เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “เริ่มวาดฝันถึงอนาคตแล้ว”
เรือข้ามฟากเฟิงยวนจอดเทียบท่าที่ท่าเรือตระกูลเซียนชื่อว่าขู่หูหลูแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับขุนเขากลาง เนื่องจากมีทะเลสาบน้อยใหญ่เชื่อมโยงต่อกัน ลักษณะคล้ายน้ำเต้า (หูหลู) จึงตั้งชื่อเช่นนี้
อันที่จริงน้ำของทะเลสาบใสมาก ส่วนเหตุใดถึงมีคำว่าขู่ที่แปลว่าขมอยู่ในชื่อ บนภูเขากลับไม่มีคำกล่าวที่ชัดเจน
ทางฝั่งของท่าเรือ จิ้นชิงซานจวินกับปัญญาชนชุดเขียวที่ปราณบุ๋นเข้มข้นคนหนึ่งยืนเคียงไหล่กัน
นอกจากนี้ยังมีหลูป๋ายเซี่ยงและลูกศิษย์สองคนอย่างหยวนเป่าหยวนไหลที่รอคอยเรือข้ามฟากเฟิงยวนอยู่ตรงนี้ด้วย เพียงแต่ว่าท่าเรือหูหลูมีผู้คนมากมายหูตาเยอะ อาจารย์และศิษย์สามคนจึงขึ้นเรือกันไปอย่างเงียบเชียบแล้ว
ทุกวันนี้หลูป๋ายเซี่ยงคือผู้ถวายงานของภูเขาทายาทแห่งหนึ่งของมหาบรรพตกลาง หยวนไหลผู้เป็นลูกศิษย์ยังเคยได้รับโชควาสเซียนอย่างหนึ่งจากภูเขาแห่งนี้
มีหมี่ลี่น้อยอยู่ด้วย จึงไม่มีข่าวเล็กๆ ข่าวใดที่เฉินผิงอันไม่ล่วงรู้
ดังนั้นครั้งนี้หยวนเป่าไปที่ใบถงทวีป ถึงเวลานั้นครั้งแรกที่นางได้พบหน้าเฉาฉิงหล่าง เฉินผิงอันจึงตั้งใจว่าจะสังเกตให้มากหน่อย ดูสิว่าข่าวลือมีมูลความจริงหรือไม่
แม้จะบอกว่าสุดท้ายแล้วหยวนป๋ายหนึ่งในหยกคู่บนวิถีกระบี่ของจูอิ๋งเก่าก็ยังไม่อาจหลุดพ้นไปจากภูเขาตะวันเที่ยง ติดตามจิ้นชิงมาฝึกตนที่ขุนเขากลางได้ แต่ต้องไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ศาลบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงตั้งชื่อว่าภูเขาหวงซาน รับผิดชอบเรื่องการสร้างสำนักเบื้องล่างของภูเขาตะวันเที่ยง หากตัดคำว่าตัวสำรองออก หยวนป๋ายก็จะกลายเป็นเจ้าสำนัก เพียงแต่ว่าขอบเขตของหยวนป๋าย เกินครึ่งคงต้องหยุดอยู่ที่ก่อกำเนิดมิอาจขยับเดินหน้าได้แล้ว และนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ภูเขาตะวันเที่ยงวางใจให้หยวนป๋ายมาดูแลกิจธุระในการสร้างสำนักเบื้องล่าง
ทว่าจิ้นซานจวินก็ยังคงเห็นแก่น้ำใจส่วนนี้ของเจ้าขุนเขาเฉิน ดังนั้นจึงตอบตกลงอย่างรวดเร็วว่า วันหน้าค่าใช้จ่ายเมื่อเรือเฟิงยวนของภูเขาลั่วพั่วมาจอดเทียบท่าที่นี่ทุกครั้งจะลดให้ห้าส่วน
อันที่จริงคราวก่อนที่ชุยตงซานนั่งบัญชาการณ์เรือข้ามฟากเดินทางลงใต้ไปยังใบถงทวีป ระหว่างทางก็ได้มาจอดพักที่ท่าเรือขู่หูหลู ตอนนั้นบนเรือยังมีผู้ฝึกกระบี่ที่ใช้นามแฝงว่าเส้าพอเซียนอยู่ด้วย ทว่าตอนที่จิ้นชิงขึ้นเรือมากลับไม่ได้ไปเจอเขา
ทว่ารอกระทั่งซานจวินใหญ่ท่านนี้ลงจากเรือกลับไปที่ศาลแล้วก็ไปยืนที่หน้าประตู คารวะอำลาไกลๆ ให้กับเรือข้ามฟากที่ผลุบหายเข้าไปในเมฆขาวอย่างนอบน้อม
เฉินผิงอันพาเสี่ยวโม่ลงจากเรือ ยิ้มก้าวเดินเร็วๆ เดินไปข้างหน้า กุมหมัดคารวะ “คารวะเว่ยซานจวิน เจ้าเมืองอู๋”
ปัญญาชนชุดเขียวก็คือคนคุ้นเคยของบ้านเกิดแล้ว ก็คืออู๋ยวนนั่นเอง ปีนั้นต้องไปชนตออยู่ที่อำเภอไหวหวงหลงโจว เส้นทางที่เจริญก้าวหน้าของการเป็นขุนนางปูเต็มไปด้วยตะปูอ่อนที่พวกแซ่สกุลใหญ่ของถนนฝูลู่และตรอกเถาเย่โยนทิ้งเอาไว้ สุดท้ายได้แต่ไปจากหลงโจวอย่างหม่นหมอง เท่ากับว่าถูกลดระดับขั้นให้ไปดำรงตำแหน่งในเขตการปกครองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ตีนเขาของขุนเขากลาง ทุกวันนี้กลายเป็นขุนนางที่อยู่ชายแดนห่างไกลของต้าหลี สถานะยังคงเป็นเจ้าเมือง ในฐานะลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของราชครูชุยฉาน อีกทั้งยังเป็นนายอำเภอคนแรกของอำเภอไหวหวงหลงโจว เรื่องของการเลื่อนขั้นก็เรียกได้ว่าเริ่มต้นสูงเดินลงสู่ที่ต่ำจนต่ำไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ในวงการขุนนางท้องถิ่น เจ้าเมืองอู๋อย่างมากสุดก็ได้แค่ไปคว้าตำแหน่งว่างงานในที่ว่าการเก้ามนตรีเล็กของเมืองหลวงสำรองแล้วใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่นั่นเท่านั้น สมญานามที่ถูกอวยยศให้ย้อนหลัง? ฝันไปเถอะ
แต่เฉินผิงอันรู้ว่าอีกไม่นานอู๋ยวนจะถูกโยกย้ายกลับไป ได้รับการยกเว้นให้เลื่อนขั้นเป็นผู้ว่า ‘คนใหม่’ ของจังหวัดฉู่โจวแห่งใหม่หรืออดีตหลงโจวเก่านั่นเอง
จิ้นชิงกุมหมัด พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวาน “คารวะเจ้าขุนเขาเฉิน”
อู๋ยวนประสานมือคารวะ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อู๋ยวนคารวะอาจารย์อาน้อยเฉิน”
ถูกอู๋ยวนเรียกว่าอาจารย์อาน้อย เฉินผิงอันก็ถึงกับหลุดหัวเราะพรืด
เฉินผิงอันมาในวันนี้ก็เพื่อปรึกษาสามเรื่องอย่างเรื่องการขุดหิน ตัดต้นไม้และซื้อกรวดทรายแม่น้ำกับซานจวินขุนเขากลาง แน่นอนว่าไม่ใช่หินหรือไม้ธรรมดาอะไร พูดถึงแค่ไม้ถานมู่โบราณที่มีเฉพาะบนภูเขาทายาทลูกหนึ่งของขุนเขากลาง ในแจกันสมบัติทวีปชื่อเสียงก็เป็นรองแค่ไม้ใหญ่อวี้จางเท่านั้น เป็นตัวเลือกแรกในการนำไปทำเสาคานในตำหนักต่างๆ และใช้ในงานพิธีสำคัญทั้งหลายของแต่ละแคว้นในภาคกลาง ราชวงศ์จูอิ๋งยังสร้างสำนักจัดซื้อขึ้นมาที่ตีนเขาโดยเฉพาะ ซึ่งถูกวังหลวงของฝ่ายเชื้อพระวงศ์ผูกขาดการตัดและเก็บมาโดยตลอด ไม่ได้มีการขายเป็นต้นด้วยซ้ำ แต่ขายด้วยการชั่งน้ำหนัก ไม้ถานมู่หนึ่งชุ่นเท่าทองหนึ่งชุ่น
ก่อนหน้านี้ชุยตงซานคุยเรื่องทิศทางกับจิ้นชิงไว้คร่าวๆ แล้ว แต่กลับยังเจรจากันเรื่องราคาไม่สำเร็จ จึงได้แต่ให้อาจารย์แสดงฝีมือเองแล้ว
ใบถงทวีปที่อยู่ทางทิศใต้ ทุกหนทุกแห่งแทบจะมีแต่ซากปรัก แต่ละแคว้นทยอยกันกอบกู้ฟื้นคืน จึงมีความต้องการมหาศาลต่อไม้ใหญ่และกรวดหินของตระกูลเซียนบนภูเขา แน่นอนว่าในพื้นที่ของใบถงทวีปซึ่งแผ่นดินกว้างใหญ่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ก็ต้องมีเหมือนกัน เพียงแต่ว่าหนึ่งการขุดค้นไม่ใช่เรื่องง่าย สองจวนตระกูลเซียนแต่ละแห่งก็ต้องการซ่อมแซมศาลบรรพจารย์เช่นเดียวกัน ย่อมต้องสร้างจวนเซียนของตัวเองขึ้นมาใหม่ก่อน บวกกับที่ทั้งบนและล่างภูเขาของใบถงทวีป เรื่องของการแข่งขันได้ค่อยๆ กลายมาเป็นประเพณีนิยม แข่งกันเป็นคนมือเติบ ต่อให้ต้องรัดเข็มขัดกางเกงแน่น หรือจะต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากคนอื่น ก็ยังต้องสร้างตำหนักในพระราชวัง หรือไม่ก็นครตามสถานที่ต่างๆ ให้ยิ่งใหญ่อลังการยิ่งกว่าตอนก่อนเกิดสงคราม
เสี่ยวโม่มองคุณชายอยู่ด้านข้างเงียบๆ คุณชายหัวเราะพูดคุยกับซานจวินและเจ้าเมืองอย่างผ่อนคลาย เรื่องของราคาไม่มีคำว่าเรื่องดีเต็มไปด้วยอุปสรรคอะไรด้วยซ้ำ ราวกับว่าจิ้นชิงซานจวินก็แค่รอให้คุณชายของตนปรากฏตัวเท่านั้น
สามเรื่องอย่างการทำเหมืองหิน ตัดต้นไม้และขุดกรวดทรายจากท้องน้ำ ไม่จำเป็นต้องให้ภูเขาลั่วพั่วส่งคนงานมาด้วยซ้ำ จิ้นชิงบอกให้เจ้าขุนเขาเฉินวางใจได้ การค้าที่เป็นดั่งสายน้ำเส้นเล็กไหลยาว ไม่จำเป็นต้องให้ขุนเขากลางบ้านตนขายหน้าด้วยเงินเทพเซียนแค่ไม่กี่เหรียญนั้น
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มรับเอ่ยว่าตกลง
อยู่ดีๆ ก็อดนึกไปถึงจวนตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่บางทีตอนออกจากบ้านอาจไม่เปิดปฏิทินดูให้ดีขึ้นมา กว่าจะย้ายจากอาณาเขตขุนเขาเหนือของเว่ยป้อมาอยู่ขุนเขากลางได้ ผลคือกลับเจอจิ้นชิงซานจวินจัดงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งใหญ่ขึ้นมาอีก
ช่างเป็นเรื่องน่าตกตะลึงระคนยินดีที่มากพอจะให้คนน้ำตาคลอได้เลย…
เรือเฟิงยวนออกเดินทางลงใต้ต่ออีกครั้ง
จ้งชิวและหลูป๋ายเซี่ยง คนบ้านเดียวกันที่มาจากพื้นที่มงคลแห่งเดียวกันได้กลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากลากันไปนาน จึงประชันหมากล้อมกันไปหลายตา
เสี่ยวโม่ชมศึกอยู่ด้านข้าง เป็นวิญญูชนที่ไม่พูดจายามดูคนเล่นหมากล้อม
หยุดนิ่งเนิ่นนาน พลันได้ยินเสียงเม็ดหมากวางแผ่วเบา
ในห้อง อวี๋เสียหุยนั่งขัดสมาธิกำลังเข้าฌานหลอมกระบี่ ชุยเหวยนั่งสังเกตดูการไหลเวียนลมปราณของลูกศิษย์อยู่ด้านข้าง คอยมองหาช่องโหว่ในจุดที่เล็กละเอียด
เผยเฉียนอยู่ตรงท้ายเรือ กำลังสอนหมัดให้กับจ้าวซู่เซี่ย
มีความหมายเหมือนการถ่ายทอดวิชาแทนอาจารย์อยู่บ้าง
จ้าวซู่เซี่ยฝึกหมัดอย่างมุ่งมั่น ตั้งใจจริงจังเฉพาะกับวิชาหมัดเขย่าขุนเขาเท่านั้น ทุกวันนี้เป็นผู้ฝึกยุทธคอขวดขอบเขตห้าแล้ว
ขอบเขตไม่ต่ำ แต่ก็ไม่สูง
ไม่ต่ำก็เพราะเทียบกับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวทั่วไป ไม่สูงเมื่อเทียบกับภูเขาลั่วพั่วของอาจารย์
ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสจูเหลี่ยน จ้งชิว หลูป๋ายเซี่ยง เว่ยเซี่ยน และยังมีเผยเฉียน เฉินยวนจี พวกหยวนไหลหยวนเป่าที่เป็นคนรุ่นเดียวกัน เส้นทางการเรียนวรยุทธตลอดหลายปีมานี้ของจ้าวซู่เซี่ย เห็นได้ชัดว่าธรรมดาอย่างมาก ไม่มีพื้นฐานในด้านคุณสมบัติพรสวรรค์ใดๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญหน้ากับเผยเฉียนปรมาจารย์ใหญ่ที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์เช่นเดียวกัน จ้าวซู่เซี่ยจึงอดรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้อยู่บ้าง
สอนหมัดไม่ป้อนหมัดก็เท่ากับว่าเปลืองแรงเปล่า
ประลองกันไปหนึ่งครั้ง แต่เผยเฉียนออกหมัดอย่างรู้หนักเบา ไม่ว่าจะเป็นหมัด หรือศอกถอง เท้าเตะ ล้วนหยุดแต่พอสมควร มองดูเหมือนคล้ายกบกระโดดแตะผิวน้ำ ทว่าต่อให้เผยเฉียนจะกดขอบเขตไว้แค่ไหนก็ยังทำให้จ้าวซู่เซี่ยต้องเผชิญความลำบากอยู่ไม่น้อย
รอกระทั่งเผยเฉียนเก็บหมัดหยุดยืนนิ่ง จ้าวซู่เซี่ยก็หน้าซีดขาวน้อยๆ แขนสั่นระริก ร่างโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่
ทั้งสองฝ่ายต่างถอยไปคนละก้าว กุมหมัดคารวะกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!