นอกจากนี้พูดถึงแค่การซื้อเครื่องกระเบื้องที่เผาจากเตาชาวบ้านของเมืองเล็กบ้านเกิด และแก้วชนไก่ พรมปูพื้นที่ยังจำเป็นต้องไปเจรจากับทางแคว้นไฉ่อี อัตราส่วนของจำนวนที่เป็นรูปธรรมก็จำเป็นต้องทำการปรับเปลี่ยนแก้ไขในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตามสถานการณ์การขายแต่ละครั้ง ยกตัวอย่างเช่นข้าวของบางอย่างได้กำไรสูง แต่กินพื้นที่มาก หรือไม่ก็ง่ายที่จะเกิดการกักตุนสินค้า สำหรับรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ เฉินผิงอันล้วนเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
เพราะถึงอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางฝั่งห้องบัญชีของเรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัว แต่ละคนก็ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญ แม้แต่เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ที่โต๊ะติดประตู ลูกพี่ใหญ่แห่งสายคฤหาสน์หลบร้อน ก็ยังไม่ถือว่าเป็นคนนอกสาขาอาชีพ
ทำการค้า อันที่จริงก็คือการขึ้นเขาและลงห้วย คำว่าขึ้นเขาปีนเขาก็หนีไม่พ้นการทำลายปราการทางการค้าของท้องถิ่นลง จากนั้นลองหยั่งเชิงถึงระดับลึกตื้นของเส้นทางทรัพย์สินที่เป็นดั่งน้ำไหลสายแล้วสายเล่า
และยังมีตำราฉบับหายาก ตำราฉบับสมบูรณ์แบบทั้งหลายที่พลัดกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆ ของใบถงทวีป เฉินผิงอันเคยได้เปิดโลกกว้างที่ท่าเรือชวีซานมาก่อนแล้ว และยังมีผลผลิตจากเตาเผาทางการมีชื่อเสียงจำนวนไม่น้อยที่ในอดีตถูกขนานนามว่าหนึ่งแห่งมีค่าเท่าทองพันชั่งที่ก็มีจุดจบไม่ต่างจากตำราทั้งหลายสักเท่าไร ล้วนถูกจับรวมไว้ในถุงกระสอบแล้วนำมาขาย กองกันเป็นพะเนินอยู่บนท่าเรือใหญ่แห่งต่างๆ ทางร้านคร้านจะต่อรองราคาด้วยซ้ำ แต่ว่าโอกาสที่จะได้เก็บตกเช่นนี้ อย่างมากสุดผ่านไปอีกสิบยี่สิบปีก็จะค่อยๆ หายไปแล้ว กลายมาเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่ากลียุคทองล้ำค่า ยุคแห่งความสงบของโบราณราคาสูง
ยามเช้าตรู่ของวันนี้ ดวงอาทิตย์แดงจ้ากระโดดโผล่พ้นผิวมหาสมุทรออกมา
ลมพัดโชยมาบนผิวน้ำ นั่งมองก้อนเมฆลอยขึ้นสูง
คำว่าเกียจคร้านก็คือรากฐานแห่งโจร
จ้าวซู่เซี่ยเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในห้องพลันได้ยินเสียงเคาะประตู เปิดประตูออกดูก็เห็นว่าเป็นอาจารย์
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไป ไปเดินนิ่งเป็นเพื่อนข้า”
อาจารย์และศิษย์พากันไปที่หัวเรือ เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หลายปีที่ผ่านมานี้นอกจากหมัดเขย่าขุนเขาก็ไม่ได้สอนกระบวนท่าหมัดที่มากกว่านั้นให้เจ้า วันนี้ข้าจะชดเชยให้”
วันนี้เฉินผิงอันสอนวิชาหมัดชุดที่จางซานเฟิงเป็นคนคิดค้น
จ้าวซูเซี่ยยังคงทำตามอย่างเข้าท่าเข้าที แต่น่าเสียดายที่เหมือนเพียงรูปลักษณ์ ไม่เหมือนทางจิตวิญญาณ
เฉินผิงอันช่วยตรวจสอบหาช่องโหว่ให้ จ้าวซู่เซี่ยมีสีหน้าละอายใจ เอ่ยเสียงเบา “อาจารย์ คุณสมบัติของข้าย่ำแย่ ทำให้ท่านต้องขายหน้าแล้ว”
แล้วก็เพราะว่าอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ไม่อย่างนั้นหากไปอยู่กับจวนเซียนบนภูเขาหรือไม่ก็พรรคในยุทธภพแห่งใด ต้องถูกคนนินทาหรือไม่ก็มองด้วยสายตามีเลศนัยอย่างมิอาจหลบเลี่ยงแน่นอน
บนภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ไม่มีใครพูดนินทาลับหลัง เพราะว่าทุกคน...ต่างก็พูดกันต่อหน้า ยกตัวอย่างเช่นเฉินหลิงจวินและป๋ายเสวียน ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน เด็กชายชุดเขียวที่ชอบสะบัดชายแขนเสื้อดังพึ่บพั่บจะต้องเอ่ยสั่งสอนเหมือนคนแก่สองสามประโยค บอกว่าซู่เซี่ยอ่า เรื่องของการฝึกหมัดจะเกียจคร้านไม่ได้นะ เจ้าลองดูเผยเฉียนของพวกเราสิ ขอบเขตนั่นต้องเรียกว่าพุ่งสวบๆๆ แต่ก็ไม่เป็นไร วันนี้ข้าจะสอนวิชาหมัดล้ำโลกให้เจ้าสักสองสามกระบวนท่า วิชาตะขาบกระโดด เจ้ารู้จักไหม ดูให้ดีล่ะ…ส่วนป๋ายเสวียน ทุกครั้งที่จ้าวซู่เซี่ยเดินผ่านโต๊ะในศาลาแห่งนั้น ป๋ายเสวียนจะต้องเรียกให้เขาเข้าไปนั่งดื่มชา แล้วก็ชวนคุยสัพเพเหระสองสามประโยค ซู่เซี่ยอ่า เจ้ากับใครบางคนเป็นคนร่วมสำนักกัน แต่เจ้าถึงกับสู้สตรีคนหนึ่งไม่ได้ ทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก อย่ามัวอึ้งอยู่สิ ดื่มชาๆ น้ำชานี้ของข้ามีความมหัศจรรย์ที่คล้ายคลึงกับสุราในร้านใต้เท้าอิ่นกวานที่บ้านเกิดเชียวนะ ดื่มแล้วสามารถเพิ่มขอบเขตได้…
อันที่จริงถูกสองนายท่านใหญ่อย่างเฉินหลิงจวินและป๋ายเสวียนก่อกวนเช่นนี้ กลับทำให้จ้าวซู่เซี่ยรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะมาก เวลาปกติที่ฝึกหมัดก็ไม่ได้รีบร้อนเหมือนเดิมแล้ว
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “พูดจาเหลวไหลอะไรกัน”
ตบไหล่ของจ้าวซู่เซี่ยหนักๆ “เจ้าไม่เชื่อในพรสวรรค์การฝึกวรยุทธของตัวเองได้ แต่ต้องเชื่อในสายตาการรับลูกศิษย์ของอาจารย์”
ท่าเรือเฉาฮวาภูเขาไฉ่จือ
เรือเฟิงยวนมาจอดเทียบท่าอยู่ที่นี่
ไร้ความบังเอิญก็ไม่เกิดตำรา สถานที่รับรองแขกของซานจวินฟ่านจวิ้นเม่าและเทพภูเขาหวังเจวี้ยนก็คือศาลาแห่งนั้น
เฉินผิงอันพาเสี่ยวโม่และเฉินหลิงจวินกับเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยมาที่นี่ด้วยกัน
มหาบรรพตทักษิณเก่าของต้าหลีเคยเป็นดินที่สะสมก่อตัวจนกลายเป็นภูเขาตามคำกล่าวอย่างแท้จริง ขุนเขาใต้ในทุกวันนี้ก็เป็นเช่นเดียวกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
มีราชวงศ์ต้าหลีเป็นผู้นำพา แคว้นน้อยใหญ่สิบกว่าแคว้นโดยรอบที่ตั้งเก่าของขุนเขาใต้จึงร่วมแรงกันทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องการมหาบรรพตลูกหนึ่งมาช่วยสร้างความมั่นคงให้กับโชคชะตาขุนเขาสายน้ำทางทิศใต้ของหนึ่งทวีป
นับแต่โบราณมาใต้หล้าไพศาลก็มีข้อพิถีพิถันที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรบอกว่า ‘เปลี่ยนเมืองหลวงไม่เปลี่ยนห้ามหาบรรพต’
ราชวงศ์ต้าหลีที่หนึ่งแคว้นก็คือหนึ่งทวีป หลังจากสูญเสียแผ่นดินครึ่งหนึ่งไปก็ใช้วิธีพบกันครึ่งทาง ห้าขุนเขาของหนึ่งทวีปยังคงเดิม อยู่ในอาณาเขตของใคร คนนั้นก็เป็นผู้ไปเซ่นบวงสรวงเอาเอง
ดังนั้นฟ่านจวินเม่าแหงขุนเขาใต้ในทุกวันนี้จึงกลายเป็นซานจวินมหาบรรพตคนแรกและเพียงหนึ่งเดียวที่หลุดพ้นจากการปกครองของสกุลซ่งต้าหลี
หากใช้คำกล่าวของฟ่านจวิ้นเม่าก็คือคำเดียว สะใจ!
หลังจากสงครามใหญ่ครั้งหนึ่งผ่านไป อันที่จริงตลอดทั้งขุนเขาใต้ถูกทำลายจนหายไปครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็ถูกย้ายออกไปครึ่งหนึ่ง ส่วนในบรรดาภูเขาทายาททั้งหลายของขุนเขาใต้ก็มีเพียงภูเขาไฉ่จือเท่านั้นที่โชคดีรักษาไว้ได้เกินครึ่ง ในฐานะหนึ่งในท่าเรือตระกูลเซียนที่กองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจสร้างขึ้นชั่วคราว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงยิ่งแสดงให้เห็นว่าภูเขาไฉ่จือที่เป็นภูเขาใหญ่จำนวนไม่มากทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปเป็นภูเขาที่อยู่ใต้ภูเขาลูกเดียว แต่อยู่เหนือภูเขานับหมื่นแล้ว
ทางฝั่งของศาลา ฟ่านจวิ้นเม่าที่สวมชุดคลุมยาวสีเขียวเข้มนั่งขัดสมาธิ เห็นกลุ่มของเฉินผิงอันก็เพียงแค่ยกมือกุมหมัดคารวะพอเป็นพิธีเท่านั้น
เทพภูเขาหวังเจวี้ยนแห่งภูเขาไฉ่จือกลับแต่งกายหรูหราสวมมงกุฎ สวมชุดสีม่วง บนมงกุฎประดับประดาด้วยไข่มุกขนาดใหญ่เท่าลูกบ๊วยเขียว แค่มองก็รู้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าบนภูเขา
คนทั่วไปหากไม่รู้ความจริง มองเห็นสองคนนี้ในปราดแรกต้องเข้าใจผิดคิดว่าหวังเจวี้ยนต่างหากจึงจะเป็นซานจวินขุนเขาใหญ่ ส่วนฟ่านจวิ้นเม่าก็เป็นแค่สาวใช้ในศาลเท่านั้น
หวังเจวี้ยนเองก็ได้เข้าร่วมงานพิธีที่ภูเขาตะวันเที่ยงเช่นกัน เข้าพักที่ยอดเขาโปอวิ๋น ตอนนั้นเทพภูเขาของหนึ่งทวีปมารวมตัวกันครบถ้วน กำลังคุมเชิงอยู่ไกลๆ กับงานเลี้ยงสุราของเพทวารีที่อยู่บนยอดเขาใกล้เคียงลูกหนึ่ง
ตอนนั้นทางฝั่งภูเขาบรรพบุรุษของภูเขาตะวันเที่ยงได้ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวออกไปเหมือนดอกไม้ผลิบาน หวังเจวี้ยนก็ได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่งจากเฉินผิงอัน และยังได้รับป้ายหยกแผ่นหนึ่งที่สลักเป็นคำว่า ‘จวิ้นชิงอวี่เซียง’ ซึ่งให้เขานำไปมอบต่อให้กับฟ่านจวิ้นเม่า
ได้รับ ‘คำเตือน’ ในช่วงท้ายของจดหมายลับ หวังเจวี้ยนก็รีบเผ่นออกจากภูเขาตะวันเที่ยงทันที
ฟ่านจวิ้นเม่าเอนหลังพิงราวรั้ว พูดเข้าประเด็นทันทีที่พบหน้า “ว่ามาเถอะ จะให้ชดใช้บุญคุณครั้งนี้อย่างไร”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ได้มาเพื่อทวงหนี้จริงๆ ก็แค่มารำลึกความหลังเท่านั้น อย่างมากสุดวันหน้าเมื่อเรือข้ามฟากผ่านมาที่ท่าเรือแห่งนี้ ซานจวินอย่างเจ้าและเทพภูเขาหวังก็ช่วยดูแลให้มากหน่อยเท่านั้น”
ฟ่านจวิ้นเม่าเอ่ย “เลิกมาไม้นี้เถอะ เจ้าไม่มาหาข้า ข้าก็ต้องไปหาเจ้าอยู่ดี ถึงอย่างไรก็ต้องทำให้เป็นขั้นเป็นตอน ไม่อย่างนั้นวันหน้าพวกเราสองคนก็อย่าได้รำลึกความหลังกันอีกเลย หรือว่าพอพบเจ้าจะต้องให้ข้าโขกหัวขอบคุณก่อน? อีกอย่างข้าก็ไม่อยากแบ่งสมาธิไปคอย ‘ดูแล’ เรือข้ามฟากลำหนึ่งนานร้อยปีพันปี เป็นเรื่องระยำที่ไม่มีวันสิ้นสุด”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพูดอย่างตรงไปตรงมาเลยแล้วกัน สมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินทั้งหมดที่อยู่ในอาณาเขตการปกครองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายของขุนเขาใต้ ขอแค่สามารถขาย อีกทั้งยังยินดีจะขาย ภูเขาลั่วพั่วของข้าต้องได้ส่วนแบ่งด้วย อย่างน้อยที่สุดคือสามส่วน อีกทั้งราคายังต้องเป็นธรรม จะซื้อมาด้วยราคาตลาดที่ต่ำที่สุด”
ฟ่านจวิ้นเม่าโบกมือเป็นวงกว้าง “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ เรื่องดื่มเหล้าก็ช่างเถอะ เอาเก็บไว้ตอนงานเลี้ยงท่องราตรีบนภูเขาของข้าคราวหน้า รับรองว่ามีให้ดื่มจนพอ”
หากฟ่านจวิ้นเม่าเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ
ก็จะต้องจัดงานเลี้ยงท่องราตรีตามกฎ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ยังมีอีกเรื่องที่อยากขอให้ช่วย ข้าอยากจะขอซื้อดินโยวหร่างของภูเขาไฉ่จือจากเทพภูเขาหวังสักหน่อย ประมาณสามพันจิน หากได้มากกว่านี้ก็ยิ่งดี ราคาสามารถปรึกษากันได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!