ ก้มหน้าลงคือโลกมนุษย์
แสงจันทร์ยามค่ำคืนของฤดูใบไม้ร่วง สาดแสงสว่างสุกสกาวไปทั่วบ้านเรือนนับหมื่นหลัง
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยกับเฉินหลิงจวิน พี่น้องสองคนกำลังชมจันทร์จิบสุราพลางพูดคุยเรื่องในใจกันไปด้วย
นักพรตเฒ่าลูบหนวดพึมพำ “หากมีโอกาสจะต้องรีบส่งจดหมายไปให้โจวอันดับหนึ่งแล้ว”
เฉินหลิงจวินถามอย่างสงสัย “ทำไมล่ะ ขาดเงินใช้หรือ? เดี๋ยวถ้าเสี่ยวจางของห้องบัญชีจ่ายเงินเดือนเดือนใหม่ให้ ท่านก็รับส่วนของข้าไปพร้อมกันเลยเถอะ”
เงินของข้าก็คือเงินของพี่น้อง เงินของพี่น้องก็คือเงินค่าสุรา
นักพรตเฒ่าทอดถอนใจ “หากน้องโจวยังไม่กลับมาอีก เกรงว่าตำแหน่งอันดับหนึ่งคงรักษาไว้ไม่อยู่แล้ว”
เฉินหลิงจวินกระจ่างแจ้งทันใด “ใช่แล้วๆ พี่น้องเสี่ยวโม่ของเราคนนี้เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับพี่โจวจริงๆ คือศัตรูที่แข็งแกร่ง!”
สองพี่น้องสบตากันแล้วหัวเราะดังลั่น
อย่าได้โทษที่พวกเราสองพี่น้องไม่มีน้ำใจในยุทธภพ เป็นเพราะเสี่ยวโม่มีคุณธรรมมากเกินไปต่างหาก
เฉินผิงอันค่อนข้างประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าตนจะได้เจอกับลูกศิษย์ของเว่ยเซี่ยนเร็วขนาดนี้ แม่นางน้อยคนหนึ่งอายุยังไม่ถึงสิบปี แซ่ไฉนามอู๋
เว่ยเซี่ยนจะต้องติดตามกองทัพชายแดนอันเกรียงไกรของต้าหลีมุ่งหน้าไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จึงส่งแม่นางน้อยมาที่เรือข้ามฟากกลางทางระหว่างที่อยู่นครมังกรเฒ่าซึ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ แล้วยังมอบจดหมายฉบับหนึ่งไว้ให้กับไฉอู๋ บอกให้นางมอบให้กับเฉินผิงอันผู้เป็นเจ้าขุนเขากับมือตัวเอง
แม่นางน้อยหน้าตางามหมดจด สุภาพเรียบร้อย ตัวไม่เตี้ย ก็แค่ผอมกว่าคนวัยเดียวกันเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เฉินผิงอันถึงได้มีความรู้สึกเหมือนภาพลวงตาว่าแม่นางน้อยตรงหน้า อายุน้อยๆ ก็คล้ายเขียนตัวอักษรสี่คำไว้บนใบหน้าว่า ข้าอยากดื่มเหล้า
เฉินผิงอันแกะจดหมายออก เปิดอ่านเนื้อหาด้านในเรียบร้อยก็รู้สึกว่าความรู้สึกลวงตานั้นของตนมีเหตุผล
เว่ยเซี่ยนบอกแค่ว่าให้เฉินผิงอันช่วยหายอดฝีมือสักสองสามคนมาช่วยถ่ายทอดคาถาเซียนบนภูเขาให้กับแม่นางน้อย หากเจ้าขุนเขายินดีถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตัวเองก็ยิ่งดี
ไม่ต้องกังวลว่าโลภมากไปแล้วจะเคี้ยวไม่ละเอียด สอนอะไร นางก็เรียนอย่างนั้น จะเรียนสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาของนางเอง
เว่ยเซี่ยนมีข้อเรียกร้องเพียงอย่างเดียว ความสามารถด้านหมัดเท้าของไฉอู๋ต้องให้เขาที่เป็นอาจารย์เป็นคนสอนด้วยตัวเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!