เฉินผิงอันจงใจเลือกวันแรกของฤดูหนาวจอดเรือเทียบท่าที่สำนักเบื้องล่าง ชุยตงซานสร้างกระท่อมหลายหลังขึ้นมาที่หน้าประตูภูเขาชั่วคราว จัดวางโต๊ะไว้สองสามตัว สำนักเบื้องบนและสำนักเบื้องล่างมีจำนวนคนไม่น้อย เกือบสามสิบคน ชุยตงซานจึงเหมือนเถ้าแก่ควบตำแหน่งเสี่ยวเอ้อ พาสือชิวไปช่วยงานที่ห้องครัว วันแรกของฤดูหนาว เกี๊ยวหนึ่งถ้วย น้ำแกงแก้หนาวหนึ่งถ้วย ซึ่งมีอีกชื่อว่าน้ำแกงตี้เกิน คือการนำรากของสมุนไพรประเภทต่างๆ มาต้มเพื่อความเป็นสิริมงคล สมุนไพรก็เก็บเอาจากบริเวณใกล้เคียง ไม่ใช่วัตถุตระกูลเซียนอะไร บนโต๊ะทุกตัวยังวางเครื่องปรุงอย่างพวกเต้าเจี้ยว น้ำส้มสายชูกับผักดองตามฤดูกาลในช่วงน้ำค้างแข็งอีกถาดใหญ่
ส่วนสุรา ขอโทษด้วย หากจะดื่มก็ต้องเอาออกมาเอง ตอนนี้สำนักเบื้องล่างยากจนนัก
ตรงโต๊ะประธานมีคนนั่งกันอยู่ห้าคน
เฉินผิงอันเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วอันเป็นสำนักเบื้องบน
ฉางมิ่งผู้คุมกฎแห่งภูเขาลั่วพั่วที่มีฉายาว่าหลิงชุน
และยังมีคนอีกสามคนที่ตำแหน่งขุนนางใหญ่ที่สุดในสำนักเบื้องล่างทุกวันนี้ ชุยตงซานเจ้าสำนักคนแรก จ้งชิวผู้ดูแลเงินทอง ชุยเหวยผู้คุมกฎแห่งสำนักเบื้องล่าง
เดิมทีชุยเหวยไม่อยากนั่งโต๊ะประธาน อยากจะยกตำแหน่งนี้ให้กับหมี่อวี้ที่กำลังจะมารับตำแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่าง แต่ใต้เท้าเจ้าสำนักดึงแขนของเขาไว้ไม่ยอมปล่อยมือ ชุยเหวยจึงได้แต่ยอมรับชะตากรรม
อวี๋เสียหุยที่นั่งอยู่โต๊ะอื่นเหลือบตามองชุยเหวย เด็กชายเบ้ปาก โอ้โห ได้ดื่มสุราร่วมโต๊ะกับใต้เท้าอิ่นกวานเลยหรือนี่
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ใช่เรื่องหายากอะไร แต่มาถึงใต้หล้าไพศาล คนที่มีโอกาสเช่นนี้กลับมีไม่มากแล้ว
แต่ดูเหมือนว่าอวี๋เสียหุยจะอารมณ์ดีขึ้นหลายส่วน คีบเกี๊ยวขึ้นมาหนึ่งชิ้น จากนั้นยกถ้วยน้ำแกงแก้หนาวซดหนึ่งอึก
ชุยเหวยสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยทางสภาพจิตใจของลูกศิษย์ผู้สืบทอดได้อย่างเฉียบไว มองไปทางอิ่นกวานหนุ่มแล้วคลี่ยิ้มอย่างหาได้ยาก เฉินผิงอันผงกศีรษะตอบรับ เรื่องเล็กน้อย
ใต้หล้านี้มีลูกศิษย์คนใดบ้างที่ไม่หวังให้คนรุ่นบิดาหรืออาจารย์ของตัวเองเป็นลูกผู้ชายที่ค้ำฟ้ายันดิน ออกจากบ้านแล้วมีหน้ามีตาบ้าง?
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเฉินผิงอันนั่งอยู่บนโต๊ะตัวเดียวกัน อันที่จริงเมื่อเทียบกับบนเรือข้ามฟากก่อนหน้านี้แล้วก็มีเฉาฉิงหล่างมาเพิ่มอีกคน
ชุยตงซานนั่งลงเป็นคนสุดท้าย กุมหมัดคารวะเอ่ย “สืบทอดระบบดั้งเดิม ภารกิจต่างๆ ล้วนอยู่ในช่วงเริ่มต้น ทั้งคนและทรัพยากรยังขาดแคลน ก่อสร้างตั้งแต่เช้าจรดค่ำ…”
เฉินหลิงจวินถามเสียงเบา “หมี่อันดับรอง หมายความว่าอย่างไร?”
หมี่อวี้ย้อนถาม “ถามข้า? เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
สมบัติมีชีวิตทั้งสองเบิกตากว้างจ้องมองกันไปมา
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยที่อยู่ด้านข้างลูบหนวดยิ้มกล่าว “ความหมายคร่าวๆ ของเจ้าสำนักชุยก็คือบอกว่าสำนักเบื้องล่างแห่งนี้สืบทอดมาจากสำนักเบื้องบน หรือก็คือมีการสืบทอดที่ถูกต้องจากควันธูปของภูเขาลั่วพั่ว ทุกวันนี้กำลังอยู่ในช่วงต้นของการก่อร่างสร้างตัว จำนวนคนมีไม่มาก ทรัพยากรก็ยังขาดแคลน เป็นเหตุให้เรื่องของการรับรองแขกได้แต่มีใจแต่ไร้กำลัง อาจมีจุดใดที่ละเลยไปบ้าง หวังว่าทุกท่านจะให้อภัย แน่นอนว่านี่เป็นคำกล่าวที่เจ้าสำนักชุยของเราถ่อมตัวเกินไป พูดถึงแค่ผักดองบนโต๊ะถาดนี้ ฝีมือของพ่อครัวในวังหลวงก็ยังเทียบไม่ได้”
หมี่อวี้ถามอย่างใคร่รู้ “พี่ใหญ่เจี่ยเคยเข้าวังมาก่อนด้วยหรือ?”
เฉินหลิงจวินยิ้มกว้าง คำถามนี้ของเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ถามได้ดีนัก
เจี่ยเฉิงยิ้มตอบ “ลูกผู้ชายไม่พูดถึงความกล้าหาญในวันวาน อย่าให้เล่าเลยดีกว่า แล้วนับประสาอะไรกับที่อดีตน้อยนิดแค่นั้นของผินเต้า พูดออกมาแล้วก็มีแต่จะเป็นที่ขบขันของทุกคน”
เฉินหลิงจวินหัวเราะหึหึ “ตอนที่พี่ใหญ่เจี่ยยังหนุ่มน่ะ เขาเป็นถึงปัญญาชนที่มียศจากการสอบเคอจวี่ติดตัวเชียวนะ คือนายท่านจิ้นซื่อที่เคยร่วมงานเลี้ยงฉลองฉงหลินอะไรนั่นมาก่อน แล้วยังเคยแต่งบทรวมกวีด้วยนะ ภายหลังทิ้งพู่กันหันมาเข้าร่วมกองทัพ อยู่บนสนามรบนานหลายปี แล้วยังสร้างคุณความชอบทางการสู้รบที่ไม่เล็กอีกด้วย ตามคำกล่าวของโจวอันดับหนึ่งก็คือสามารถได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ที่ไพเราะได้เลย เพียงแต่ว่าพี่ใหญ่เจี่ยรอให้วิถีทางโลกของล่างภูเขาสงบสุขแล้วจึงขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เขาไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ปกปิดชื่อเสียงและคุณความชอบ ออกเดินทางไปทั่วทิศ ภายหลังก็รับลูกศิษย์สองคนอย่างเติงเกากับจิ่วเอ๋อร์ แล้วต่อมาก็ได้พบเจอกับนายท่านของพวกเรา แค่เจอหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานาน จึงกลายมาเป็นเซียนซือผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่ว”
เจี่ยเฉิงหัวเราะร่า “ถูกเปิดโปงเสียแล้ว ขายหน้าหมี่อันดับรองแล้ว”
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มถาม “ผู้ถวายงานเจี่ยมีอดีตที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ด้วยหรือ? ทำไมเมื่อก่อนถึงไม่เคยได้ยินเจ้าเล่าให้ฟังเลย?”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยรีบเอาสองมือถือประคองถ้วย ใช้น้ำแกงแทนสุรา “ผินเต้าหรือจะมีหน้าคุยโวเรื่องคุณความชอบอะไรต่อหน้าเจ้าขุนเขา เรื่องน่าอายในบ้านไม่ควรเอาไปแพร่งพรายภายนอก”
นี่ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเจ้าขุนเขาบ้านตนไม่ใช้งานคนที่ตัวเองคลางแคลงใจ คนที่ใช้งานก็ยิ่งไม่มีใจกังขา
คำว่า ‘ไม่ธรรมดา’ ช่างกล่าวได้ดีนัก! คำวิจารณ์นี้ของเจ้าขุนเขาสมกับฝีมือชั้นครู คำง่ายๆ แค่สามคำก็เหนือกว่าถ้อยคำนับพันนับหมื่นที่ไพเราะสละสลวยมากนัก
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเส้นทางภูเขา พอจะมองเห็นเส้นทางวิถีเทพที่ผู้คนใช้เดินขึ้นมาเพื่อจุดธูปคารวะได้อย่างเลือนราง จึงถามว่า “ก่อนหน้านี้ภูเขาลูกนี้คือที่ตั้งของห้าขุนเขาในแคว้นหนึ่งหรือ?”
ชุยตงซานพยักหน้ายิ้มรับ “อาจารย์สายตาเฉียบแหลม เป็นศิษย์ที่ก่อนหน้านี้ต้องใช้ทุกวิถีทางทุ่มกำลังมหาศาลถึงจะย้ายภูเขาลูกนี้มาที่นี่ได้ หนักมากเลยล่ะ ตัวภูเขาแห่งนี้คือขุนเขาใต้เก่าของอดีตแคว้นเป่ยจิ้น ศาลซานจวินและร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ไม่อยู่แล้ว ถูกเผ่าปีศาจโจมตีจนย่อยยับไปตั้งแต่สงครามครั้งนั้นแล้ว แล้วยังถูกใต้หล้าเปลี่ยวร้างกวาดค้นตักตวงไปอีกรอบ ในภูเขาจึงไม่เหลือสมบัติวิเศษที่มีค่าใดๆ อยู่เลย ดังนั้นทุกวันนี้จึงมีแต่โครงที่ว่างเปล่า หากคิดจะฟื้นฟูมาดของมหาบรรพตในอดีตกลับมา นอกจากทุ่มเงินแล้วทุ่มเงินอีก ข้าก็ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว”
“และนี่ก็คือสาเหตุที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของเป่ยจิ้นลงมืออย่างรวดเร็วฉับไว ตอนนั้นข้าบังเอิญเดินทางผ่านภูเขาลูกนี้พอดี รู้สึกว่าถูกชะตาอย่างมาก ภายหลังก็ได้เชิญให้สกุลเหยาของต้าเฉวียนช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ ใต้เท้าหลี่ หลี่ซีหลิงเจ้ากรมพิธีการ หรือก็คือพ่อตาของโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันไม่สนความเหนื่อยยาก เดินทางมาเยือนเมืองหลวงเป่ยจิ้นเป็นเพื่อนข้าด้วยตัวเอง จ่ายเงินข้าไปห้าสิบเหรียญฝนธัญพืช ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ใจกว้าง ถามข้าเป็นนัยๆ ว่ายินดีจะเหมาอดีตห้ามหาบรรพตไปพร้อมกันด้วยเลยไหม สองร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืชก็สามารถซื้อทั้งหมดไปได้แล้ว ข้าเกือบจะหวั่นไหวอยู่แล้วเชียว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!