ชุยตงซานไม่ได้ใช้เสียงในใจมาตั้งแต่แรก ยิ้มพูดหน้าทะเล้นว่า “การแต่งกายมอซอ สามารถเปลี่ยนชุดคลุมอาคมใหม่ได้ แต่กลิ่นอายความยากจนนั้นยากจะลดทอนลงได้ แบบนั้นก็ไม่ดีแล้ว”
ผลคือชุยตงซานถูกอาจารย์ตบป้าบเข้าที่ท้ายทอย
เฉินผิงอันเอ่ยสั่งสอน “เป็นถึงเจ้าสำนักแล้ว ใครสั่งใครสอนให้เจ้าหัดพูดจาเหน็บแนมคนอื่นกันห๊ะ”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยแอบกลืนน้ำลายให้ลำคอชุ่มชื้น ก่อนจะพูดเสียงดังกังวานว่า “เจ้าขุนเขา เจ้าสำนักชุยพูดได้ถูกต้องแล้ว หากไม่เห็นผินเต้าเป็นคนกันเอง ไหนเลยจะยอมเอ่ยถ้อยคำล้ำค่าที่หากฟังปราดๆ แล้วระคายหูพวกนี้ออกมา”
เฉินผิงอันเงียบงัน
ผู้คุมกฎฉางมิ่งคลี่ยิ้มหวาน
น่าหลันอวี้เตี๋ยหยิบพู่กันและแผ่นไม้ไผ่ชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ เริ่มจดบันทึกตัวอักษรลงไป
ก่อนหน้านี้เจ้าขุนเขาหนุ่มไปที่ตรอกฉีหลงเพื่อเชื้อเชิญเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยให้ออกจากเขาด้วยตัวเอง หลังจากรับปากว่าจะรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลระดับรองของเรือข้ามฟากแล้ว เจี่ยเฉิงก็เข้าครัวด้วยตัวเอง ทำกับแกล้มเต็มโต๊ะ เรียกลูกศิษย์สองคนอย่างจ้าวเติงเกาและเถียนจิ่วเอ๋อร์มาด้วย เทพเซียนผู้เฒ่าไม่ได้พูดมากอย่างที่หาได้ยาก เพียงแค่ดื่มสุราคารวะอยู่หลายครั้ง ถ้อยคำที่ใช้ยามดื่มสุราคารวะ เมื่อเทียบกับเปิดปากเหมือนดอกบัวผลิบานอย่างก่อนหน้านี้แล้วก็เห็นได้ชัดว่าเป็นถ้อยคำที่ธรรมดาอย่างมาก แค่ขอบคุณที่ปีนั้นเจ้าขุนเขายินดีรับตัวพวกเขาอาจารย์และศิษย์สามคนเอาไว้ ให้พวกเขาได้มีที่พักพิง ไม่ต้องพเนจรร่อนเร่กันอีกต่อไป อีกทั้งยังขอบคุณที่ตลอดหลายปีมานี้ภูเขาลั่วพั่วปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดี ให้พวกเขาได้มีชีวิตที่สงบสุข ไม่มีความรู้สึกว่าต้องมาพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่นแม้แต่น้อย ไม่ใช่แค่เหมือนบ้าน แต่คือบ้านจริงๆ แล้ว
สุดท้ายนักพรตเฒ่าลุกขึ้นยืน ถือจอกสุราคารวะฟ้าดินสี่ทิศ บอกว่าต้องขอบคุณที่สวรรค์ลืมตา ให้ตนโชคดีได้มาที่นี่ โชคดีได้พบเจ้าขุนเขาเฉิน โชคดีได้เจอกับทุกคนของภูเขาลั่วพั่ว
ทุกคนเดินทางขึ้นสู่ที่สูงกันอีกครั้ น่าเสียดายที่วัตถุดิบเซียนต้นไม้ใหญ่ในภูเขาถูกตัดไปจนหมดสิ้นแล้ว หอเรือนศาลาหรูหราโอ่อ่าจำนวนนับไม่ถ้วนถูกทำลายจนไม่หลงเหลืออยู่เลย เหลือเพียงร่องรอยฐานที่ตั้งของพวกมันเท่านั้น แม้แต่ตัวอักษรที่แกะสลักลงบนหน้าผาก็ยังหนีไม่พ้นหายนะครั้งนั้น บ้างก็ถูกเวทคาถาของเผ่าปีศาจปาดทิ้งจนราบเรียบ ไปถึงทางเล็กริมลำธารที่สูงกว่าตำแหน่งกึ่งกลางภูเขาไปเล็กน้อยซึ่งสูงกว่าเส้นทางนกบินแล้ว ศาลาชมทัศนียภาพริมหน้าผาและหอหลังเล็กริมน้ำต่างก็หายสาบสูญไปสิ้น มีเพียงเมฆาขาวนอกภูเขาที่บินผ่านไปช้าๆ เท่านั้น
เด็กหนุ่มชุดขาววักน้ำขึ้นมาหนึ่งกอบกำมือ ยิ้มเอ่ย “อาจารย์ น้ำนี้เอามาหมักเหล้าต้มชา ล้วนไม่เลว ลำธารสายนี้ถึงฤดูน้ำหลากน้ำไม่ท่วม ถึงช่วงหน้าแล้งก็ไม่แห้งขอด เป็นสถานที่ที่ยังพอใช้ได้ซึ่งเหลืออยู่ไม่มากในภูเขา อีกทั้งยิ่งเป็นช่วงท้าย ระดับน้ำไหลของลำธารสายนี้ก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเรื่อยๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เรื่องของการหมักเหล้าชงชา ข้าพอจะถือว่ามีฝีมือชำนาญได้อยู่บ้าง”
ชุยตงซานเอียงฝ่ามือ ลุกขึ้นยืน “วันหน้าข้าจะมาตั้งป้ายศิลาในบริเวณใกล้เคียงนี้ รวบรวมตัวอักษรกับคนบางคน จะแกะสลักกวีท่องแดนเซียน (หรืออีกชื่อคือกวีโหยวเซียน) หนึ่งบท เขียนว่า…อาจารย์ ไม่สู้ท่านลองแต่งสักบทหนึ่ง?”
คนบางคนที่ชุยตงซานพูดถึงก็น่าจะเป็นชุยฉานแล้ว
เวลานี้มีคนอยู่เยอะ เขาจึงไม่สะดวกจะเรียกอีกฝ่ายตรงๆ ว่าตะพาบเฒ่า
พอได้ยินว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มจะร่ายบทกวี
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยก็ร้องเสียงดังว่าดี เฉินหลิงจวินรีบผสมโรงทันที
น่าหลันอวี้เตี๋ยกับเจ้าอ้วนน้อยเฉิงเฉาลู่ตบมือรัวๆ
เฉินผิงอันหน้าดำทะมึน
โชคดีที่หมี่ลี่น้อยไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเสี่ยวโม่
เป็นการบอกเสี่ยวโม่อย่างเป็นนัยๆ ว่า หนังสือที่เจ้าเก็บไว้ในทะเลสาบมีมากมาย รีบเปิดหาเร็วๆ เข้า ช่วยทำเรื่องนี้แทนหน่อย ช่วยกู้หน้าให้ข้าที เอากลอนท่องแดนเซียนตรงโน้นมาประกอบกับตรงนี้ แค่ให้ผ่านเหตุการณ์เฉพาะหน้านี้ไปได้ก็พอ
เสี่ยวโม่ที่เดิมทีบนใบหน้ายังมีรอยยิ้มคลุมเครืออยู่บ้างเข้าใจผิดคิดว่าคุณชายรังเกียจที่ตนไม่ให้การสนับสนุนมากพอจึงรีบกอดไม้เท้าเดินป่าไว้ในอ้อมอก ยกมือสองข้างขึ้นปรบกันเบาๆ แสดงให้รู้ว่ากำลังรอคอยอยู่
เฉินผิงอันขยับเดินนำไปก่อน ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวว่า “เหลือค้างไว้ก่อน”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยลูบหนวดยิ้ม เอ่ยกับเสี่ยวโม่ที่อยู่ด้านข้างเสียงเบาว่า “เจ้าขุนเขาต้องมั่นใจอย่างมากแล้วแน่นอน”
อันที่จริงเฉินผิงอันร่างบทกวีไว้ในใจแล้ว ก็แค่แต่งกลอนขำๆ ใครบ้างทำไม่ได้? เพียงแต่ว่ามีอาจารย์จ้งและลูกศิษย์อย่างเฉาฉิงหล่างอยู่ด้วย ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ไม่กล้าทำตัวขายหน้า
เสี่ยวโม่เริ่มพลิกเปิดตำราที่เก็บไว้ในใจ บทคำเขียวกลอนท่องแดนเซียนมีมากมายเลยล่ะ เขาจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “ไม้โบราณเสียดฟ้าพาดสะพานสู่ห้องเมฆา ดุจดินแดนแห่งเซียนของเจินหลิง”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยทำท่าครุ่นคิดก่อนพยักหน้า “น้องเสี่ยวโม่ บังเอิญเอาบทกวีของติงเหยียนหลิงมาเป็นบทเปิดฉากก็เข้ากับบรรยากาศมากจริงๆ”
ชุยตงซานสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ การจัดตำแหน่งที่นั่งหน้าประตูภูเขาเมื่อครู่นี้ไม่ค่อยเหมือนภูเขาลั่วพั่วเท่าไร”
การจัดการของชุยตงซานสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของใต้หล้าไพศาลอย่างมาก ดังนั้นจึงดูแตกต่างจากของภูเขาลั่วพั่ว
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รับปากเจ้าไว้นานแล้วว่า กิจธุระของสำนักเบื้องล่าง เจ้าสามารถตัดสินใจได้เองเลย ข้าไม่บังคับกะเกณฑ์เจ้าหรอก”
ในภูเขาลั่วพั่ว ผู้คนสามัคคีปรองดอง บรรยากาศกลมเกลียว ขอบเขตของผู้ฝึกตนและผู้ฝึกยุทธล้วนไม่นับเป็นอะไรได้ แน่นอนว่าจึงไม่ค่อยพิถีพิถันในการแบ่งตำแหน่งหลักรอง ลำดับอาวุโสสูงต่ำ หรือแบ่งแยกความใกล้ชิดความห่างเหินสักเท่าไร
แต่เฉินผิงอันไม่คิดว่าสำนักเบื้องล่างจะต้องเอาอย่าง ทุกเรื่องล้วนทำตามสำนักเบื้องบนอย่างเดียวเท่านั้น
เว้นเสียแต่ว่าวันไหนเฉินผิงอันรู้สึกว่าสำนักเบื้องล่างเกิดปัญหาบางอย่างถึงจะแหกกฎตัดสินใจเผด็จการ
ไปถึงที่ราบฝูเหยาบนเนินเขา เฉินผิงอันหยิบของสองสิ่งออกมามอบให้กับชุยตงซาน
“ถือเสียว่าเป็นของขวัญอวยพรที่ข้ามอบให้ล่วงหน้าก็แล้วกัน ถึงเวลานั้นเมื่อจัดงานเฉลิมฉลองยังจะมีอีกชิ้นหนึ่ง ไม่นับรวมกัน”
กลอนคู่บทหนึ่งที่อู๋ซวงเจี้ยงมอบให้
กระบี่บินสิบสองเล่มของนครอวี้ป่านราชวงศ์อวิ๋นเหวิน
เด็กหนุ่มชุดขาวเก็บมาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ประสานมือคารวะอาจารย์
ถ้ำสวรรค์ที่ได้มาจากมือของเถียนหว่าน ยังไม่ ‘สัมผัสกับพื้นดิน’ ชุยตงซานยังต้องจัดวางภูเขาสายน้ำให้ร้อยเรียงต่อเนื่องกัน
เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ก็ยิ้มถามชุยตงซานว่า “เวทกระบี่ของจูเหลี่ยน อันที่จริงร้ายกาจมากหรือ?”
เพราะคราวก่อนที่เจ้าอารามผู้เฒ่าไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วได้หยุดพักอยู่ที่หน้าประตูภูเขา เพียงแค่ดื่มชาเท่านั้น และได้คุยเล่นกับ ‘คนบ้านเดียวกัน’ ที่มีชาติกำเนิดมาจากพื้นที่มงคลอย่างจูเหลี่ยน เป็นฝ่ายเอ่ยถึงเวทกระบี่ของจูเหลี่ยน แล้วยังถามจูเหลี่ยนด้วยว่าจะเลือกตัวอ่อนเซียนกระบี่เก้าคนเป็นลูกศิษย์หรือไม่ ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งย่อมไม่มีทางพูดจาเหลวไหลอย่างส่งเดชแน่นอน
ปีนั้นเฉินผิงอันพลัดหลงเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว แค่เคยได้ยินฉายาคนคลั่งวรยุทธกับคุณชายผู้สูงศักดิ์ของจูเหลี่ยนเท่านั้น อย่างมากสุดก็เป็นเรื่องที่พ่อครัวเฒ่าออกท่องยุทธภพครั้งแรกแล้วพกกระบี่ออกเดินทางไกล เคยสร้างหนี้รักไว้กองใหญ่
ชุยตงซานกล่าว “เวทกระบี่ของจูเหลี่ยนคู่ควรกับคำว่า ‘เลิศล้ำ’ คือผู้ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ด้านเวทกระบี่ในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าก่อนหน้าติงอิง ก็เหมือนบนกลุ่มยอดเขาที่จู่ๆ ก็มียอดเขาหนึ่งโผล่พรวดขึ้นมา”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างกังขา “ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่เคยเห็นจูเหลี่ยนฝึกกระบี่เลยเล่า?”
กลับเป็นทุกครั้งที่เห็นถ่านดำน้อยร่ายวิชากระบี่มารคลั่ง ก็เป็นพ่อครัวเฒ่าที่ฮึกเหิมที่สุด ให้การสนับสนุนมากที่สุด ประจบสอพลอจนเกินกว่าเหตุมากที่สุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!